วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

วิธีใช้และรับประทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺ


§  รับประทาน ครั้งละ 1 – 3 แคปซูล (ก่อนอาหาร..ช่วงท้องว่าง เพราะจะช่วยให้ยาดูดซึมเข้าไปได้ดี
§  รับประทานวันละ 3 เวลา (เช้า-กลางวัน-เย็น) มื้อเย็นถ้าไม่ได้รับประทานสามารถรับประทานก่อนนอนได้ค่ะ  และหากว่าลืมรับประทานมื้อไหน ก็สามารถทานตอนไหนก็ได้ที่ท้องว่างนะคะ
§  การรับประทานครั้งแรก ให้เริ่มรับประทานที่มื้อละ 2 แคปซูลไปก่อนค่ะ ถ้าร่างกายปรับตัวดีแล้ว สามารถเพิ่มเป็นมื้อละ 3 แคปซูลได้  หรือหากรู้สึกว่าสุขภาพดีขึ้นมากแล้ว สดชื่นแล้วก็สามารถ  ปรับลดลงเหลือมื้อละ 1 แคปซูล หรือทานมื้อละ 2 แคปซูล วันละ 2 เวลา (เช้า-เย็น/ก่อนนอน)

Ø น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺ สามารถนำมาผสมอาหารรับประทาน โดยใส่ในเครื่องดื่มอุ่น ๆ เช่น ใส่ในนมสดอุ่น ๆ (ช่วยให้หลับสบาย รักษาโรคกรดไหลย้อน) ใส่ในกาแฟดำร้อน (ช่วยระงับอาการหอบหืดเฉียบพลัน) หรือใส่ในน้ำผลไม้ที่ไม่แช่เย็น สำหรับเด็ก ๆ ที่รับประทานยาแบบเม็ดไม่ได้ค่ะ

ü เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้รับประทาน เพื่อรักษาอาการอักเสบ หรือติดเชื้อ เช่น เป็นไข้หวัด หลอดลมอักเสบ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะแผนปัจจุบันที่ขายตามท้องตลาด  เพราะยาปฏิชีวนะ หากใช้ไม่ครบโดส ก็จะทำให้เชื้อดื้อยา และไม่เป็นผลดีแก่ร่างกาย
ü เป็นไข้หวัด คออักเสบ หลอดลมอักเสบ รับประทานวันละ 3 เวลา (เช้า-กลางวัน-เย็น) มื้อละ 3 แคปซูล เมื่อหายดีแล้วสามารถหยุดทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺได้ โดยไม่ต้องรอครบ 7 วัน หรือ   จะทานต่อเนื่องไปอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรค ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงก็ยิ่งดีค่ะ

นอกจากใช้รับประทานแล้ว น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺ ยังสามารถนำมาใช้ทาร่างกายภายนอกได้ด้วยค่ะ เช่น
  • ทาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทาที่ขยับระงับอาการปวดศีรษะ คลายเครียด  หรือนำมาใส่แผลสด ที่ถูกมีดบาด หรือหกล้ม เนื่องจากในน้ำมันมีตัวยาที่ฆ่าเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่าง ๆ มากมาย ช่วยทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติค่ะ


ใช้ในการเสริมความงาม โดยสามารถนำมาทาที่ผิวหน้า ช่วยให้หน้าใส ลบเลือนริ้วร้อย และจุดด่างดำ ฝ้า กระ

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

โรค MS รักษาด้วยน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺ ได้จริงหรือ?

ก่อนอื่นเราขอนำคุณมารู้จักกับอาการและสาเหตุของโรคกันก่อนดีกว่านะคะ ลองสำรวจดูว่า คุณมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันหรือไม่?

- มีปัญหาเรื่องกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ เช่น ปัสสาวะไม่ออก กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ท้องผูก อ่อนเพลีย ปวดอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน
- มีปัญหาการมองเห็น เช่น เห็นภาพซ้อน ตามัว มีปัญหาการแยกแยะสิ่งต่าง
- การทรงตัว การกลืนและการพูด แขนขาอ่อนแรง
- มีอารมณ์แปรปรวน

อาการเหล่านี้คือสัญญาณบอกเหตุว่า ถึงเวลาที่คุณต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาโรคเอ็มเอสกันแล้ว

โรคเอ็มเอส หรือโรคมัลติเพิล สเคลอโรซิส (Multiple Sclerosis : MS) หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “โรคปลอกประสาทอักเสบ” เชื่อว่าเป็นที่รู้จักกันตั้งแต่ปี ค.ศ.1838 จากภาพวาดการตรวจศพ ซึ่งมีลักษณะทางพยาธิเหมือนโรคเอ็มเอส แต่ถูกบันทึกอาการของโรคอย่างเป็นทางการ เมื่อปี ค.ศ.1868 โดย Professor Jean-Martin Charcot อายุรแพทย์ทางด้านประสาท และผู้เชี่ยวชาญพยาธิวิทยาด้านกายวิภาคศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า พบผู้ป่วยเพศหญิง มีอาการสั่น พูดอ้อแอ้ กลอกตาผิดปกติ และภายหลังการเสียชีวิตผลการชันสูตรศพพบว่า มีรอยแผลเป็น (scar) ที่บริเวณประสาทส่วนกลาง ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นแข็ง (plaques) จำนวนมาก (multiple) จากลักษณะอาการที่พบจึงเป็นที่มาของชื่อโรคว่า “Multiple Sclerosis”

