วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"มหัศจรรย์.. น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์" By KAMIL


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ แฟนบล็อก KAMIL ที่รัก และแขกผู้มาเยี่ยมเยือนใหม่ ทุก ๆ ท่าน

KAMIL HABBATUSSAUDA ได้จัดทำภาพยนตร์ (วีดิโอ) แนะนำฮับบาตุซเซาดะฮ์ เรื่อง “มหัศจรรย์.. น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์” ขึ้นมา เพื่อให้ทุกท่านได้รับชมและเรียนรู้ เรื่องราวความมหัศจรรย์ของสมุนไพรนี้  ตั้งแต่เรื่องที่เกี่ยวพันธุ์ไม้นี้ ประวัติศาสตร์ความเป็นมา และการใช้ประโยชน์จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ในอดีตผ่านมา ซึ่งนับเป็นเวลามากกว่า 3,000 ปี รวมทั้งคุณสมบัติที่วิเศษสุดในตัวของมัน ตลอดจนผลงานการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพของมัน ในการดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยและสุขภาพร่างกายของมนุษย์

วีดิโอนี้มีเนื้อหาที่สั้น กระชับ ได้ใจความสำคัญในภาพรวมทั้งหมดพอสังเขป ท่านจะใช้เวลาในการรับชมเพียง 3 นาทีเศษๆ  ซึ่งภาพบางช่วงบางตอนที่เป็นคำบรรยาย อาจจะดูรวดเร็วไปสักนิดหรืออ่านไม่ทันบ้างก็ตาม (ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้)  อย่างไรก็ตาม ท่านก็สามารหยุดวีดิโอเป็นบางช่วง เพื่ออ่านข้อความดังกล่าวให้ละเอียดได้เช่นกัน  และเมื่อท่านได้รับชมจนเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้เกิดความสนใจที่จะใคร่ศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดให้ชัดแจ้ง ก็ขอเรียนเชิญท่านอ่านศึกษาจากบทความต่าง ๆ ที่เว็บบล็อกแห่งนี้ได้นำเสนอไว้  

ทั้งนี้และทั้งนั้นถ้าท่านอยากจะพูดคุยกับ KAMIL เพื่อปรึกษาหรือสอบถามปัญหาบางอย่างที่ยังคลางแคลงใจ ก็สามารถติดต่อมาได้ที่คุณฮัฟเซาะฮ์ (หรือจิ๋ม) โทร 
081-4465461 ซึ่งเป็นเว็บมาสเตอร์ดูแลเว็บนี้  หรือจะเข้าไปทักทายพูดคุยกับเราที่ page ในเฟสบุ๊คของ KAMIL ก็ได้เช่นกัน  เรายินดีรับสายโทรศัพท์พูดคุยกับทุกท่านตลอดเวลา ขอทุกท่านอย่าได้เกรงใจ  เพราะเราไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักในการจำหน่ายสินค้า KAMIL HABBATUSSAUDA เพียงอย่างเดียว  โดยแท้จริงแล้ว เราปรารถนาที่จะเผยแพร่คุณประโยชน์อันมหาศาลของ “สมุนไพรมหัศจรรย์” นี้ ไปยังผู้คนให้ได้มากที่สุด  เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน อันเป็นความเมตตาของพระผู้สร้าง ที่มีต่อมนุษย์อันเป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์นั่นเอง

ดังที่ท่านศาสดาแห่งอิสลาม มุฮัมมัด ร่อซูลุลลอฮ์ (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ :-

“แท้จริง ในเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์นั้น เป็นยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย”
In the black seed is healing for every disease except death


KAMIL HABBATUSSAUDA มีความปลอดภัยในการบริโภค หรือไม่??

หลายคนคงจะมีคำถามนี้อยู่ในใจ.. และแต่ละคนก็จะต้องตัดสินใจด้วยตนเอง เราลองมาดู
รายละเอียดบางอย่าง เพื่อตอบคำถามของเรากันดีกว่านะคะ..? !

KAMIL HABBATUSSAUDA เป็นสินค้านำเข้าจากประเทศอินโดนีเซียค่ะ  และประเทศเค้าก็มีกฎหมายควบคุมเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภคเข้มงวดอยู่เหมือนกัน ดังนั้น ผู้บริโภคน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ของ KAMIL หรือกำลังตัดสินใจที่จะบริโภค ก็อย่าเพิ่งวิตกกังวลในเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์  ก่อนอื่นขอให้ท่านศึกษรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ ให้แน่ใจ 

ดังนั้น ในบทความนี้จึงขอนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวขั้นตอนการผลิตของ “กามิล ฮับบาตุซเซาดะฮ์” เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของทุกท่าน ดังต่อไปนี้ค่ะ :-

1. การเลือกสรรวัตถุดิบในขั้นตอนของการผลิตนั้น ทางผู้ผลิตได้ทำการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุด โดยการนำเมล็ดพันธุ์ฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed ที่ดีที่สุด จากประเทศอียิปต์มาสกัดเป็นน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์  อีกทั้งมีขั้นตอนการเก็บรักษา ความสดใหม่ และการปลอดเชื้อต่าง ๆ ก่อนที่จะมาสกัดเป็นน้ำมัน

