งานวิจัยเรื่อง : Thymoquinone, an active principle of Nigella sativa,
inhibited Aspergillus niger
โดย : Al-Jabre S1, Al-Akloby OM1,
Al-Qurashi AR2, Akhtar N2, Al-Dossary A1,
Randhawa MA3
สถาบัน : College of Medicine, King Faisal University, Kingdom
of Saudi Arabia
Department of Dermatology1,
Microbiology2 and Pharmacology3
Source
: Pakistan
J. Med. Res. Vol. 42 No.3, 2003
--------------------------------
บทนำ :
ฮับบาตุซเซาดะฮ์
(Nigella sativa)
เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ดอกดาวเรือง (Ranunculaceae) ซึ่งโดยปกติจะเจริญเติบโตในแถบตะวันออกกลาง
ยุโรปตะวันออก และเอเชียกลาง ในประเทศอาหรับเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ 'Habba
Al-Sauda' หรือ 'Habba Al-Baraka' เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ถูกนำมาใช้งานเป็นอย่างมาก
โดยนำมาโรยบนขนมปัง และเป็นตัวแทนเครื่องปรุงอาหาร นอกจากนี้ ยังใช้เป็นยาทางธรรมชาติสำหรับรักษาโรคต่าง
ๆ มาเป็นเวลากว่า 2000 ปี
ปัจจุบันนี้ได้มีการแยกองค์ประกอบสำคัญของสารอาหารในฮับบาตุซเซาดะฮ์ออกมาใช้งาน
ได้แก่ thymoquinone, thymohydroquinone,
dithymoquinone, thymol, carvacrol, nigellicine, nigellidine,
nigellimine-N-oxide และ alpha-hedrin และในไม่กี่ทศวรรษทีผ่านมาประสิทธิผลของการใช้สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์
ได้รับการตรวจสอบโดยเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ เพื่อการใช้งานในด้านต่าง ๆ เช่น เป็นยาบำบัดทางเภสัช
(pharmaco-therapeutic) รายงานโดย
Randhawa และ Al-Ghamdy, มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย (Anti-bacterial)
รายงานครั้งแรกโดย Topozada และคนอื่น ๆ,
Thymohydroquinone ที่แยกได้ในภายหลังและพบว่า มีฤทธิ์สูงในการต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์แกรมบวก และต่อมาพบว่า สารสกัด diethyl-ether มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus, Pseudomonas
aeruginosa และ Escherichia coli นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผลเสริมฤทธิ์กับ streptomycin และ gentamycin และเพิ่มประสิทธิให้กับ spectinomycin, erythromycin, tobramycin, doxycycline, chloramphenicol, nalidixic acid, ampicillin, lincomycin และ co-trimoxazole
ในขณะเดียวกันมันสามารถยับยั้งยีสต์ที่ทำให้เกิดโรค,
Candida albicans และตัวเมล็ดของมัน (crude exact) ได้รับรายงานว่า มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตหลายด้าน โดยมีฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและแกรมลบ
จากพิจารณาถึงความสามารถที่หลากหลาย ในการเป็นยาต้านเชื้อจุลินทรีย์ของฮับบาตุซเซาดะฮ์
(Nigella sativa) แล้ว
เราคิดว่ามันน่าจะถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการต่อต้านเชื้อราบางอย่างชนิด เช่น เชื้อรา Aspergillus,
Candida albicans, Aspergilli
รวมทั้งกลุ่มเชื้อรา (hyaline moulds) ที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ที่พบว่ามีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในสภาพแวดล้อม และสารปนเปื้อนที่พบในห้องปฏิบัติการทางคลินิก