สาเหตุการเกิดโรค MS
โรคเอ็มเอสเกิดจากเยื่อกั้นระหว่างหลอดเลือดและระบบประสาทถูกทำลาย โดยเกิดในช่วงระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งประกอบด้วย สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทตา ผลที่ตามคือ แมคโครฟาจ (macrophage) และทีเซลล์ (T-cell) ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่ในเม็ดเลือดขาว มีหน้าที่คอยดักจับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในกระแสเลือด จะเข้าไปทำลายเซลล์สมอง เพราะคิดว่า เป็นเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม เนื่องจากไม่เคยพบมาก่อนในหลอดเลือด

ฉะนั้น ด้วยลักษณะของการเกิดของโรค “โรคเอ็มเอส” จึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มของโรค
“ออโตอิมมูน” (autoimmune disease) คือ โรคที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ตัวเอง


ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดโรค
โรคเอ็มเอส เกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม รวมถึงเชื้อไวรัส โดยพบว่าผู้ที่มีประวัติว่า มีญาติพี่น้องเป็นโรคเอ็มเอส มีโอกาสจะเป็นโรคเอ็มเอสมากขึ้น ถึงร้อยละ 20 เมื่อเปรียบเทียบกับคนปกติ นอกจากนี้การสูบบุหรี่ก็มีผลต่อการเกิดโรคเอ็มเอส และยังพบว่าผู้ป่วยโรคเกาท์ ผู้ที่มีระดับกรดยูริกต่ำ ก็มีโอกาสเป็นโรคเอ็มเอสมากกว่าคนทั่วไป

กลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเอ็มเอส
- โรคเอ็มเอส มักพบในกลุ่มหนุ่มสาวและคนวัยทำงาน อายุตั้งแต่ 20-40 ปี แต่พบน้อยในคนที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี และมากกว่า 55 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ยังพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า
- สำหรับพื้นที่ที่พบโรคเอ็มเอส ส่วนมากมักจะเป็นแถบที่มีความเจริญทางอุตสาหกรรม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และพื้นที่ยิ่งไกลจากเส้นศูนย์สูตรมากก็ยิ่งพบมากขึ้น ขณะที่ประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรจึงพบผู้ป่วยน้อย
-สำหรับประเทศไทยแม้ว่าจะพบผู้ป่วยโรคเอ็มเอสไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นโรคที่มีความรุนแรงและหากปล่อยไว้นานก็อาจจะพิการได้ร้อยละ 50

โรคเอ็มเอส มีกี่ประเภท โดยทั่วไปมีการแบ่งโรคเอ็มเอส ออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1. โรคเอ็มเอสชนิดที่เป็นๆ หายๆ (relapsing-remitting MS : RR-MS)
โดยพบมากที่สุดถึงร้อยละ 80 ผู้ป่วยที่เป็นโรคเอ็มเอสประเภทนี้จะมีอาการดีขึ้นจนดูเหมือนหายแล้ว แต่หลังจากนั้นก็จะกลับมาเป็นอีก ซึ่งในช่วงที่หายดีอาจทิ้งช่วงกินเวลาเป็นเดือน หรือเป็นปีก็ได้ ไม่แน่นอน

2. โรคเอ็มเอสแบบการดำเนินโรคค่อยๆ รุดหน้าในภายหลัง (secondary progressive MS : SP-MS)
มักเกิดหลังจากเป็น RR-MS ในช่วงแรกแล้ว หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระยะ SP-MS ในภายหลัง โดยร้อยละ 40-60 ของผู้ป่วย RR-MS จะเข้าสู่ระยะ SP-MS ใน 15-20 ปีต่อมา ซึ่งอาการของโรคจะเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จะกลับมาดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็ได้

3. โรคเอ็มเอสแบบการดำเนินโรครุดหน้าตั้งแต่ระยะแรก (primary progressive MS : PP-MS)
เป็นประเภทที่พบได้น้อย คือประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วยโรคเอ็มเอสทั้งหมด โดยผู้ป่วยจะค่อยๆ มีอาการเลวลงตั้งแต่เริ่มแรก และค่อยๆ สูญเสียสมรรถภาพการทำงานเรื่อยๆ โดยจะไม่พบอาการที่เลวลงอย่างเฉียบพลัน หรือกลับมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะพบเพียงอาการที่ค่อยๆ เลวลงทีละน้อย

4. โรคเอ็มเอสชนิดที่มีทั้งการดำเนินโรครุดหน้าและมีลักษณะของการกลับเป็นซ้ำ (progressive relapsing MS : PR-MS)
เป็นประเภทที่พบน้อยมากเพียงร้อยละ 3-5 การดำเนินของโรคจะเร็วมาก จากนั้นก็จะกลับมาดีขึ้น แล้วก็จะมีอาการอีกและเริ่มรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

5. โรคเอ็มเอสชนิดไม่ร้ายแรง (Benign MS)
ซึ่งมีลักษณะเฉพาะเหมือนกับชื่อของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการเพียงเล็กน้อย เหมือนในช่วงระยะเริ่มแรกที่มีการกำเริบ อาจมีอาการเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต และสามารถฟื้นฟูกลับมาได้เกือบสมบูรณ์ บางครั้งระยะเวลากว่าจะมีการกำเริบเป็นครั้งที่ 2 อาจจะกินเวลาถึง 20 ปี การดำเนินโรคเป็นไปช้ามาก