2. กรรมวิธีในการสกัดเป็นน้ำมัน KAMIL ได้ใช้วิธีบีบเย็น (cold pressed) ซึ่งเป็นกรรมวิธีที่คงคุณค่าสารอาหารได้มากที่สุด  อีกทั้งประเทศอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการผลิตยาสมุนไพรจากธรรมชาติ เพื่อบำบัดรักษาสุขภาพร่างกายและเสริมความงาม มาเป็นเวลากว่า 1,000 ปี  จนกระทั่งปัจจุบันได้พัฒนาเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และส่งออกไปขายต่างประเทศ ดังนั้น สินค้าของอินโดนีเซียที่มีตรารับรองผลิตภัณฑ์ JAMU จึงเป็นตรารับรอง “ผลิตยาสมุนไพรแผนโบราณ”  ซึ่งมีเพียงประเทศเดียวเท่านั้น ที่สามารถออกตรารับรอง “JAMU” ได้  สินค้าที่ผ่านตรารับรอง JAMU จะต้องเป็นสินค้าที่สะอาด บริสุทธิ์จากธรรมชาติล้วน ๆ ปลอดสารเคมีหรือสิ่งเจือปนใด ๆ ที่มิได้มาจากธรรมชาติ  (ถ้าจะเทียบกับสินค้าในประเทศไทย ที่พวกเราชินหูก็คือ สินค้า Organic Food ซึ่งจำหน่ายอยู่ในตลาดสีเขียวนั่นเอง)

3. ได้รับการรับรองจากรัฐบาลอินโดนีเซีย ในส่วนของโรงงานที่ทำการผลิต และได้รับการจดแจ้งผลิตภัณฑ์จากกรมอนามัย ของอินโดฯ 


    3.1 ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการอุตสาหกรรมผลิตยาแผนโบราณ (IZIN IKOT) : เลขที่ P2T/13/03.10/VII/2011  ซึ่ง ณ ที่นี้จะขอนำระเบียนขั้นตอนในการควบคุมผู้ขอรับใบอนุญาต มาให้ท่านพิจารณาดูพอสังเขป (แปลจากเว็บไซด์ของอินโดฯ)
  • ผู้ขอรับใบอนุญาตจะต้องยื่นขอหนังสือรับรองการจดทะเบียน ผ่านไปทางหัวหน้าสำนักการแพทย์ของตำบล/เทศบาล
  • มีแผนที่ ที่ตั้ง อาคาร คลังเก็บวัตถุดิบ คลังเก็บสินค้าสำเร็จรูป และขนาดของอาคารที่เหมาะสม
  • สำเนาใบประกาศนียบัตร และบัตรประชาชนของเภสัชกร ที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการผลิตยา
  • มีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างเภสัชกรผู้ควบคุมกับบริษัทผู้ทำการผลิต
  • การผลิตจะต้องไม่มีการคัดค้านจากประเทศเพื่อนบ้าน และหัวหน้าเทศบาลประจำท้องถิ่น
  • การผลิตตัวยาที่เป็นของเหลว จะต้องมีผลการทดสอบทางจุลชีววิทยาจาก Lab
  • มีแนวทางหรือคำชี้แจงทางการแพทย์ในการผลิตยา
  • จะต้องแสดงรูปแบบดั่งเดิมของตัวยาที่นำมาใช้ อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ที่ใช้ในการประมวลผล บรรจุภัณฑ์ และกรรมวิธีในการบรรจุ
  • ทรัพยากร / พลังงานใช้ / จำนวนคนงาน
  • มูลค่าการลงทุนจาก
  • แผนการตลาด
  • การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
  • อุปกรณ์ควบคุมมลพิษ
  3.2 ใบอนุญาตจดแจ้งเพื่อขึ้นทะเบียนยา หรือหนังสือรับรองจากกรมอนามัย ของประเทศอินโดนีเซีย เลขที่ : Depkes. RI SP. NO.1873/13.01/02

  3.3 ได้รับตรารับรอง Halal
(NO.SERT.HALAL LP POM MUI )

  3.4 แคปซูลที่นำมาใช้
(UNTUK KAPSUL KOSONG 00140016360701)

ทั้งนี้ สินค้าที่ทางตัวแทนผู้จัดจำหน่าย
KAMIL HABBATUSSAUDA ในประเทศไทย นำมาจำหน่ายจนถึงมือผู้บริโภคนั้น ทางผู้จัดจำหน่ายได้นำเข้ามาในรูปของผลิตภัณฑ์ ซึ่งบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่พร้อมจำหน่าย ตัวบรรจุภัณฑ์ใช้พลาสติกใส (PET1) มิได้นำเข้ามาในรูปของตัวแคปซูลในปริมาณมาก แล้วนำมาใส่บรรจุภัณฑ์ด้วยตนเองในประเทศไทย ดังนั้น คุณจึงมั่นใจได้ในเรื่องของความสะอาดและการปนเปื้อนต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจึงใหม่สด สะอาด ตรงตามมาตรฐานที่ได้รับการรับรองมาจากโรงงานผู้ผลิตในประเทศอินโดเซีย และ  KAMIL หวังว่า ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้นำเสนอมาข้างต้นนี้ คงจะตอบโจทย์ที่อยู่ในใจของท่านได้เป็นอย่างดี

*หากมีข้อสงสัย หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อได้ที่ คุณฮัฟเซาะฮ์ (จิ๋ม) โทร 081-4465461*

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิธีการง่าย ๆ ในการกำจัดอาการไมเกรนให้มลายสิ้นด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์

เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ผมได้เดินทางมาถึงต่างประเทศโดยมิได้เตรียมการสิ่งใดไว้ สำหรับรับมือกับความทุกข์ทรมานที่จะต้องอดทนกับมัน  ผมจึงได้ไปหาซื้อยาแก้ปวด Fiornal มาใช้ 1 ชุด (1 เดือน)  เพื่อรักษาอาการไมเกรนของผมที่เป็นอยู่  แล้วก็เพิ่งจะได้รู้ว่า ประชาชานของประเทศจอร์แดนเกือบทั้งหมด ก็ประสบกับปัญหานี้เช่นกัน  ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดของผมเอง  จนกระทั่งในเดือนต่อมา ผมได้ประสบกับอาการปวดหัวที่รุนแรงที่สุดในชีวิต 

อาการไมเกรนของผมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยซะแล้ว เพราะผมต้องพบกับอาการปวดที่รุนแรงเป็นเวลาหลาย ๆ ครั้งในรอบปี เหมือนกับอาการปวดทั้งหมดมันได้มารุมเร้าในตัวผม  ผมได้เคยเขียนบันทึกไว้ที่โต๊ะทำงานในอเมริกาว่า “ผมเคยเป็นไมเกรน”  และมันไม่มีโอกาสที่จะรบกวนผมอีก  เนื่องจากยามันช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นและหัวเราะได้  ซึ่งผมก็ไม่เหมือนกันคนทั่ว ๆ ไป ที่ต้องการแค่เพียงเท่านั้น  แต่ผมปรารถนาที่จะหายจากโรคที่ทุกข์ทรมานนี้จริง ๆ

ความเจ็บปวดที่รุนแรงเป็นอย่างมาก มันทำให้ผมต้องจ่ายเงินถึง 125$ เพื่อฉีดยาระงับอาการปวด และหลายครั้งที่มันทำให้ผมไม่สามารถไปทำงานได้  ผมจึงได้แสวงหาวิธีการต่าง ๆ ทุกวิถีทางธรรมชาติด้วยตัวผมเอง โดยไม่มีทีมงานคอยช่วยเหลือ  และหนึ่งในวิธีการทางธรรมชาติที่ผมใช้ ก็คือ ผสมน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาวรับประทาน เพื่อระงับอาการปวดหัว

ดังนั้น เมื่อผมได้มาถึงประเทศจอร์แดน  ผมได้ตรงไปที่ร้านขายยา เพื่อมองหาสิ่งที่จะช่วยผมให้ระงับอาการปวด  แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเลย นอกจากยาแก้ปวดธรรมดา คือ ไทลินอน Tylenol และยี่ห้ออื่น ๆ ที่มีวางขายทั่วไป  ซึ่งใครที่เป็นไมเกรนอยู่แล้ว ก็คงบอกได้ว่า “ยาเหล่านั้น มันช่วยอะไรไม่ได้เลย”  ผมอยากจะผ่าสมองของผมด้วยมีดเสียเหลือเกิน เพื่อให้ความเจ็บปวดมันหลุดออกมา  ผมได้พยายามหาวิธีการหลายอย่าง เพื่อระงับอาการปวด  จนถึงขั้นอยากจะนำผ้ามาผูกที่หัวของผมแล้วรัดมันให้แน่น ๆ  เพื่อระงับอาการปวดและทุกข์ทรมานนั้น  และวิธีการหนึ่งผมเคยใช้ระงับอาการ ก็คือเอาผ้าเย็นมาโป๊ะไว้ที่ใบหน้า

แล้ววันหนึ่งผมก็ได้ยินเรื่องราวของสมุนไพรมหัศจรรย์ ที่เรียกว่า "Gizhah."  ซึ่งก็คือ ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) หรือยี่หร่าดำ (black cumin) ในขณะนั้นเป็นเวลาที่ผมหมดหวังจากหาวิธีการอย่างอื่นแล้ว  ผมจึงเริ่มต้นการรักษาด้วย gizhah  โดยอุ่น gizhah ให้ร้อน แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้ง  แล้วนำมารับประทาน มันเหมือนเป็นขนมหวาน (candy) อร่อยมาก ๆ   หลังจากนั้นภายในเวลาไม่กี่เดือน ผมก็พบว่าอาการปวดหัวของผมลดลง  ซึ่งผมไม่เคยทราบมาก่อนถึงวิธีกำจัดอาการไมเกรนเหมือนดังเช่นที่ทำอยู่ในขณะนี้  แต่มันก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผมในกำจัดมันออกไปให้หมดสิ้น

เมื่อผมได้ย้อนกลับไปดูวันเวลาที่ผมต้องประสบกับความทุกข์ทรมานจากอาการไมเกรน  พบก็ต้องขอบคุณต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา ที่ได้มอบสมุนไพรมหัศจรรย์นี้ให้แก่มนุษย์  อาการไมเกรนของผมได้มลายหายสิ้น และนับจนถึงวันนี้เป็นเวลา 15 ปีมาแล้ว ที่ผมไม่เคยมีอาการปวดหัวไมเกรนอีกเลย  และเมื่อผมมีอาการปวดหัวเล็กน้อยครั้งหนึ่งในรอบปี  ผมก็จะใช้ gizhah ระงับอาการดังกล่าว  แล้วก็ยังคงใช้มันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน  ทั้งนี้ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องประสบกับปัญหาเช่นเดิมเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

ผมได้เขียนบทความบทหนึ่งเกี่ยวกับ เรื่องไมเกรน ลงใน Natural News เพื่อที่จะบอกเรื่องราวความรู้สึกดี ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบ  ปรากฏว่าประชาชนเป็นแสนคนได้ tweet บทความของผมใน Twitter (ซึ่งคุณสามารหาอ่านได้ใน http://www.naturalnews.com  ข้อความข้างล่างนี้ คือบทความดังกล่าวที่ได้เราได้หยิบยกมาให้ทุกท่านได้อ่าน ณ ที่นี้

