วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประสบการณ์การรักษาโรค MS ด้วยน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil)


บทความต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของผู้ป่วยโรคปลอกประสาทอักเสบ หรือ โรค MS ที่ได้รับการเยียวยาให้หายจากโรค ด้วยการใช้ น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil ซึ่งนำมาโพสต์ใน Multiple Sclerosis Forum ของเว็บไซด์ฟอรัมเกี่ยวกับสุขภาพ (healthy forum) ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ เป็นที่ปรึกษาและกำกับดูแล..  ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่ถูกนำมาโพสต์ไว้ :-

ฉันต้องการจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ Black Seed Oil ซึ่งเป็นน้ำมันที่ช่วยรักษาโรค MS (Multiple Sclerosis) ให้แก่ฉัน  โดยข้อเท็จจริงของเรื่องนี้พิสูจน์ได้จากรายงานผลการตรวจ MRI ของฉัน

เรื่องมีอยู่ว่า.. ในปี 2001 ฉันพบว่า ตัวเองป่วยเป็นโรค MS  โดยครั้งแรกที่เริ่มรู้ตัวว่าป่วยนั้น ฉันมีความรู้สึกว่า ตัวเองไม่สามารถใช้ร่างกายซีกขวาได้ เป็นเวลา 14 วินาที  มันมีความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน (Paresthesia เป็นผลมาจากความเสียหายของเส้นประสาท) ที่ร่างกายซีกขวาของฉัน (ชาบางส่วน มันเสียวแปลบ ๆ และรู้สึกสั่นซ่าน) ร่างกายบางส่วนไม่มีความรู้สึก เจ็บปวดในตาข้างขวา และมีอาการเห็นภาพซ้อน (Diplopia) และรู้สึกสั่นเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกาย  ซึ่งอาการดังกล่าวนี้ คงเป็นอยู่ต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 3 เดือน และมีอาการหนักขึ้น โดยแต่ละครั้งที่ออกอาการจะเพิ่มเวลาจากเดิมที่เคยเป็น 14 วินาที กลายมาเป็นเวลา 15 วินาที ในทุก ๆ 3 นาที!!  จิตแพทย์ (psychiatrist) บอกฉันว่า ฉันกำลังถูกโรค MS โจมตีอย่างหนัก

โรค MS ของฉัน มันจะมีอาการกำเริบหนักครั้งหนึ่ง เป็นเวลาถึง 3 เดือน จากนั้นก็เบาลง แต่อาการของโรคโดยทั่วไปก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม  ซึ่งที่ผ่านมาช่วงเวลาที่มีอาการเบา ๆ  (หมายถึง เป็นเวลาที่ฉันสามารถทำอะไรได้อย่างปกติ) จะคงอยู่ประมาณ 5-6 ครั้งต่อวัน  หรือไม่ก็อาจจะโจมตีฉันหนักกว่านั้น ซึ่งมักจะมีอาการหนัก หลังจากสี่ทุ่ม (10 P.M.) ทำให้ฉันรู้สึกอ่อนแรง  อาการต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ได้ดำเนินไปเป็นเวลาประมาณ 5 เดือน  จนกระทั่งจิตแพทย์ได้บอกฉันว่า “อาการของโรค MS จะโจมตีคุณครั้งหนึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 3 เดือน  ดังนั้น คุณควรจะหาวิธีการจัดการกับชีวิตของคุณ เพื่อรองรับอาการดังกล่าว”

ที่จริงฉันได้พยายามหาวิตามินหลาย ๆ ชนิดมารับประทาน  ทั้งนี้ เพื่อที่ฉันจะได้สามารถเรียนต่อในมหาวิทยาลัยให้สำเร็จ แต่ก็ใช้ไม่ได้ผล  ฉันต้องการจะเรียนให้จบปริญญาตรี ภาควิชา  
สถาปัตยวิศวกรรม (Architectural Engineering) แต่มันก็ไม่สำเร็จ  เนื่องจากมันทำให้ฉันต้องส่งโครงงานที่รับมอบหมายล่าช้าออกไป เพราะถูกโรค MS โจมตี  อย่างไรก็ตาม ฉันยังก็ยังคงศึกษาต่อไป 