การวินิจฉัยโรคโดยแพทย์เฉพาะทาง ประกอบด้วยหลายวิธี คือ

1. การซักประวัติ โดยแพทย์ทางประสาทวิทยาจะทำการซักประวัติ เพื่อวินิจฉัยแยกโรคเอ็มเอส จากโรคอื่นๆ
2. การทดสอบทางประสาทวิทยา เช่น สอบถามประวัติอาการในอดีต ตรวจการทำงานของตา การทรงตัว การรับสัมผัส และปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ (reflex action) เป็นต้น
3. การใช้เครื่องเอ็มอาร์ไอทำการตรวจสแกน ซึ่งจะทำให้สามารถมองเห็นภาพของสมองหรือไขสันหลัง ตำแหน่งที่เยื่อไมอีลินถูกทำลายและมีการสลายตัวเห็นเป็นรอยแผลเป็น
4. การทดสอบทางสรีระวิทยาไฟฟ้าของสมองที่เรียกว่า "Evoked potentials" คือ การตรวจสอบความเร็วจากสิ่งกระตุ้น เป็นต้นว่า เสียงหรือภาพที่ส่งไปยังสมอง หรือความเร็วของการสั่งการจากสมองไปยังอวัยวะอื่น ๆ ว่ามีความล่าช้ากว่าปกติหรือไม่อย่างไร
5. การเจาะไขสันหลัง ที่เรียกว่า "Lumbar puncture" เพื่อดูดเอาน้ำเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) ไปตรวจพิสูจน์ว่าเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีจำนวนมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่า มันทำงานมากขึ้นเกิดปฏิกิริยาเล่นงานโจมตีประสาทส่วนกลาง

การรักษาทางการแพทย์ปัจจุบัน
โรคเอ็มเอส ทางการแพทย์ถือว่า เป็นโรคที่รักษาไม่หาย แพทย์จึงรักษาตามอาการของโรคในขณะนั้น

ทำไมน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺ จึงสามารถรักษาโรคเอ็มเอสได้??

ถ้าใครที่เคยอ่านคุณสมบัติของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺ (Black Seed Oil) และติดตามข้อมูลความรู้ทางวิชาของทางเว็บบล็อก KAMIL HABBATUSSAUDA นี้มาแล้ว พอได้อ่านข้อมูลข้างต้นเกี่ยวกับโรคเอ็มเอส ก็คงต้องร้อง.. “อ๋อ!! โรคนี้ไม่ต้องห่วงแล้ว น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺ หรือ Black Seed Oil สามารถให้การรักษาเยียวยา ได้ดีมาก ๆ” เพราะเนื่องจากชื่อโรคก็บอกอยู่ชัดเจน ว่า เป็นโรคปลอกประสาทอักเสบ และปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ก็เนื่องมาจากการติดเชื้อไวรัส นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า โรคเอ็มเอส
จัดอยู่กลุ่มของโรค “ออโตอิมมูน” (autoimmune disease) คือ เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง หรือทำลายเซลล์ตัวเอง ที่นี้ลองมาดูกันซิว่า.. เหตุใด Black Seed Oil จึงสามารถรักษาโรค MS ได้

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil, Black Cumin Seed Oil)


ประกอบด้วยสารอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการมากมายกว่า 100 ชนิด โดยมันจะทำงานร่วมกันและเสริมฤทธิ์กัน หมายความว่า แต่ละองค์ประกอบของมันจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการทำให้ร่างกายมีกลไกในการดูแลรักษาตัวเองแบบองค์รวม สารอาหารสำคัญที่อยู่ใน Black Seed Oil คือ Thymoquinone ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขจัดอนุมูลอิสระ

คุณประโยชน์ของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil)
1. ป้องกันมะเร็ง (Cancer Prevention) ในงานศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่ง เราพบว่าสารสกัดในเมล็ดสีดำสามารถปกป้องเซลล์ที่มีสุขภาพดี และทำลายเซลล์ที่เป็นเนื้องอกหรือเนื้อร้าย ในขณะที่มันสามารถเพิ่มระดับของแอนตี้บอดี้ (antibodies) ในร่างกาย ซึ่งประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants), ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ รวมทั้งทุก ๆ องค์ประกอบที่มีส่วนสำคัญในการป้องกันโรคมะเร็ง

2. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูง (High In Antioxidants) ในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง จึงช่วยป้องกันความเครียด (oxidative stress) ที่เกิดขึ้นกับเซลล์ และระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งสารสกัดไธโมควิโนน (thymoquinone) ที่แสดงให้เห็นว่า มันสามารถป้องกันโรคหัวใจ, โรคตับ และโรคไต จากการศึกษาทดลองในสัตว์

3. ต้านการอักเสบ (Anti-Inflammatory) จากการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) สามารถลดการอักเสบ โดยการใช้น้ำมันเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ทาที่ผิวหนัง เพื่อลดความเจ็บปวด และบรรเทาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ

4. ป้องกันอาการแพ้ (Antihistamine) มันเป็นสารธรรมชาติที่ช่วยต้านทานการปลดปล่อยฮิสตามีนของร่างกาย ที่เกิดจากการแพ้และการระคายเคือง โดยน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ได้แสดงให้เห็นว่า มันสามารถทำลายจุลินทรีย์ (microorganisms) ซึ่งเป็นเชื้อโรคขนาดเล็ก เช่น ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย ในการทดสอบทางแลป (lab)

5. ต่อต้านแบคทีเรีย (Antibacterial) ผลงานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) มีความสามารถในการทำลายเชื้อแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ในระบบทางเดินอาหาร รวมทั้งเชื้อรา, แคนดิดา (candida) และเชื้ออีโคไล (E. coli)

6. ลดความดันโลหิต (Blood Pressure) มีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารสกัดสำคัญในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) สามารถลดความดันโลหิต

7. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกั (Immune System Support) เจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุขของรัฐหลายคนกล่าวว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยการเพิ่มปฏิกิริยาที่มีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และการผลิตสารแอนติบอดี้ (antibodies)

8. ลดอาการภูมิแพ้ (Allergy Relief) การศึกษาในผู้ป่วย 152 ราย เมื่อปี 2003 พบว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ช่วยลดอาการของโรคภูมิแพ้ และอาจจะเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับอาการแพ้ นอกเหนือจากนี้ ได้มีการศึกษาในผู้ป่วยอีก 600 ราย พบว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ช่วยลดอาการแพ้ได้ถึง 70% ของกรณีศึกษา

9. รักษาโรคเบาหวาน (Diabetes) จากการศึกษาพบว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีระดับน้ำตาลกลูโคสและระดับอินซูลิน ที่สมดุลหลังมื้ออาหาร

10. ส่งเสริมสุขภาพของระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Health) น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ได้แสดงให้เห็นว่า มันมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคหอบหืด และลดอาการของการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการไอ และโรคหลอดลมอักเสบ

11. ช่วยระบบย่อยอาหาร (Digestive Aid) มันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ช่วยกระบวนการกำจัดสารพิษของร่างกาย ช่วยกระตุ้นน้ำดีในกระเพาะอาหาร และสามารถใช้เป็นยาระบาย

12. รักษาโรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
การศึกษาแสดงให้ว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) สามารถช่วยขจัดความผิดปกติของการนอนหลับ เมื่อใช้รับประทานก่อนนอน

13. ให้สุขภาพผิวที่ดี (Healthy Skin) น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) อาจมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวเรื้อรัง

จากการวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า ไม่มีสมุนไพรอื่นใดที่เป็นที่รู้จักกันว่า มีความสามารถที่หลากหลายในการรักษาโรคได้เท่ากับ Black Seed Oil และนี่คือคุณประโยชน์มหาศาลที่ได้จากน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺ หรือ Black Seed Oil.

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

ขนาดและวิธีในการรับประทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ Black Seed Oil

การรับประทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) นั้น ข้อบ่งใช้ในการรับประทาน คือ ถ้าจะให้ได้ผลดีควรรับประทานก่อนอาหาร หรือขณะท้องว่าง  แต่สำหรับขนาดในการรับประทานนั้น ไม่มีขนาดรับประทานที่แน่นอน ตายตัว ว่าต้องรับประทานวันละกี่เม็ด กี่มื้อ  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของภูมิหลังของแต่ละคน เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก สตรี คนชรา ผู้ที่โรคเจ็บป่วยเรื้อรังหลายโรค และโรคที่เป็นอยู่ภายในของแต่ละคน ซึ่งอาจแตกต่างกับไปตามชนิดของโรค ไม่เหมือนกันหมดทุกคน  
บางคนอาจรู้สึกว่า ตนเองสุขภาพดีอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาสุขภาพ ก็สามารถทานได้เช่นกัน  ทั้งนี้ เพื่อเสริมสุขภาพร่างกาย ให้น้ำมันเข้าไปซ่อมแซมสุขภาพบางจุดที่เสื่อมลง หรือปรับสมดุลของระดับฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย  ต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือสารพิษต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายของเราคนเราได้ทุกเมื้อเชื่อวัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ในบางครั้งและก็เป็นเรื่องจริงที่ว่า “เราไม่อาจรู้ได้เลยว่า เรามีปัญหาสุขภาพ หรือโรคแทรกซ้อนอยู่ภายใน หรือไม่?” หากอาการของโรคยังไม่แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัด  ยกตัวอย่างเช่น โรคร้ายแรงที่ฆ่าชีวิตคนไทย เป็นอันดับหนึ่ง ก็คือ โรคมะเร็ง  ผู้ป่วยหลายคนกว่าจะรู้ตัวว่าเป็น ก็เมื่ออาการถึงขั้นที่เกินกว่าจะเยียวยา เสียแล้ว

ดังนั้น น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) จึงเป็นสมุนไพร หรือจะเรียกว่า “ยา” ก็ได้เช่นกัน  เพราะมันมีคุณสมบัติในการบำบัดรักษาโรคทุกโรค  ทั้งโรคที่เกิดจากความเสื่อมตามสภาพในร่างกาย และโรคที่เกิดจากการติดเชื้อทุกชนิด  อีกทั้งเป็นทางเลือกหรืออาหารเสริมในการดูแลรักษาสุขภาพ  และสามารถรับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย  แม้แต่เด็กทารกเล็ก ๆ ก็ยังสามารถรับประทานได้ ไม่มีผลข้างเคียง หรือันตรายใด ๆ จาการทานต่อเนื่อง หรือสะสมของยา  เพราะมันเปรียบเสมือนอาหาร  แต่จะมีข้อยกเว้นในการรับประทาน ก็คือ “ห้ามรับประทาน ในคนที่ตั้งครรภ์หรือท้องอ่อน ๆ”  เนื่องจากน้ำมันมีคุณสมบัติในการบีบมดลูก จึงอาจเป็นอันตรายแก่ทารกในครรภ์  ซึ่งอาจทำให้แท้งได้  แต่ในคนที่ครรภ์แก่ใกล้คลอดแล้ว สามารถรับประทานน้ำมันนี้  เพื่อช่วยให้คลอดบุตรได้ง่าย (หรือมีลมเบ่งในการคลอดนั่นเอง)  ส่วนสตรีที่ประจำเดือนมาไปไม่ปกติ หรือปวดประจำ ก็สามารถรับประทานได้ จะช่วยปรับความสมดุลของระดับฮอร์โมน



