วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิธีรักษาโรคอ้วนและลดหนักด้วยน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed / Kalonji) ตามตำรายาไทย เรียกว่า “เทียนดำ” คือ สมุนไพรที่สามารถบำบัดได้ทุกโรค  หลาย ๆ คนที่เคยติดตามข้อมูลความรู้เกี่ยวกับฮับบาตุซเซาดะฮ์ ก็คงทราบข้อมูลเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้วนะคะ แล้วความอ้วนถือว่า เป็นโรค หรือไม่??

น้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน (Overweight and obesity) 
องค์การอนามัยโลก ให้นิยามว่า น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเกินปกติ จนเป็นปัจจัยเสี่ยง หรือ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่าง ๆ ที่ส่งผลถึงสุขภาพ จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้  โดยผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index หรือ BMI) ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป เรียกว่า น้ำหนักตัวเกิน และหากมีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เรียกว่า เป็นโรคอ้วน อย่างไรก็ดี สำหรับคนเอเชียมีรูปร่างเล็กกว่า จึงกำหนดให้น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน มีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 23 และ 25 ขึ้นไป ตามลำดับ


องค์การอนามัยโลก และกลุ่มแพทย์ชาวเอเชีย ได้แบ่งโรคอ้วนออกเป็น 3 ระดับ คือ ปานกลาง รุนแรง และรุนแรงมาก โดยระดับความรุนแรงมาก คือ ค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 40 ขึ้นไป (องค์การอนามัยโลก) หรือตั้งแต่ 30 ขึ้นไปในคนเอเชีย และให้ถือว่าโรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญปัญหาหนึ่ง ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ เนื่องจากภาวะน้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับฮับบาตุซเซาดะฮ์

ในประเทศอินโดนีเซีย มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก โดยทำการทดลองแบบ double blinded ในผู้ป่วยที่ถูกนำมาควบคุม ด้วยการให้ยาหลอก โดยคัดเลือกจากผู้ป่วยชาย ที่เป็นผู้ใหญ่และมีโรคอ้วน (อ้วนลงพุง) เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) ในศูนย์กลางของความเป็นอิสระของเซรั่มฮอร์โมนเพศชาย, น้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว, น้ำตาลในเลือด, ไขมัน, กรดยูริค , adiponectin (โปรตีนที่มีส่วนในการควบคุมกลูโคส), hs-CRP (ความไวของโปรตีนที่ตอบสนองในเลือดต่อการอักเสบ), และผลข้างเคียง[1] โดยให้การรักษาด้วยการให้ผงของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในปริมาณ 1.5 กรัม (สองแคปซูล) รับวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือ ผลลัพธ์ที่ได้ปรากฏว่า มีค่านัยสำคัญที่สูงมาก ในการลดลงของน้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว, และความดันโลหิตตัวบน อย่างไรก็ดี การลดลงของระดับน้ำตาลในเลือดในขณะอดอาหาร, ฮอร์โมนเพศชาย, ความดันโลหิต (ค่าตัวล่างที่วัดได้), ไตรกลีเซอไรด์, และคอเลสเตอรอล-HDL, SGOT, SGPT, กรดยูริค และ hs-CRP ไม่มีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเพราะการได้รับฮับบาตุซเซาดะฮ์ในปริมาณโดสที่มีขนาดเล็กกว่าที่ควรจะเป็น และพบว่าไม่มีผลข้างเคียงในกลุ่มที่ให้การรักษา[2]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ) กับการรักษาโรคอ้วน

โรคอ้วน (Obesity) มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอุบัติการณ์ที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น ในการแก้ปัญหาโรคอ้วนนอกจากการควบคุมและลดน้ำหนักแล้ว ก็ควรคำนึงถึงโรครองเหล่านี้ด้วยเช่นกัน การศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ) มีฤทธิ์ในการป้องกันโรคหัวใจ, ต้านมะเร็ง, ป้องกันโรคเบาหวาน, มีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัญหาเรื่องโรคอ้วนและโรคเรื้อรังต่าง ๆ ทั่วโลกก็เพิ่มขึ้นตามมาเช่นกัน ดังนั้น ในอนาคตควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ในการป้องกันและบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ [3]

นักวิจัยชี้ให้เห็นว่า “โรคอ้วน” เป็นปัญหาสุขภาพที่แพร่หลายมากที่สุด ส่งผลกระทบต่อทุกกลุ่มอายุ และนำไปสู่​​โรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ, เบาหวาน ชนิดที่ 2, และโรคหลอดเลือดสมอง นักวิจัยได้ทบทวนบทคัดย่อในผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน, ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ จำนวน 33 บท แล้วพบว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ), ชาเขียว และชาแดง (Chinese Black Tea) มีผลในการป้องกันโรคอ้วน (anti-obesity)[4]