ต่อมาฉันได้เข้าร่วมงานนิทรรศการเกี่ยวกับ “เภสัชกรรม” ภายในมหาวิทยาลัย และได้พบโครงการที่น่าสนใจของนักศึกษาเภสัชกรรม ปีที่ 1 เกี่ยวกับ Black Seed Oil”  ซึ่งกล่าวถึง คุณสมบัติหลาย ๆ อย่างของ Black Seed Oil ที่มันติดใจฉัน เช่น มันสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ถึง 77% ของผู้ใช้ BSO  ถึงแม้ฉันจะรู้ว่า โรค MS อยู่บนสมมุติฐานของกลุ่มอาการ “ภูมิต้านทานทำร้ายตนเอง” หรือ “โรคแพ้ภูมิตนเอง”  แต่ฉันก็เชื่อว่า Black Seed Oil จะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน  ซึ่งมันได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า Black Seed Oil สามารถสร้างเสริมพลังงานให้แก่ร่างกาย  พลังงานที่ฉันต้องสูญเสียมันไปกับโรค MS  มันจึงเป็นสิ่งที่ฉันต้องการมัน 

ดังนั้น ฉันจึงเริ่มต้นรับประทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) เป็นประจำทุกวัน 
วันละ 1 ช้อนโต๊ะ โดยผสมลงในน้ำส้มคั้น (ทั้งนี้ เนื่องจากรสชาติของมันยากที่จะรับประทานเดี่ยว)

มันตื่นเต้นจริง ๆ หลังจากที่ฉันเพิ่งจะรับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ไปแค่เพียง 3 วันเท่านั้น  ฉันสามารถเรียนหนังสือได้ต่อเนื่องถึงบ่าย 2 โมง  และหลังจากรับประทานไปได้ 15 วัน อาการต่าง ๆ ของโรค MS ได้หายไป โดยที่ฉันไม่ได้รับยาอื่นใดเลย

ผลลัพธ์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนน่าประหลาดใจนี้ ได้ผลักดันให้ฉันต้องค้นคว้าเกี่ยวกับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์  และฉันก็ได้พบกับความจริงว่า คนที่ได้รับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ จะช่วยผลักดันให้ร่างกายผลิต Interferon (หมายถึง โปรตีนธรรมชาติที่สร้างขึ้นในร่างกายของเรา เพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส)

ฉันยังคงรับประทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นประจำทุกวัน ๆ ละ 1 ช้อนโต๊ะ เป็นเวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะช่วยคงพลังงานให้ฉันเป็นเวลาถึง 15 วัน หลังจากรับประทานมัน  และอาจจะพูดได้ว่า ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์นี้ ทำให้ฉันยังคงรับประทานน้ำมันฮับบาตุซ
เซาดะฮ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการป้องกัน ต่อไปนี้คือ รายงานผลจากการตรวจ MRI ของฉัน

ภาพประกอบ (โครงสร้างสมอง)
ผลการตรวจครั้งแรก (17-03-2003) : มีแผลหลายแผล ทั้งรูปทรงกลมและรูปไข่ ขนาดตั้งแต่ 2 มม. ขึ้นไป 10 มม. ภายในส่วนที่เกี่ยวกับคอร์ปัส 
แคลโลซัม (corpus callosum คือ บริเวณที่รวมของใยประสาทเป็นตัวเชื่อมระหว่างสมองใหญ่ซีกซ้ายและขวา ทำงานร่วมกับก้านสมอง) ผลการตรวจ MRI นี้นอกเหนือไปจากการตรวจสอบอื่น ๆ (ซึ่งโดยหลักตรวจสอบจากของเหลว เช่น เลือด) พิสูจน์ได้ว่า ฉันเป็นผู้ติดเชื้อด้วยโรค MS