KAMIL HABBATUSSAUDA : มีขนาดรับประทานที่ระบุไว้ในฉลากข้างขวด คือ ครั้งละ 1-3 แคปซูล วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร (เช้า-กลางวัน-เย็น)  ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรังหลายโรค อาจปรับเพิ่มขนาดรับประทานได้ถึง 4 แคปซูล ก็ได้ ทั้งนี้ จากประสบการณ์จริง ของตนเองเคยรับประทานถึง ครั้งละ 4 แคปซูล  โดยเริ่มต้นครั้งแรกในการรับประทานที่ครั้งละ 2 แคปซูล  หลังจากนั้นปรับเพิ่ม เป็นครั้งละ 3 แคปซูล มาเป็นระยะเวลานาน แต่ยังไม่ดีขึ้นในบางเรื่อง ก็ทดลองทาน จนถึง 4 แคปซูล ได้ระยะหนึ่ง  เมื่อรู้สึกสบายตัวขึ้น ก็ปรับลดลงมาเป็น 3 และ 2 ตามลำดับ  จนกระทั่งเห็นว่าสุขภาพดีแล้ว ก็ปรับเป็นทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น (หรือก่อนนอน)  และบางช่วงอาจหยุดทานไปเลยชั่วระยะหนึ่งก็ได้  แล้วก็กลับมาเริ่มต้นทานใหม่

สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพมากมาย ทานเพื่อดูแลรักษาสุขภาพ อาจทานมื้อละ 1 แคปซูล วันละ 3 เวลา หรือครั้งละ 2 เม็ด เช้า-เย็น  ส่วนเด็กเล็ก 7 ขวบขึ้นไป อาจทานมื้อละ 1 แคปซูล เช้า-เย็น  หรือถ้าเด็กเล็กมาก จะทานแค่วันละ 1 แคปซูล ก็ได้  ถ้าเป็นเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถทานยาเม็ดได้  ให้แกะแคปซูลออกใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในแคปซูล ผสมในเครื่องดื่ม เช่น นมอุ่น น้ำผลไม้  (ไม่ควรผสมในเครื่องดื่มที่เย็น)


ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือกรดไหลย้อน ให้ทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ผสมกับนมอุ่น ๆ ก็จะทำให้ดีขึ้น และหรือนำมาทานก่อนนอนก็ทำให้หลับสบาย  ส่วนผู้ที่มีอาการหอบหืด หรือจับหอบ ขึ้นมาเฉียบพลัน ให้ใส่น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ในกาแฟร้อน ๆ แล้วค่อยๆ ดื่ม จะทำให้หายใจโล่งขึ้น และหายหอบ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะได้สูดเอาน้ำมันหอมระเหยที่ถูกความร้อน และระเหยออกมา  นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ทาภายนอก คือใส่แผลสด แผลเริม แมลงสัตว์กัดต่อย หรือทาถูนวดแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ได้อีกด้วย

สรุปว่า หมอที่ดีที่สุดก็คือตัวเรานั่นเอง  เพราะรู้ความเจ็บป่วยภายในของตนเอง และรู้สึกได้ถึงผลตอบรับจากการรับประทาน  จึงสามารถสังเกตอาการและปรับขนาดยาได้ตามความเหมาะสม กับสภาพร่างกายของตนเอง  เพื่อที่จะทำให้เรารู้สึกว่าตนเองดีขึ้น สบายตัวขึ้น สดชื่นขึ้น เมื่อรับประทานยาในขนาดนั้น ขนาดนี้นั่นเองค่ะ

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ สามารถรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ (HIV) ได้

ณ วันนี้เราอาจจะพูดได้ว่า แทบไม่ต้องใช้วิธีการทางการแพทย์ในการ “รักษาโรค”  เนื่องจากมีกรณีศึกษาที่น่าทึ่งเกี่ยวกับ “ผู้ป่วยเอดส์ HIV Nagative” ที่สามารถบำบัดรักษาด้วยการใช้สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ เมล็ดสีดำ (Black Seed) และได้ผลในการบรรเทาอาการอย่างต่อเนื่อง จึงแสดงให้เห็นทางเลือกที่ปลอดภัย ซึ่งผู้คนสามารถเข้าถึงได้ ด้วยราคาที่ไม่แพง แทนที่การใช้ยาต้านไวรัส HIV ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งให้ผลข้างเคียงในความเป็นพิษสูงมาก



Nigella Sativa ที่เราเรียกว่าเป็น ฮับบาตุซเซาดะฮ์  หรือ Black Seed ได้มีการศึกษากันอย่างจริงจังและกว้างถึงคุณสมบัติและประโยชน์ของมันที่มีผลต่อสุขภาพ  และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ค้นพบสัญญาณหนึ่ง ซึ่งเชื่อได้ว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) สามารถเป็นตัวแทนในการรักษาโรคที่อาจเกิดการติดเชื้อไวรัสร้ายแรง รวมทั้งไวรัสตับอักเสบซี [i] และปัจจุบันนี้ (ปี 2013 ปีที่เขียนบทความ) สามารถรักษาโรคเอดส์ (HIV)

จากกรณีศึกษาที่น่าทึ่ง ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคมของปีนี้ (ปี 2013) ในวารสาร African Journal of Traditional, Complementary, and Alternative Medicine  กล่าวว่า ผู้ป่วยเอดส์ (HIV) หลังจากได้รับการรักษาด้วยสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed)  มีผลลัพธ์สามารถฟื้นคืนสุขสภาพได้อย่างสมบูรณ์  โดยไม่มีการตรวจพบเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือสารแอนติบอดี้ ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านเชื้อ HIV ในซีรั่มเลือดของพวกเขา ทั้งในระหว่างการรักษาและระยะยาวหลังการรักษาสิ้นสุดการรักษา [ii]