การศึกษาโดยนักวิจัยชาวอิหร่าน ได้ทำการตรวจสอบประสิทธิผลในระยะยาวของการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่มีต่อระดับไขมันในเลือดและความสามารถในการใช้ออกซิเจน ของผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินคงที่ ด้วยการทดลองกับกลุ่มควบคุม แบบ double-blind โดยการสุ่มผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินคงที่ จำนวน 20 คน แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แล้วให้ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นยาเสริม กับอีกกลุ่มให้ยาหลอก เป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยให้ทั้งสองกลุ่มมีส่วนร่วมในออกกำลังกายแบบแอโรบิก จำนวน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยทั้งก่อนและหลังการทดลอง 8 สัปดาห์ ได้ทำการวัดค่าไขมันในเลือด และ VO2 max (วี-โอ-ทู-แมกซ์ คือ การทดสอบสมรรถนะร่างกายแบบหนึ่ง เพื่อวัดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ออกซิเจนของร่างกาย ว่ามีความสามารถที่จะดึงออกซิเจนจากอากาศมาผสมกับเลือด เพื่อส่งไปยังกล้ามเนื้อต่าง ๆ ได้สูงสุดแค่ไหน)

ผลการทดลองปรากฏว่า กลุ่มผู้หญิงที่ได้รับยาหลอกและออกกำลังกายแบบแอโรบิก มีการลดลงของคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอล-LDL และมีการเพิ่มขึ้นของค่า VO2 Max ส่วนกลุ่มผู้หญิงที่ใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นยาเสริมและมีการออกกำลังกายแบบแอโรบิก มีการลดลงของคอเลสเตอรอลรวม, ไตรกลีเซอไรด์, LDL (ไขมันไม่ดี) และดัชนีมวลกาย (อัตราส่วนของไขมันกล้ามเนื้อ) กล่าวคือ มีการสูญเสียไขมันในร่างกายและมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น

สรุปได้ว่า การใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นยาเสริม ช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันชนิดดี) และ VO2 Max นักวิจัยจึงสรุปว่า การใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เป็นเวลา 8 สัปดาห์ มีผลช่วยเสริมฤทธิ์กันและกัน ดังนั้น การบริโภคฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ) และร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก จึงเป็นวิธีที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด[5]

เรามีวิธีการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) เพื่อลดน้ำหนัก อย่างไรบ้าง??


ฮับบาตุซเซาดะฮ์ นอกจากจะช่วยรักษาโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาด้านสุขภาพแล้ว ยังช่วยรักษาโรคอ้วน หรือลดน้ำหนักได้อีกด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากมันช่วยให้ร่างกายสามารถควบคุมระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือด ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญ  ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า มีเว็บไซด์หลายแห่งได้แนะนำให้ใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ร่วมกับน้ำผึ้ง และผงซินนามอน (cinnamon) เนื่องจากซินนามอน หรืออบเชย ก็มีคุณสมบัติดังกล่าวเช่นเดียวกัน และ “น้ำผึ้ง” ในทางอายุรเวท คือ ตัวแครีเออร์ (carrier) ที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้แก่สมุนไพร ด้วยการเป็นตัวนำพาสารอาหารไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อ ด้วยคุณสมบัตินี้เอง จึงมักนำน้ำผึ้งไปเป็นส่วนผสมของสมุนไพร/เครื่องเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการรักษาให้ดียิ่งขึ้น


*การลดน้ำหนักโดยใช้ซินนามอนร่วมด้วย* : มีข้อควรระวัง คือ ผงซินนามอนที่นำมาใช้ ควรจะเป็นอบเชยหรือซินนามอนจากลังกา (Ceylon cinnamon, True cinnamon) ในขณะที่ร้านค้าโดยทั่วไปมักจะเป็นอบเชยจีน (Chinese Cinnamon) ซึ่งมีราคาถูกและมีสารคูมาริน (coumarin) สูง ถ้าหากรับประทานในปริมาณมาก ๆ หรือเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นอันตรายต่อตับและไต นอกจากนี้ผงซินนามอนที่ขายอยู่ในท้องตลาดบ้านเรามักจะไม่ได้ระบุแหล่งที่มาว่าเป็นอบเชยชนิดใด

 ศาสตร์การแพทย์ตามแนวทางอายุรเวท  

วิธีการรักษาโรคอ้วน (Obesity) : ให้ใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (หรือ Kalonji Oil) ½ ช้อนชา กับน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ผสมในน้ำอุ่น ดื่มวันละ 2 ครั้ง 