เรื่อง ฮับบาตุซเซาดะฮ์ช่วยผู้ป่วยนับล้านคนหายจากอาการไมเกรน
Nigella Sativa Sends Relief to Millions of Migraine Sufferers
เขียนเมื่อ :Tuesday, August 18, 2009  โดย : Barbi Trejo

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) : กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย


เรามาเรียนรู้เรื่อง “กรดไขมัน” กันก่อน ไขมันที่อยู่ในอาหารประกอบด้วยกรดไขมัน (fatty acid) ที่สามารถแบ่งตามโครงสร้างทางเคมี ได้ดังนี้
1. ไขมันอิ่มตัว (Saturated fatty acid) คือ ไขมันที่มีโครงสร้างคาร์บอนเรียงจับกันครบ ไขมันชนิดนี้ร่างกายสามารถสร้างได้เอง  มีอยู่ในอาหารจำพวกที่ เราเห็นเป็นชั้นสีขาวติดอยู่ในเนื้อสัตว์ หรือหนังสัตว์ปีก ไข่แดง น้ำมันหมู เนย นม ผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงน้ำมันที่ได้จากพืชบางชนิดก็เป็นแหล่ง
ไขมันอิ่มตัวด้วย เช่น กรดไขมันพาลมิติก (palmitic) ที่มีมากในน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ถ้ารับประทานมากเกินไปจะทำให้เกิดโคเรสเตอรอลในเลือดสูง เกิดการอุดตันของเส้นเลือด เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด  
2. ไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) คือไขมันที่ธาตุคาร์บอนยังมีเหลือสามารถจับกับธาตุไฮโดรเจนได้ แบ่งออกเป็น
      2.1 กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว monounsaturated fatty acid (MUFA) เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสร้างได้เอง ได้แก่ กรดไขมันโอเลอิก (Oleic acid) ที่เรียกว่า “โอเมก้า-9 หรือเลซิติน” ซึ่งเรามักพบในน้ำมันมะกอกเป็นจำนวนมาก น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย และน้ำมันข้าวโพด ((รวมทั้งในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์))

  2.2 กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน polyunsaturated fatty acid (PUFA) เป็นกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง (เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย) แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

      2.2.1 กรดไขมันไลโนเลนิค (Linolenic acid) ที่เรียกว่า “โอเมก้า-3 หรือ “น้ำมันปลา” เช่น อีพีเอ (EPA) และดีเอชเอ (DHA) ซึ่งพบได้จากปลาทะเลน้ำลึก และมีในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ด้วยเช่นกัน

      2.2.2 กรดไขมันไลเลอิค (Linoleic acid) ที่เรียกว่า “โอเมก้า-6” ซึ่งพบมากในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส และมีมากในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์


คุณประโยชน์ของ โอเมก้า 3-6-9

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

25 วิธีในการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Kalonji Oil) ตามแนวทางการแพทย์อายุรเวท


ในบทความก่อนหน้าที่ KAMIL HABBATUSSAUDA ได้นำเสนอประโยชน์ของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil ในการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ให้ท่านได้ทราบแล้ว รวมทั้งได้นำเสนอเกี่ยวกับผลงานวิจัยในเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่อง ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่า “น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์” สามารถบำบัดรักษาได้ทุกโรคจริง ๆ ดังที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้มีวจนะไว้ว่า...


ในวันนี้ KAMIL HABBATUSSAUDA จะขอนำเสนอแนวทางในการใช้ประโยชน์จากน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ตามแนวทางอายุรเวท ซึ่งเป็นการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย ที่มีอายุยาวนานกว่า 5,000 ปี และเป็นแนวทางแขนงหนึ่งของการแพทย์ทางเลือก 

“ฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ ฮับบะตุซเซาดาอ์” คือชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกในภาษาอาหรับ และเป็นที่นิยมเรียกกันในหมู่คนที่ไทยที่เป็นมุสลิม แทนคำว่า “ยี่หร่าดำ” ในภาษาไทย แต่ในประเทศอินเดียและปากีสถาน ซึ่งใช้ภาษาฮินดีและอูรดู จะเรียกฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือเจ้าเมล็ดสีดำนี้ว่าKalonji”

ในน้ำมันเมล็ดสีดำหรือฮับบาตุซเซาดะฮ์นั้น มีองค์ประกอบของสารอาหารมากกว่า 100 ชนิด มันเป็นสมุนไพรที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเราสามารถนำมาใช้เยียวทั้งภายนอก (ได้แก่ โรคสะเก็ดเงิน, กลาก, ผิวที่แห้งกร้านตามข้อศอก หัวเข่า และนวดหนังศีรษะ) และนำมาใช้ภายใน เพื่อบำบัดรักษาความเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ  (เช่น หอบหืด, ไขข้ออักเสบ, เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน)

จากผลการศึกษาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า Kalonji Oil หรือน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ, เป็นยาต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านการอักเสบ ดังนั้น จึงมักจะนำมาใช้เพื่อต่อสู้กับโรคที่มาจากการติดเชื้อต่าง ๆ โรคที่มาจากความเสื่อมของระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

ส่วนประกอบที่มีคุณค่าของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ Kalonji Oil ประกอบด้วย โปรตีนประมาณ 21% คาร์โบไฮเดรต 38% ไขมันจากพืช 35% ซึ่งประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและชีวิตประจำวัน



25 วิธีในการใช้ประโยชน์จากน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Kalonji Oil) ตามแนวทางอายุรเวท มีดังนี้

1. รักษาอาการหอบหืด (Asthma Attack)
ให้ผสมน้ำมัน Kalonji 10 หยด และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 แก้ว แล้วดื่มมันเป็นเครื่องดื่มในตอนเช้า และหลังอาหารค่ำอีก  1 ครั้ง เป็นเวลา 40 วัน เพื่อให้ได้รับผลการรักษาที่ดี

2. เลือดกำเดาออก (Bleeding of Nose)
เป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศร้อน ให้รักษาโดยเผากระดาษสีขาวสะอาดให้เป็นเถ้าถ่าน แล้วผสมกับน้ำมัน Kalonji 2 หยด หยอดใส่ภายในจมูก

3. แผลไฟไหม้ (Burns)
ผสมน้ำมัน Kalonji  5 กรัม น้ำมันมะกอก 30 กรัม Calamus (Buch) 15 กรัม และใบ Mehendi (หรือที่เรารู้จักว่าเฮนน่า) 80 กรัม ใช้ทาบนแผลไฟไหม้ เพื่อดับความร้อน ทำให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

4. จุกเสียดแน่นหน้าอก และมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร (Chest Irritation & Stomach Trouble)
ให้ผสม Kalonji oil  1/2 ช้อนชา กับนมอุ่น ๆ หนึ่งถ้วย ดื่มวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลาติดต่อกัน 3 วัน

5. ไอ & คัดแน่นจมูก (Cough & Congestion)
ให้ใช้น้ำมัน Kalonji ผสมกับเนย (Ghee เป็นเนยที่ใช้ทำข้าวหมก หรือแกงเนย เคยเห็นคุณแม่ใช้ และต้องไปซื้อที่บางรัก) และเกลือเล็กน้อย แล้วนำมาถูบริเวณลำคอและหน้าอกวันละครั้ง นอกจากนี้ ให้ใช้น้ำมัน Kalonji ½ช้อนชา รับประทานในตอนเช้าทุกวัน จะยังประโยชน์มากยิ่งขึ้น

6. ท้องผูก (Constipation)
ดื่มนมอุ่น ๆ ผสมกับน้ำมัน Kalonji 10 หยด และน้ำมันละหุ่ง 1 ช้อนชา

7. รังแค (Dandruff)
ผสมน้ำมัน Kalonji 10 กรัม, น้ำมันมะกอก 30 กรัม และผงเฮนน่า 30 กรัม นำมาอุ่นให้ร้อนสักครู่หนึ่ง เมื่อมันเย็นลงแล้วให้นำมาชโลมที่ศีรษะที่เป็นรังแค ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วสระล้างออกด้วยแชมพู

8. เบาหวาน (Diabetis)
ให้ดื่มชาดำ (black tea) 1 ถ้วย ผสมน้ำมัน Kalonji 1 ช้อนชา ดื่มวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและก่อนนอน และยังคงใช้มันอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยเป็นเวลา 40 วัน หลังจากนั้นให้ไปตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด ถ้ามันอยู่ในระดับปกติ ก็ให้หยุดการดื่มชาดำ

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

13 คุณประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพจากน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil)


น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil เป็นสารสกัดที่จากเมล็ด ซึ่งดอกของมันมีชื่อเรียกว่า Nigella sativa ส่วนตัวเมล็ดนั้น บางทีเราก็เรียกว่า "เมล็ดสีดำ" บางทีก็เรียก "ยี่หร่าดำ"  โดยมันได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ ในแถบตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ดังนั้น ในอียิป์โบราณ เราจึงสามารถพบเห็นเมล็ดสีดำนี้ อยูในสถานที่ฝังพระศพของ ฟาโรห์ Tutankhamen



คุณประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil)
  1. ป้องกันมะเร็ง (Cancer Prevention) ในงานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่ง เราพบว่าสารสกัดในเมล็ดสีดำสามารถปกป้องเซลล์ที่มีสุขภาพดี และทำลายเซลล์ที่เป็นเนื้องอกหรือเนื้อร้าย ในขณะที่มันสามารถเพิ่มระดับของแอนตี้บอดี้ (antibodies) ในร่างกาย ซึ่งประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants), ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ รวมทั้งทุก ๆ องค์ประกอบที่มีส่วนสำคัญในการป้องกันโรคมะเร็ง
  2. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูง (High In Antioxidants) ในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง จึงช่วยป้องกันการความเครียด (oxidative stress) ที่เกิดขึ้นกับเซลล์ และระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งสารสกัดไธโมควิโนน (thymoquinone) ที่แสดงให้เห็นว่า มันสามารถป้องกันโรคหัวใจ, โรคตับ และโรคไต จากการศึกษาทดลองในสัตว์
  3. ต้านการอักเสบ (Anti-Inflammatory) จากการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า   น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) สามารถลดการอักเสบ โดยการใช้   น้ำมันเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ทาที่ผิวหนัง เพื่อลดความเจ็บปวด และบรรเทาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ
  4. ป้องกันอาการแพ้ (Antihistamine) มันเป็นสารธรรมชาติที่ช่วยต้านทานการปลดปล่อยฮิสตามีนของร่างกาย ที่เกิดจากการแพ้และการระคายเคือง โดยน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ได้แสดงให้เห็นว่า มันสามารถทำลายจุลินทรีย์ (microorganisms) ซึ่งเป็นเชื้อโรคขนาดเล็ก เช่น ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย ในการทดสอบทางแลป (lab)
  5. ต่อต้านแบคทีเรีย (Antibacterial) ผลงานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) มีความสามารถในการทำลายเชื้อแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ในระบบทางเดินอาหาร รวมทั้งเชื้อรา, แคนดิดา (candida) และเชื้ออีโคไล (E. coli)
  6. ลดความดันโลหิต (Blood Pressure) มีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารสกัดสำคัญในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) สามารถลดความดันโลหิต
  7. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกั (Immune System Support)เจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุขของรัฐหลายคนกล่าวว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยการเพิ่มปฏิกิริยาที่มีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และการผลิตสารแอนติบอดี้ (antibodies)
  8. ลดอาการภูมิแพ้ (Allergy Reliefการศึกษาในผู้ป่วย 152 ราย เมื่อปี 2003 พบว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ช่วยลดอาการของโรคภูมิแพ้ และอาจจะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาการแพ้  นอกเหนือจากนี้ ได้มีการศึกษาในผู้ป่วยอีก 600 ราย พบว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ช่วยลดอาการแพ้ได้ถึง 70% ของกรณีศึกษา
  9. รักษาโรคเบาหวาน (Diabetes) จากการศึกษาพบว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีระดับน้ำตาลกลูโคสและระดับอินซูลิน ที่สมดุลหลังมื้ออาหาร
  10. ส่งเสริมสุขภาพของระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Health) น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ได้แสดงให้เห็นว่า มันมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคหอบหืด และลดอาการของการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการไอ และโรคหลอดลมอักเสบ
  11. ช่วยระบบย่อยอาหาร (Digestive Aid) มันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ช่วยกระบวนการกำจัดสารพิษของร่างกาย ช่วยกระตุ้นน้ำดีในกระเพาะอาหาร และสามารถใช้เป็นยาระบาย
  12. รักษาโรคนอนไม่หลับ (Insomnia) การศึกษาแสดงให้ว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) สามารถช่วยขจัดความผิดปกติของการนอนหลับ เมื่อใช้รับประทานก่อนนอน
  13. ให้สุขภาพผิวที่ดี (Healthy Skin) น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) อาจมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวเรื้อรัง 

ดังนั้น ถ้าคุณต้องการที่จะทดลองใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) เพื่อเป็นยารักษาทางธรรมชาติ ที่ถือว่าเป็นที่นิยมมากที่สุดในหมวดอาหารเสริมแล้วล่ะก็ น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ที่สกัดด้วยวิธีบีบเย็น (cold-Pressed Oil) ที่บรรจุในรูปแคปซูล ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่น่าตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว

Source : http://www.healthdiaries.com/eatthis/13-health-benefits-of-black-seed-oil-.html

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมลาโทนิน (Melatonin) ฮอร์โมนที่ช่วยการนอนหลับ และต้านความชรา



เมลาโทนิน (Melatonin) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกสร้างโดย ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ในสมอง การหลั่งของเมลาโทนินเกี่ยวข้องกับช่วงเวลากลางวัน-กลางคืน กล่าวคือ ในเวลากลางวัน เมื่อเรติน่าในลูกนัยน์ตารับแสงก็จะส่งกระแสประสาทไปยัง Sympathetic nervous system ซึ่งเป็นระบบประสาทอัตโนมัติ และส่งต่อไปยังต่อมไพเนียล เพื่อยับยั้งการหลั่งเมลาโทนิน  แต่จะหลั่ง ฮอร์โมนเซโรโทนีน (serotonin) ออกมา เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของคนเราเริ่มทำงาน ทำให้เกิดความกระฉับกระเฉง มีอารมณ์แจ่มใส  ครั้นเมื่อถึงเวลากลางคืน แสงอาทิตย์หายไปจากโลก ความมืดเข้ามาแทนที่ทำให้แสงสว่างหายไปจากจอรับภาพของดวงตา  สัญญาณแห่งความมืดก็จะกระตุ้นให้ต่อมไพเนียลทำหน้าที่สังเคราะห์ “เมลาโทนิน” ออกมา เพื่อเตือนให้ร่างกายต้องการพักผ่อน และเหนี่ยวนำให้เกิดการง่วงนอนและนอนหลับสนิท  ครั้นเมื่อร่างกายและจิตใจเข้าสู่ภวังค์หลับสนิทแล้ว ฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งมีคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง ในการเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือสารต่อต้านไม่ให้ร่างกายเสื่อมก่อนวัย หรือที่บางคนอาจเรียกว่า “สารต่อต้านความชรา” (Anti-aging) ก็จะไปกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน หรืออนุมูลอิสระที่เกิดจากความเครียดและสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ก็จะถูกกำจัดออกไปด้วย

ในขณะเดียวกัน เมื่อเรานอนหลับสนิทต่อมไร้ท่อในสมองอีกต่อมหนึ่ง คือ ต่อมไฮโปทารามัส (Hypothalamus) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับความหิว ความกระหาย เรื่องเซ็กส์ และเป็นนาฬิกาชีวิต ซึ่งควบคุมอายุของมนุษย์ จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน จีเอ็น อาร์เอช (Gn RH) ออกมา ในเพศหญิงจะไปกระตุ้น การเจริญของไข่ในรังไข่ และกระตุ้นรังไข่ให้สร้างฮอร์โมนเอสโทรเจน  และในเพศชายจะไปกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศชาย หรือฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ช่วยในการสร้างสเปิร์ม (sperm) ซึ่งจะมีระดับสูงสุดในช่วงตอนเช้าประมาณ 5-7 โมงเช้า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานตลอดวัน  และช่วยให้คุณผู้ชายกล้ามเนื้อแข็งแรง กระฉับกระเฉง มีความตื่นตัวในการทำงานสู้กับชีวิต  ดังนั้น ถ้าร่างกายหลับสนิทฮอร์โมนต่าง ๆ ก็จะทำงานได้อย่างเต็มที่

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ระบบการทำงานของสารสื่อประสาทหรือสารเคมีในสมอง ทำงานอย่างไร?