นี่เป็นข้อสังเกตที่น่าทึ่งและไม่อาจคาดคิดมาก่อน จากการอธิบายของนักวิจัยและทีมงาน ดังนี้ 
"Nigella sativa หรือ ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ได้รับการรับรองว่า มีฟังก์ชั่นในการรักษาจำนวนมาก ที่ถือได้ว่าเป็นยารักษาโรค  ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็คาดได้ว่า มันสามารถสร้างปรากฏการณ์พลิกกลับที่ทำให้ ค่าการติดเชื้อ HIV เป็นศูนย์ (0) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แม้จะมีการรักษากันอย่างกว้างขวาง ด้วยการใช้ยาต้านไวรัส (HAART)"

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการรักษาโดยทั่วไป ที่เป็นมาตรฐานของการดูแลรักษาโรคเอดส์ทั่วโลก รักษาด้วยยาต้านไวรัส ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมาก  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลกระทบต่อสุขภาพอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ของผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) นี่คือความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการติดเชื้อ และได้รับการบำบัดรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม พบว่าการทำงานของเลือดยังไม่มีอาการอื่นใด  ผู้ป่วยยังคงมีสุขภาพดี  แต่การรักษาด้วยยาเป็นประจำ จะมีผลให้เชื้อไวรัสเอชไอวีสามารถที่จะกลายพันธุ์ และมีความต้านทานที่แข็งแกร่งต่อยา หรือเรียกว่า “การดื้อยา” มากขึ้นของเชื้อ HIV ที่อยู่ในร่างกาย  ขณะที่ในเวลาเดียวกัน “ยา” ที่ใช้ได้สร้างความเสียหายที่รุนแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยอย่างน่าเศร้า  ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันลดลง และถึงแก่ความตายในที่สุด

"โรค" โดยตัวของมันเอง ก็เป็นปัญหาที่รู้จักกันดีว่า เราประสบกับความล้มเหลว เช่นเดียวกับการทำสงครามกับมะเร็ง ที่ 'เหยื่อ' (ผู้ป่วย) และ 'โรคมะเร็ง' ได้รับความล้มเหลวไม่หยุดหย่อน และแม้ว่าจะมีการส่งเสริมในเรื่องของการให้เคมีบำบัด การฉายรังสี และการผ่าตัด ก็ตาม

ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมในสมัยโบราณเราจึงใช้อาหารเป็นเสมือนการรักษาโรค ดังเช่นที่เราใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ เมล็ดสีดำ (Black Seed) ซึ่งการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โดยทั่วไปการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นยาในการบำบัดรักษาโรค มีความปลอดภัย ราคาไม่แพง และสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถรักษาโรคเอดส์ (HIV) ได้ ซึ่งถือว่าเป็นที่เรื่องที่น่าตื่นเต้นทีเดียว


ผู้ป่วยโรคเอดส์ (HIV) ฟื้นคืนเป็นปกติอย่าง 'ปาฏิหาริย์'
เริ่มแรกของการศึกษาทดลอง ผู้ป่วยมีอาการโดยทั่วไปที่พบได้ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยมีประวัติ เป็นไข้เรื้อรัง ท้องเสีย น้ำหนักลดในระดับปานกลาง และมีอาการคันแผล เป็นระยะเวลา 3 เดือน
ในระหว่างการศึกษาทดลอง ผู้ป่วยได้รับยา ร่วมกับการรับประทานน้ำมันฮับบบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) 10 MLS วันละสองครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน

ผลการทดลองพบว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และเชื้อไวรัสลดลงในระดับที่เชื่อถือได้ (significant) มีนัยยะสำคัญทางสถิติ

"ไข้ท้องเสีย และอาการคันแผลหายไป เมื่อวันที่ 5, 7 และ 20 วันตามลำดับ ในการรักษาด้วย Nigella sativa หรือฮับบาตุซเซาดะฮ์  ค่า CD4 ลดลงถึง 160 เซลล์ / mm3 แม้จะมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปริมาณไวรัส (≤1000 copies / ml) ในวันที่ 30 ของการใช้  Nigella sativa"

โดยในวันที่ 187 ของการรักษาด้วยเมล็ดสีดำ Black Seed การทดสอบแสดงให้เห็นว่า เลือดก็เคลียร์ทั้งหมดในเรื่องของสัญญาณของการติดเชื้อ ซึ่งอยู่ในสถานะที่เรียกว่า 'Zero-Nagative

หลังจากติดตามการทดสอบแสดงให้เห็นว่า แม้หลังจากการรักษา เป็นเวลา 24 เดือน โดยไม่ต้องรักษาด้วยการใช้สมุนไพร น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ Black Seed Oil ของผู้ป่วยเอดส์ การทดสอบพบว่า ผู้ป่วยยังคงมีอาการปกติ โดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ของการติดเชื้อใด ๆ หรือมีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น  ดังนั้น พวกเขาทีมงานวิจัยในครั้งนี้  

จึงสรุปว่า : "รายงานการศึกษาทดลองในกรณีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า การใช้รักษา Nigella sativa ในการรักษานั้น สามารถใช้เป็นตัวแทนในการรักษาที่เป็นไปได้และมีประสิทธิภาพ ในการควบคุมการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ได้"
-----------------
เอกสารอ้างอิง :
[i] Eman Mahmoud Fathy Barakat, Lamia Mohamed El Wakeel, Radwa Samir Hagag. Effects of Nigella sativa on outcome of hepatitis C in Egypt.  World J Gastroenterol. 2013 Apr 28;19(16):2529-36. doi: 10.3748/wjg.v19.i16.2529.
[ii] Abdulfatah Adekunle Onifade, Andrew Paul Jewell, Waheed Adeola Adedeji. Nigella Sativa Concoction Induced Sustained Seroreversion in HIV Patient. Afr J Tradit Complement Altern Med. 2013 Aug 12;10(5):332-5.