วิธีที่ดีที่สุด คือ ให้รับประทานมื้อแรกในตอนเช้า หลังจากตื่นนอนก่อนที่จะรับประทานอาหารเช้า ประมาณ ½ - 1 ชั่วโมง และอีกมื้อหนึ่งก่อนนอน ช่วงที่กระเพาะอาหารว่าง ไม่ได้ทานอาหารอะไรก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง จะช่วยเอาชนะโรคอ้วน หรือลดน้ำหนักได้  นอกจากนี้ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภทหวาน/มัน อาหารทอด ขนมเค้กหรือเบเกอรี่ต่าง ๆ อีกด้วย และที่สำคัญคือ ถ้ามีการออกกำลังกายแบบแอโรบิกร่วมด้วยจะยิ่งดีเยี่ยมเลยค่ะ ^^


************************
ข้อมูลอ้างอิง :
[1] Datau EA, Wardhana, Surachmanto EE, Pandelaki K, Langi JA, Fias. Efficacy of Nigella sativa on serum free testosterone and metabolic disturbances in central obese male. Acta Med Indones 2010;42(3):130-134.
[Medline]
[2] Najmi A, Nasiruddin M, Khan RA, Haque SF. Effect of Nigella sativa oil on various clinical and biochemical parameters of insulin resistance syndrome. Int J Diabetes Dev Ctries 2008;28(1):11-14.
[Medline]
[3] Vanamala J1, Kester AC, Heuberger AL, Reddivari L.; “Mitigation of obesity-promoted diseases by Nigella sativa and thymoquinone,” Plant Foods Hum Nutr. 2012 Jun, PMID: 22477645.
[4] Hasani-Ranjbar S1, Jouyandeh Z, Abdollahi M.; “A systematic review of anti-obesity medicinal plants – an update,” J Diabetes Metab Disord., 2013 June 19, PMID: 23777875.
[5] Farzaneh E1, Nia FR2, Mehrtash M2, Mirmoeini FS3, Jalilvand M1.; “The Effects of 8-week Nigella sativa Supplementation and Aerobic Training on Lipid Profile and VO2 max in Sedentary Overweight Females,” Int J Prev Med., 2014 February, PMID: 24627749.
 

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ผลการใช้ KAMIL HABBATUSSAUDA รักษาโรคเอ็มเอส

วันนี้มีเรื่องที่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง นำมาแชร์ให้แก่เพื่อน ๆ และลูกค้า ผู้ใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) ของ KAMIL ค่ะ กล่าวคือ มีลูกค้ารายหนึ่ง สามีเธอป่วยเป็นโรคเอ็มเอส หรือโรคมัลติเพิล สเคอโรซิส (Multiple sclerosis : MS) เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งระบบประสาทส่วนกลางนี้จะประกอบด้วย สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทตา เมื่อเกิดการอักเสบ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง


สาเหตุของโรค : สาเหตุที่ทำให้เกิด โรคเอ็มเอส นั้น ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่า โรคเอ็มเอส เกิดจากปัจจัยหลัก คือ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการติดเชื้อ หรือได้รับเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียบางชนิด ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถแยกแยะได้ถูกต้อง ระหว่างเซลล์ร่างกายกับสิ่งแปลกปลอม ทำให้แทนที่ภูมิต้านทานจะทำลายเชื้อโรคเพียงอย่างเดียว กลับทำร้ายเซลล์ตัวเอง (auto immune) โดยไปทำลายปลอกหุ้มเส้นประสาทด้วย จนเกิดอาการอักเสบขึ้นมา

อาการของโรค : ผู้ป่วย โรคเอ็มเอส จะมีอาการหลากหลาย ขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดโรค เช่น หากเกิดที่เส้นประสาทตา จะส่งผลต่อการมองเห็น อาจสูญเสียการมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่ง เนื่องจากเส้นประสาทตาอักเสบ จึงทำให้ปวดตา ตามัว ภายในเวลา 1-2 นาที หากเกิดที่ไขสันหลัง หรือสมอง อาจมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งตัว แขนขาไม่มีแรง เหน็บชา ปวด หรือปัสสาวะไม่ออก ขึ้นอยู่กับว่าเกิดที่สมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมส่วนไหนของร่างกาย ถ้าเป็นที่สมองส่วนกลางที่ควบคุมการทรงตัว คนไข้อาจมีอาการหัวหมุน หรือวิงเวียนศีรษะได้แต่มักมีอาการอื่นร่วมด้วย ทั้งนี้หากเป็นมากอาจสูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกาย จนอาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และเสียชีวิตได้

ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ จะมีความผิดปกติทางสมองประมาณ 30-70% โดยเฉพาะด้านการกะระยะทาง ความจำ ความเร็วในการประมวลผล และการบริหารงาน ทั้งการแก้ปัญหา การวางแผน การจัดลำดับงาน เป็นต้น

การรักษาโรคเอ็มเอส : ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา โรคเอ็มเอส ให้หายขาด เนื่องจากมีแผลเป็นในระบบประสาทเกิดขึ้น ทำได้เพียงแค่รักษาตามอาการ โดยชะลอให้อาการต่างๆ ทุเลาลง ด้วยการให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบ หรือยาลดความรุนแรงของโรคในกลุ่ม Interferon bata หรือ ยากดภูมิคุ้มกันบางตัว

นอกจากนี้ ยังมีการแพทย์ทางเลือกที่ช่วยทุเลาอาการ เช่น การฝังเข็ม (acupuncture), ไคโรแพรกติก (chiropractic), การใช้ยาสมุนไพร (herbal medicine), แนวการรักษาแบบโฮมิโอพาธี (homeopathy) และแนวการรักษาแบบออสทีโอพาธี (osteopathy) ฯลฯ

การใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) รักษาโรคเอ็มเอส จึงถือได้ว่า เป็นหนึ่งในการแพทย์ทางเลือก และเป็นการแพทย์ตามแนวทางอิสลาม ซึ่งมีรายงานวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “จำเป็นสำหรับท่านทั้งหลาย คือ ฮับบะตุซเซาดะฮ์ เพราะแท้จริงมันเป็นยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย”  บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ และมุสลิม

ถึงแม้ว่า ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยยืนยันว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือที่คนไทยเรียกว่า “น้ำมันเทียนดำ” สามารถรักษาโรคเอ็มเอส ได้ แต่ด้วยคุณสมบัติของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) เอง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค อีกทั้งมีสรรพคุณครอบคลุมในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขว้างทั่วถึงในทุก ๆ โรค  ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (blask seed oil) สามารถรักษาโรคเอ็มเอส ได้นั่นเอง 

นอกจากนี้ ผลลัพธ์จากประสบการณ์ของผู้ใช้ Black Seed Oil ในการรักษาโรคเอ็มเอส ในต่างประเทศ ก็มีให้เห็นมาแล้ว 2 ราย เป็นผู้ป่วยชาย 1 ราย และหญิง 1 ราย ดังบทความที่เคยนำเสนอมาแล้ว
 
และล่าสุดนี้ เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง มีผู้ใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) ของ KAMIL เพียงเวลา 1 ปี ทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ จากคำบอกเล่าของภรรยาของผู้ป่วยที่เป็นลูกค้าของ KAMIL เธอได้นำเรื่องราวนี้มาแชร์ในไลน์กลุ่ม KAMIL HABBATUSSAUDA ว่า..


“สวัสดีค่ะทุกท่าน มีข้อมูลมาแชร์ค่ะ สามีดิฉันเป็นโรค MS มา 15 ปี ที่ผ่านมารักษาตามอาการ พอมีอาการกำเริบทีก็จะต้องไปให้ยา จนกระทั่งได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ black seed (ฮับบะตุซเซาดะฮ์) ว่าช่วยอะไรได้บ้าง  จึงสั่งซื้อ ให้สามีรับประทาน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม 2015 และทานมาเรื่อย ๆ สิ่งที่พบได้จาการทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ของ KAMIL ก็คือ (1) การนอนหลับดีมาก มากจนน่าตกใจ จากที่เคยหลับยากมาก (2) ล่าสุดคุณหมอได้ตรวจโดยให้ทำ MRI สมอง และหลัง ผลปรากฏว่า ไม่พบจุดขาวในสมอง โดยมีขนาดเล็กลงและไม่มีเพิ่มขึ้น และบริเวณ spine ไม่พบ จุดขาว เช่นกัน ซึ่งก็ตรงกับเรื่องราวที่มีการแชร์ กันว่า black seed oil ช่วยรักษาโรค MS ได้  ซึ่งแม้แต่หมอเองก็ยังแปลกใจ

นอกจากนี้ สามีของดิฉันยังมีอาการอื่น ๆ ที่ดีขึ้น จึงขอทานต่อไปอีกสักพักหนึ่ง แล้วจะกลับมาเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ  ต้องขอขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงเมตตา ให้ครอบครัวเราได้รู้จักสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา” (1 พฤษภาคม 2559)

MASHA’ALLAH, ALHAMDULILLAH!!