ผลการตรวจครั้งที่ 2 (1 ปีหลังจากการตรวจครั้งแรก) : แสดงให้เห็นว่า รอยแผลเป็นในสมองได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น!! มันทำให้ฉันตกใจมาก เพราะว่า ฉันคาดหวังว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (BSO) จะหยุดยั้งการเจริญเติบโตของรอยแผล  แต่อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงรับประทาน BSO อย่างต่อเนื่อง เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้พลังงานแก่ฉัน 

ผลการตรวจครั้งที่ 3 (12-10-2005) : มันทำให้ฉันแปลกใจ (nice surprise) เนื่องจากพบว่า :-

  • ระบบช่องว่างในสมองและไขสันหลัง ซึ่งอยู่ในระบบประสาทส่วนกลางไม่ขยายตัว (The  ventricular system is not enlarged.)
  • ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ให้เห็น (No effect is seen.)
  • ไม่มีความผิดปกติ ที่เกิดจากการขยายตัวของปุ่มรอยแผล ปรากฏให้เห็น (No abnormal nodular enhancing lesion is seen.)
    บริเวณส่วนต่อของศีรษะและคอ (craniocervical junction) และความเสื่อมของสมอง (CP..ไม่แน่ใจคำแปล.. น่าจะมาจากคำว่า Cerebral Palsy) ได้รับการ
    ปกป้อง – [The cranio cervical junction and the CP are preserved.]   

ผลการตรวจครั้งที่ 3 ชี้ให้เห็นว่า หลังจาก 2 ปีครึ่ง (นับจากการตรวจครั้งแรก) รอยแผลไม่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นจิตแพทย์บอกว่า “การตรวจสอบนี้เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ พิสูจน์ให้เห็นว่า รอยโรคในสมองลดลง และมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้  เขาบอกผมว่า : This examination leads me to be suspect with everything I have studied in my life.

ณ บัดนี้ ฉันจึงได้บทสรุปของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า ผลการตรวจ MRI ครั้งที่ 2 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แผลเป็นหรือรอยโรคในสมองของฉันได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น  แต่ปรากฏว่า ฉันก็ประสบผลสำเร็จในการรักษาโรคนี้ หลังจากที่ได้รับประทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ได้เพียงแค่ 4 เดือน โดยที่ก่อนหน้านั้น 8 เดือน ที่ฉันได้ป่วยเป็นโรค MS โดยที่ยังไม่ได้รับประทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์  ดังนั้น มันจึงทำให้ฉันแน่ใจได้ว่า “ฉันสามารถควบคุมการโจมตีของ
โรค MS ได้”

ผลการตรวจครั้งที่ 4 (13-07-2010) : หลังจากเจ็ดปีผ่านไป ได้มีสมาชิก (เข้าใจว่า คงจะเป็นกลุ่มผู้ป่วยโรค MS) หลายคนร้องขอให้ฉันกลับเข้ามารับการตรวจ MRI ใหม่อีกครั้งหนึ่ง  ดังนั้น ฉันจึงเข้ารับการตรวจ MRI อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผลการตรวจปรากฏว่า..
-      ventricular system ในระบบประสาทส่วนกลางปกติ ทั้งขนาดและรูปร่าง (Normal size and shape of the ventricular system.)
-      ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างในสมอง หรือระบบประสาทส่วนกลาง (No shift of midline structures.)
-      ไม่พบร่องรอยของการมีเลือดออกในสมองหรือบริเวณภายนอกสมอง (No evidence of intra cerebral bleeding or extra axial collections.)
-      ต่อมใต้สมองและก้านกลางของต่อมใต้สมอง ปกติ (Normal height, signal characteristics and enhancement of pituitary gland. Central pituitary stalk.)
-      ไม่พบว่า มีก้อนเนื้อหรือเนื้องอกในสมอง (No sellar or parasellar masses.)