Source : Thank you very much for this website

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ บำบัดรักษาโรคได้ทุกโรค จริงหรือ?

ท่านศาสดาแห่งอิสลาม มุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้มีวจนะไว้เป็นเวลากว่า 1,400 ปีมาแล้ว ท่านกล่าวว่า “ฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย”  วจนะของท่านเป็นสัตย์จริง  ถ้าหากท่านติดตามอ่านบทความต่าง ๆ ในเว็บบล็อกนี้ ท่านก็จะพบว่า ในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil มีสารอาหารมากมาย กว่าหลายร้อยชนิด ที่ช่วยในการบำบัดรักษาโรค ทั้งโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย และโรคที่มาจากการติดเชื้อ  เพราะในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) มีสารอาหารที่เป็นตัวยาต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งเซลล์มะเร็ง และฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือปรสิต

คงไม่มีผู้กล้าที่จะปฏิเสธคุณสมบัติอันน่ามหัศจรรย์ ในการบำบัดโรคของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์   แต่เราจะได้รับประสิทธิภาพและประสิทธิผล จากการบริโภคน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ มากน้อยเพียงใดนั้น มีเงื่อนไขอยู่หลายประการ  เช่น
1.      ปริมาณในการบริโภค (doze ที่ได้รับนั้น เพียงพอแก่การบำบัดโรค หรือเยียวยาสุขภาพ ของผู้บริโภค หรือไม่  เนื่องจากอายุ เพศ วัย และพื้นฐานสุขภาพของแต่ละคนแตกต่างกัน และหมอที่รักษาหรือกำหนดขนาดยา (หมายถึง น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์) ในการบริโภคได้ดีที่สุด ก็คือ ตัวเราเอง หรือผู้บริโภค  
2.     ความแตกต่างของเมล็ดพันธุ์ ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ 
3.     ที่สำคัญที่สุด คือ ขั้นตอนในการสกัดน้ำมันมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด  เพราะว่า สารอาหารสำคัญนั้น จะอยู่ในตัวน้ำมันหอมระเหย ที่กลั่นออกมาก

ดังนั้น น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil ที่ดีที่สุดนั้น จะต้องมาจากน้ำมันที่สกัดออกมาด้วยวิธีบีบเย็น หรือ cold pressed และน้ำมันที่มีคุณภาพมากที่สุด คือ Extra Vergin Oil ถือว่าเป็นน้ำมันคุณภาพได้มาตรฐานสูงเป็นพิเศษ ไม่มีการใช้กระบวนการเคมี หรือความร้อน มีปริมาณ free fatty acid ไม่เกิน 1% มีความบริสุทธิ์ ยังคงสี กลิ่น และรสตามธรรมชาติของพืชชนิดนั้น ๆ ไว้ดีที่สุด จึงมีราคาแพง

การสกัดน้ำมันแบบบีบเย็น (Cold pressed) คือ การแยกส่วนของน้ำมันออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของพืชอย่าง เมล็ด หัว ใบ ดอก ผล และเปลือก โดยการบีบอัดที่อุณหภูมิปรกติ โดยพืชที่นำมาสกัดเย็นจะต้องไม่ผ่านความร้อนหรือสารเคมีมาก่อน หลังจากได้น้ำมันออกมาแล้วตั้งทิ้งไว้จนตกตะกอน จากนั้นจึงกรองเอาเฉพาะส่วนของน้ำมันที่บริสุทธิ์มาใช้ น้ำมันที่ได้จะใส สะอาด ไม่มีกลิ่นหืน และยังคงสภาพวิตามินต่าง ๆ ตามธรรมชาติไว้อย่างครบถ้วน

อุปกรณ์ในการสกัดน้ำมันมีหลายประเภท ตั้งแต่ขนาดเล็กที่ทำได้เองภายในครัวเรือน ขนาดใหญ่ที่ใช้สกัดในปริมาณมาก ๆ ในโรงงานขนาดเล็ก และขนาดที่ใช้ภายในโรงงานผลิตขนาดใหญ่  ซึ่งแต่ละขนาดนั้นมีกระบวนการหรือกรรมวิธีในสกัด และการควบคุมคุณภาพของน้ำมันที่แตกต่างกัน  ดังนั้น ประสิทธิภาพหรือสารอาหารที่ได้จากน้ำมันสกัดจึงแตกต่างกันนั่นเอง  และนี่คือ เหตุผลที่ว่า “ทำไมน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ เหมือนกัน จึงมีคุณภาพแตกต่างกัน?”