เรามาทำความรู้จักกับ “สมองก่อนว่า..มีหน้าที่อย่างไร??
สมอง เป็นอวัยวะที่มีโครงสร้างซับซ้อน ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายในแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว ระบบประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น การได้ยิน การมองเห็น การรับรู้กลิ่นและรส เป็นต้น นอกจากนี้สมองยังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก การเรียนรู้ และความจำ สมองประกอบด้วยเซลล์ประสาทจำนวนมากกว่าแสนล้านเซลล์ ที่มีแขนงประสาทงอกออกมา ประสานกันเป็นร่างแห เพื่อใช้ในการติดต่อและส่งสัญญาณประสาท เมื่อได้มีการกระตุ้นจากการเรียนรู้ และได้รับสารอาหารที่เหมาะสม จะทำให้สมองสามารถส่งสัญญาณประสาทได้เร็วขึ้น และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สารสื่อประสาท หรือสารเคมีในสมอง ประกอบด้วย
  1. เซโรโทนิน (Serotonin)  เป็นสารเคมีในสมองที่สำคัญที่สุด มีผลทำให้ไม่เครียด รู้สึกอารมณ์ดี คิดว่าตนเองมีคุณค่า ทำให้นอนหลับง่าย  ร่างกายจะมีปัญหาในการผลิตสาร      เซโรโทนิน ถ้าเกิดความรู้สึกเครียด, ไม่ได้ออกกำลังกาย, รับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ, ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์, หรืออยู่ในที่ร้อนอบอ้าว และเมื่อร่างกายขาดเซโรโทนิน ก็จะทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล ความโกรธเกรี้ยว การซึมเศร้า นอนไม่หลับ รู้สึกพักผ่อนไม่เพียงพอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย วิงเวียน เซโรโทนิน ยังเป็นสารที่ช่วยให้การทำงานของสมองทำงานอย่างถูกต้องแม่นยำ เหมือนเป็น "ระบบเข็มนาฬิกา" ของสมอง ที่ทำให้ทุกอย่างหมุนไปตามจังหวะเดิม
  2. เมโลทานิน (Melotanin)  เป็นสารที่มีมากแล้วทำให้คนรู้สึกสดชื่น ฟื้นจากการเจ็บป่วยเร็ว และยังทำหน้าที่เป็นฮอร์โมน ต้านความชรา” (Anti-aging)  และเป็นสารที่ทำงานเกี่ยวเนื่องกับเซโรโทนิน ในแต่ละวันเซโรโทนินจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีกลายเป็นสารที่มีส่วนผสมคล้ายกัน เรียกว่า “เมโลทานิน”  และสารเมโลทานินนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นเซโรโทนิน
  3. เอ็นโดรฟีน (Endrophine) เป็นสารด้านบวกอีกตัวที่สมองต้องการ เพื่อต่อสู้กับความเครียด เนื่องจากสารตัวนี้ทำให้คนเกิดความสุข และช่วยให้สมองทำงานดี  การขาดสารตัวนี้จะทำให้คนเรารู้สึกขาดความสุข โลกขาดสีสัน ไร้อารมณ์รัก รู้สึกตัวเองบกพร่องและมีอารมณ์อ่อนไหวเกินเหตุ
  4. โดปามีน (Dopamine) เป็นตัวช่วยในระบบความจำ สร้างสมาธิ ทำให้หรรษา และควบคุมการหลั่งน้ำย่อยให้เป็นปกติ โดปามีนนี้จะทำงานโดยสัมพันธ์กับเอ็นโดรฟีน คือ เมื่อโดปามีนลดลงเอ็นโดรฟีนจะลดลงด้วย จึงทำให้เกิดความทุกข์ แม้ได้ทำกิจกรรมปกติที่เคยทำแล้วสนุก คนป่วยก็จะรู้สึกเจ็บ  เมื่อโดปามีนเพิ่มขึ้นจะกระตุ้นให้เกิดอ็อกซี่ท็อกซิน (Oxytocin) ที่ทำให้คนมีความรู้สึกทางเพศ มีอารมณ์ผูกติดกับผู้อื่น อยากถูกกอดจูบลูบคลำ
  5. กาบ้า (Gamma Amino Butyric Acid / GABA) สารนี้เรียกอีกอย่างว่าเป็น  "ยาแก้ปวดโดยธรรมชาติ"  เนื่องจากช่วยบำบัดความเจ็บปวดของบาดแผล คลายเครียด คลายกังวล ทำให้สงบ การขาดสารนี้จะมีผลทำให้รู้สึกไม่มั่นคง หวาดกลัว ผวา วิตกกังวล และทำให้    ร่างกายขาดเซโรโทนิน โกรธง่าย และอารมณ์ไม่แจ่มใส นอนไม่หลับ
  6. สารเคมีกลุ่มที่ช่วยกระตุ้นสมอง หรือ Excitatory  เช่น นอร์ไพน์ฟรีน (Norepinephrine) ที่ทำให้คนตื่นเต้น รู้สึกมีความสุข คลายความซึมเศร้า มีความต้องการทางเพศ และช่วยกระตุ้นความคิด ทำให้คิดเร็วมีหลักการ  
ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil ( ซึ่งตัวเมล็ดของมันนั้น คนไทยนิยมเรียกว่า “ยี่หร่าดำ” หรือ “เทียนดำ” ) มีคุณสารอาหารที่ช่วยสร้างสารสื่อประสาทในสมองอยู่แล้วแทบทั้งสิ้น ทั้งนี้ เนื่องจากในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ประกอบด้วย กรดอะมิโนต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายมากถึง 15 ชนิด มากกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ (ซึ่งบางชนิดเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง ต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร เท่านั้น) ตัวอย่างเช่น
  • เมทไธโอนิน (Methionine) และทริฟโตแฟน (Tryptopan) ที่ช่วยให้ร่างกายหลั่งสาร  เซโรโทนิน (Serotonin) ที่ช่วยรักษาอาการซึมเศร้า และทำงานร่วมกับสารสื่อประสาท เมลาโทนิน (Melotanin)
  • ฮิสทิดีน (Histidine) ช่วยการทำงานของระบบประสาท และยังมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเด็ก
  • แอล-อาร์จินีน (L-Arginine) กรดอะมิโนที่ช่วยให้ร่ายกายหลั่งสารเมลาโทนิน ช่วยให้เราหลับสบาย รักษาอาการนอนไม่หลับ เป็นฮอร์โมน ต้านความชรา” (Anti-aging)  ช่วยทำให้ร่างกายดูอ่อนกว่าวัย ฟื้นคืนความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้กลับคืนมา  