จิตแพทย์จึงบอกฉันว่า “จากผลการตรวจ MRI สรุปได้ว่า โรค MS ของคุณหายแล้ว และจากการตรวจร่างกายภายนอก ก็พบว่า ร่างกายคุณปกติ”

จากประวัติการเจ็บป่วยและผลการรักษาที่ผ่านมา ทำให้ได้ฉันข้อสังเกตที่ควรพิจารณาหลายแห่ง
-      ฉันมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 7 ปีครึ่ง คือช่วงแรก 2 ปีครึ่ง (จากการตรวจ MRI ครั้งแรกจนถึงครั้งที่ 3) และอีก 5 ปีให้หลังในการตรวจ MRI ครั้งที่ 4 ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า ฉันไม่ได้ถูกโรค MS โจมตีในช่วงเวลาดังกล่าว
-      ถึงแม้การตรวจ MRI ในครั้งที่ 2 จะพบว่า ฉันยังป่วยเป็นโรค MS อยู่ แต่น้ำมันฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ก็ช่วยหยุดยั้งการพัฒนาการของโรค
-      และในช่วงเวลาทั้งหมดนี้ ฉันไม่เคยได้รับการรักษาด้วยการฉีด interferon (สารโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้เชื้อโรคไวรัส)
สรุปได้ว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ไม่มี side effects หรืออันตรายใด ๆ  คุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของมันได้โดยง่ายจาก yahoo / Google search


ต้นฉบับโพสต์โดย : Fakhoury  เมื่อวันที่ : December 28th, 2010
--------------------------------------------------

ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรค MS
ใครเคยมีอาการแขน ขา ไม่มีแรงบ้าง หรือมีอาการเป็นเหน็บชาบ่อยครั้ง มองอะไรไม่ค่อยเห็น ถ้าหากมีอาการเหล่านี้ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคปลอกประสาทอักเสบ
 นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล แพทย์ด้านสมองและกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลปิยะเวท ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ว่า โรคปลอกประสาทอักเสบ หรือทางการแพทย์เรียกว่า โรคเอ็มเอส หรือ โรคมัลติเพิล สเคอโรซิส (Multiple Sclerosis : MS) เป็นโรคที่เกิดจากเยื่อกั้นระหว่างหลอดเลือดและระบบประสาทถูกทำลาย โดยจะเกิดความ
ผิดปกติในระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งประกอบด้วยสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทตา โดย แมคโครฟาจและทีเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่ในเม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่คอยดักจับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในกระแสเลือด จะเข้าไปทำลายเซลล์ประสาท เพราะคิดว่าเป็นเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม เมื่อมีลักษณะเช่นนี้ จึงจัดโรค MS ไว้ในกลุ่มของโรคออโตอิมมูน (auto immune) คือ โรคที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ตัวเอง เมื่อเกิดการอักเสบจะทำให้ร่างกายส่วนที่ถูกทำลายอ่อนแอลง

โรค MS พบไม่มากนักในประเทศไทย แต่ถือว่า เป็นโรคที่มีความรุนแรง เพราะหากปล่อยไว้นานอาจเกิดพิการได้ถึงร้อยละ 50 โดยจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 1.5 เท่า ในช่วงอายุระหว่าง 15-50 ปี

โรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีความเชื่อว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ คือ พันธุกรรม คือผู้ที่มีประวัติว่าพ่อ แม่ เป็นโรคนี้ ย่อมมีโอกาสที่ลูกจะเป็นมากกว่าคนปกติ  รวมทั้ง เชื้อชาติ พบว่า คนเอเชียเป็นโรคนี้น้อยกว่าคนผิวขาวในกลุ่มประเทศแถบยุโรป และบางเชื้อชาติแทบจะไม่เกิดโรคนี้ขึ้นเลย.. ปัจจัยต่อมา คือ แสงแดด มลภาวะและสิ่งแวดล้อม ที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