ลองมาชมอุปกรณ์ที่ใช้ในการสกัดน้ำมันจากคลิปวิดีโอ เหล่านี้เปรียบเทียบกันนะคะ

อุปกรณ์สกัดน้ำมัน แบบ Home made


อุปกรณ์การสกัดที่ควบคุมแบบ manaual ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น


การผลิตในโรงงานขนาดใหญ่ ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ
ขั้นตอน มาตรฐาน และความสะอาดในการผลิตได้มากยิ่งขึ้น

อุปกรณ์สกัดน้ำมัน Clod pressed machine มีหลากหลายชนิด  แตกต่างกันไปตามกระบวนการผลิต และขั้นตอนในการควบคุมคุณภาพของน้ำมัน และการรักษาระดับอุณหภูมิในขั้นตอนการผลิตก็เป็นสิ่งสำคัญ (อุณหภูมิในขณะที่เครื่องสกัดบีบอัดน้ำมัน จะต้องต่ำกว่า 120 องศาฟาเรนไฮต์) รวมทั้งการควบคุมในเรื่องความสะอาด และสิ่งปนเปื้อนต่าง ๆ หรือความชื้นของเมล็ดพันธุ์ ก่อนนำเข้าสู่ขบวนการสกัด  ตลอดจนควบคุมความสะอาด และสิ่งปนเปื้อนภายหลังจากได้รับผลผลิตออกมา จนกระทั้งบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์ที่พร้อมนำส่งถึงมือผู้บริโภค

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ของ KAMIL ปรับราคาใหม่

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ของ KAMIL HABBATUSSADA
เดิมทีตั้งแต่เปิดกิจการใหม่ ๆ เมื่อปีตั้งแต่ปี 2555 เราขายปลีกอยู่ที่กระปุกละ 1,200 บาท และราคาแนะนำสำหรับลูกค้า ที่รับประทานอย่างต่อเนื่อง คือ ขายเป็นชุด ๆ ละ 3 กระปุก ราคา 3,100 บาท (รวมค่าจัดส่ง EMS)



ปัจจุบันน้ำมันบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil ของ KAMIL ได้ปรับราคาลง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง และเพื่อให้ลูกค้าได้ซื้อของดีมีคุณภาพในราคาที่ประหยัดลง  จึงขายปลีกในราคา กระปุกละ 800 บาท.. แต่ทว่าคุณภาพยังคงดีเยี่ยม เหมือนเดิมทุกประการนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

มาแล้วจ้ะ..สินค้าใหม่สด จาก KAMIL HABBATUSSAUDA

สินค้า LOT ใหม่มาแล้วนะคะ ใหม่สด!! จากโรงงาน
LOT นี้ ควรบริโภคก่อน ธันวาคม 2559

Best before : DEC 2016

KAMIL HABBATUSSAUDA (Black Seed Oil 100%)

วันนี้มาแนะนำให้รู้จักกับ น้ำมันฮับบาตุซเซาะดะฮ์ หรือ Black Seed Oil, Black Cumin Oil ของ KAMIL ในอีกมุมมองหนึ่ง ในเรื่องของการได้รับอนุญาตทางด้านอาหารและยา หรือที่เมืองไทยเรียกว่า อย. และการรับรอง ฮาลาล หรือ Halal นะคะ 

โดยสามารถดูฉลากที่ข้างกระปุกของ KAMIL HABBATUSSAUDA จะพบคำที่เขียนว่า
(1) No. Sert. Halal LP POM MUI : 
หมายถึง เลขที่ใบรับรองฮาลาล จาก Lembaga Pengawasan Pangan Obat dan Makanan Majelis Ulama Indonesia หรือ สถาบันอาหารและยา แห่งสภาอุละมาอฺอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นสถาบันที่มีประสิทธิภาพในการวิจัย, ตรวจสอบ, การวิเคราะห์ และตัดสินใจว่า ผลิตภัณฑ์ อาหาร ยา และเครื่องสำอาง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี มีความปลอดภัยสำหรับการบริโภค ทั้งในแง่ของสุขภาพ และความถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม จึงถือว่าผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองแล้ว  ฮาลาลหรือได้รับอนุญาต และเป็นสิ่งที่ดี (ฏ็อยยิบ) ที่มุสลิมจะนำมาบริโภค 

และที่เขียนว่า : untuk kapsul kosong : 00140016360701
แปลว่า แคปซูลเปล่า เลขที่ 00140016360701 ที่นำมาใช้บรรจุ KAMIL HABBATUSSAUDA ได้รับใบรับรองจากสถาบันอาหารและยา แห่งสภาอุละมาอฺในประเทศอินโดนีเซีย หรือได้ใบรับรองแคปซูลเปล่าเลขที่ 00140016360701 นั่นเองค่ะ

(2) Dep.kes. RI SP No. 1873/13.01/02
คือ ใบรับรองตัวโรงงานผลิตยา จากกรมอนามัย ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเลขที่ตัวนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง

(3) Lzin POM TR : 133370581
คือ เลขที่ใบอนุญาตจาก สำนักงานอาหารและยา หรือ อย.ของอินโดนีเซีย นั่นเองค่ะ สังเกตว่า เลขที่นี้จะเปลี่ยนไปตาม lot หรือ ฉลาก ซึ่งหมายความว่า พอเปลี่ยนฉลากทีหนึ่ง หรือบรรจุยาลงกระปุกใน lot ใหม่ ทางโรงงานผู้ผลิตจะต้องขอรับใบอนุญาต จากทางสำนักงานอาหารและยา (POM) ทุกครั้ง  

นั่นก็หมายความว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil ของ KAMIL 
มีมาตรฐานการผลิตที่ปลอดภัย และผ่านการตรวจสอบและรับรอง จากทางราชการของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตทุกครั้ง ที่ผลิตยาแต่ละ lot
 

ดังนั้น คุณจึงมั่นใจได้ว่า KAMIL HABBATUSSAUDA เป็นสินค้าที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ และปลอดภัย 100%