    นอกจากนี้ ยังมีกรดไขมัน, วิตามีน และเกลือแร่อีกหลายชนิด ในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างสารสื่อประสาทในสมอง เช่น กรดโอเมก้า 3 (ที่ได้จากปลาทะเลน้ำลึก) มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พบว่า ช่วยทำให้ประสาทสงบ และเพิ่มการหลั่งของสารเซโรโทนิน (Serotonin) 
    วิตามินบี 1, วิตามินบี 3 และโซเดียม ที่ช่วยส่งผ่านสัญญาณและกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท

KAMIL HABBAUSSAUDA เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรในรูปแคปซูล รับประทานง่าย 
ภายในแคปซูล บรรจุน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ บริสุทธิ์ 100% (มีความเข้มข้นสูง ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันอื่นเจือปน สังเกตได้จากสี กลิ่น รส ของผลิตภัณฑ์)  กรดอะมิโน หรือวิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ  ที่อยู่ในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ของ KAMIL จึงเป็นสารอาหารที่สกัดมาจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ล้วน ๆ มิได้มีการปรุงแต่ง หรือผลิตขึ้นมาจากส่วนประกอบของสารเคมีใด ๆ   

ดังนั้น ผู้บริโภคน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ของ KAMIL จึงมั่นใจได้ว่า คุณจะได้รับผลตอบรับที่สมบูรณ์ที่สุด ตรงตามคุณสมบัติหรือประสิทธิภาพของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์อย่างแท้จริง  ทั้งนี้ การตอบรับเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล และปริมาณที่คุณเลือกรับประทาน และตัวคุณเท่านั้น คือ หมอรักษาตัวเองที่ดีที่สุด ด้วยกับการมอบหมายให้ KAMIL เป็นเครื่องมือหรือผู้ช่วยในการดูแลสุขภาพของคุณ



“รักใคร ชอบใคร” ปีใหม่นี้ อย่าลืม!! เลือก KAMIL HABBATUSSAUDA เพื่อมอบให้เป็นของขวัญที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับคนที่คุณรักนะคะ :))

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

“ฮับบาตุซเซาดะฮ์” เมล็ดพันธุ์แห่งความสุข ! !

พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกในภาษาอาหรับว่า “ฮับบาตุซเซาดะฮ์” บางทีเรียก “ฮับบะอัลบะร่อกะฮ์” ซึ่งหมายถึงเมล็ดพันธุ์แห่งความสุข และความมีสิริมงคล ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกที่เจ้าเมล็ดสีดำ ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า “Black Seed” จะถูกเรียกว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความสุข   ทั้ง นี้ เพราะคุณสมบัติที่หลากหลายของมันที่มีอยู่ในตัวเมล็ดเล็ก ๆ สีดำนี่เอง เป็นยาวิเศษในการเยียวยาความเจ็บป่วยในการร่างกายได้ทุกโรคอย่างน่า มหัศจรรย์  และแม้แต่ตัวดอกของมันเอง ก็ให้ความเจริญตาเจริญใจ และเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่งดงามจนชวนให้หลงใหลในความงามของมัน โดยเรามักจะเรียก "ดอก" ของมันด้วยชื่อทางหรือเรียกทางวิทยาศาสตร์ Nigella sativa  มันมีสีสันที่สดสวย แลดูนุ่มนวลอ่อนหวาน ชวนให้หลงเสน่ห์ในความงามของมัน ด้วยสีขาว ฟ้าอ่อน ฟ้าคราม ม่วง ชมพูอ่อน และชมพูเข้มออกแดง(พันธุ์เปอร์เซีย) ส่วนพันธุ์ที่มีสีฟ้าคราม หรือ Nigella damascena 'moody blues' & 'cambridge blue' นั้น  พวกเขามักเรียกมันว่า Love-in-a-Mist  “ความรักในสายหมอก”