อาการของผู้ป่วยแต่ละคนจะแสดงอาการแตกต่างกัน บางคนมีอาการหนัก มีลักษณะของโรคแสดงออกมาอย่างชัดเจน บางคนแสดงอาการเป็นครั้งคราว  และโรคนี้เป็นโรคที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า จะเกิดอาการขึ้นมาเมื่อไหร่  โดยจะขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดโรค เช่น
-      หากเกิดที่เส้นประสาทตา จะส่งผลต่อการมองเห็น อาจสูญเสียการมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่ง เนื่องจากเส้นประสาทตาอักเสบ จึงทำให้ปวดตา ตาพร่ามัว
-      หากเกิดที่ไขสันหลัง หรือสมอง อาจมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งตัว แขนขาไม่มีแรง เหน็บชา ปวด หรือปัสสาวะไม่ออก” 
ในส่วนของสมองขึ้นอยู่กับว่า เกิดที่สมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมส่วนไหนของร่างกาย  ถ้าเป็นที่สมองส่วนกลางที่ควบคุมการทรงตัว คนไข้อาจมีอาการหัวหมุน หรือวิงเวียนศีรษะได้ แต่มักมีอาการอื่นร่วมด้วย  ทั้งนี้ หากเป็นมากอาจสูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกาย จนอาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และเสียชีวิตได้  ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ มักจะมีความผิดปกติทางสมองประมาณ 30-70% โดยเฉพาะด้านการกะระยะทาง ความจำ ความเร็วในการประมวลผล และการบริหารงานของสมอง  

ในด้านการรักษาโรค MS : นพ.ดิตถพงษ์ กล่าวว่า โรคนี้ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงแค่รักษาตามอาการ โดยการชะลอให้อาการต่าง ๆ ทุเลาลง หากเกิดภาวะเสื่อมสภาพของร่างกายเช่น แขน ขา อ่อนแรง ก็จะต้องทำกายภาพบำบัด หากต้องการรักษาโดยการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ จะให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบ หรือยาลดความรุนแรงของโรคในกลุ่ม อินเตอร์ฟิรอน (interferon) เบต้า หรือ ยากดภูมิคุ้มกันบางตัว ซึ่งเป็นยาที่ไปช่วยปรับแต่งภูมิคุ้มกัน  ยากลุ่มนี้จำเป็นต้องทานในระยะยาว เพื่อลดการเกิดใหม่ของโรค แต่ราคาค่อนข้างแพง รวมทั้งการฝังเข็ม การให้ยาสมุนไพร อีกทั้งแนวการรักษาแบบโฮมิโอพาธี และแนวการรักษาแบบออสทีโอพาธีร่วมด้วย 

คนไข้บางรายมีภาวะเรื้อรังที่เกิดจากโรค เช่น มีอาการปวดเรื้อรัง คือแม้โรคจะหายไปแล้ว แต่อาการปวดยังไม่หายไปด้วย กลุ่มคนไข้นี้จะต้องรักษาต่อเนื่องต่อไปอีก ซึ่งตรงนี้อาจทำให้คนไข้เกิดความทุกข์ ส่งผลให้คนไข้เกิดภาวะซึมเศร้า  หดหู่  ไม่อยากทำงาน หรือทำงานได้ไม่เต็มความสามารถ ซึ่งจะเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้จากโรคนี้ จึงต้องมีการพูดจาทำความเข้าใจกับคนไข้ เพื่อให้มีกำลังใจในการเข้ารับการรักษาต่อไป

เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น คนไข้ที่เคยเป็นมาแล้ว ก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพื่อเป็นการป้องกันการเป็นซ้ำ และลดความรุนแรงของโรคผู้ป่วย จึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการซ้ำ โดยมีความเชื่อว่า ภาวะเครียด อดนอน อาจจะทำให้โรคนี้กลับมาได้

ดังนั้น วิธีการที่ดีในการป้องกันโรค คือ พยายามอย่าเครียด เพราะจะทำให้ภูมิต้านทานร่างกายอ่อนแอลง รวมทั้งการดูแลสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์ แข็งแรง ทั้งกายและใจ ทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ  นอกจากจะช่วยป้องกันโรคปลอกประสาทอักเสบแล้วยังช่วยป้องกันโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย
(ขอบคุณข้อมูลความรู้เรื่อง โรค MS จากเว็บไซด์ jorpor.com)