ซึ่งพวกมันมักทำให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสในมนุษย์ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อรา (Aspergillosis) อาจทำให้เกิดอาการทางคลินิกและกลุ่มอาการในระบบอวัยวะต่าง ๆ : ในปอด แพร่กระจายไปสู่ระบบประสาทส่วนกลาง,
ผิวหนัง, เยื่อบุโพรงหัวใจ (endocardial)
และในส่วนของโพรงจมูกและกะโหลก (nasoorbital) ซึ่งมันมักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
หรือมีเซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำ (neutropenic)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถูกถ่ายทอด (ติดเชื้อ) ไปยังผู้รับ ซึ่งเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemias)
หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphomas) โรคที่เกิดจากการติดเชื้อรา(Aspergillosis) มีรายงานในการใช้ยาสเตียรอยด์ corticosteroid, ใช้ยาฉีดเข้าเส้นเลือดดำอย่างไม่ถูกต้อง และขั้นต่อมาคือโรคเอดส์ ในจำนวน 700 สายพันธุ์ของเชื้อรา
Aspergillus นั้น มีเพียง 19 สายพันธุ์ที่ได้รับรายงานว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในมนุษย์
และในจำนวนนี้มีเพียง 4 สายพันธุ์ ที่มักจะรับไว้เป็นผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาล :
ได้แก่ เชื้อรา
Aspergillus fumigatus , A. flavus, A. niger และ A. terreus
วิธีการวิจัย :
1. แยกสายพันของเชื้อรา Aspergillus niger (A.niger) ออกมาจากจานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ เพื่อนำมาทำการทดสอบ
2. นำเชื้อ A.niger ที่ได้ไปเพาะเลี้ยงบนอาหารที่เป็นวุ้น Dermasel agar (Oxoid) และบ่มที่อุณหภูมิ 30o C เป็นเวลา 7 วัน เพื่อติดตามการเจริญเติบโต ของ A.niger ด้วยกล้องจุลทรรศน์ หลังจากนั้นได้ทำการย้อมสีด้วย lactophenol cotton blue
3. นำสารสกัด thymoquinone มาละลายกับน้ำกลั่นที่สะอาดเล็กน้อย แล้วนำไปผสมกับอาหารเลี้ยงเชื้อ Dermasel agar ที่ฆ่าเชื้อแล้ว (presterilized) ในปริมาณ 2mg/ml ของ thymoquinone โดย thymoquinone ที่เจือจางแล้ว ถูกแยกออกเป็นขนาด 1, 0.5 และ 0.25 mg/ml.
4. แยกเชื้อ A.niger ที่เพาะเลี้ยงตามข้อ 2 ออกเป็น 3 ชุด (set)
Set 1: มีแต่อาหารเลี้ยงเชื้อ dermasel agar เพียงอย่างเดียว,
Set 2: มี dermasel agar กับยาที่ได้รับคัดเลือก ประกอบด้วย : cycloheximide 200 mg/500 ml (ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อราที่ใช้ในห้องทดลอง) และ chloramphenicol 25 mg/500 ml (ซึ่งยาต้านแบคทีเรียแกรมบวก แกรมลบที่ให้ผลเช่นเดียว tetracyclines)
Set 3: dermasel agar กับ thymoquinone ในขนาด 0.25, 0.5, 1 และ 2 mg/ml)
5. ทำการตรวจวัดการเจริญเติบโตของเชื้อรา A.nier ในวันที่ 3, 5 และ 7 ของการทดลอง โดยการวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเชื้อ
6. ทำการวัดประสิทธิผลของ thymoquinone ในการยับยั้งเชื้อ A.niger ได้ตรวจวัดออกมาเป็นระดับ % โดยฐานของการคำนวณ 100% อยู่ที่ขนาดของเชื้อที่ไม่ได้รับยา
1. แยกสายพันของเชื้อรา Aspergillus niger (A.niger) ออกมาจากจานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ เพื่อนำมาทำการทดสอบ
2. นำเชื้อ A.niger ที่ได้ไปเพาะเลี้ยงบนอาหารที่เป็นวุ้น Dermasel agar (Oxoid) และบ่มที่อุณหภูมิ 30o C เป็นเวลา 7 วัน เพื่อติดตามการเจริญเติบโต ของ A.niger ด้วยกล้องจุลทรรศน์ หลังจากนั้นได้ทำการย้อมสีด้วย lactophenol cotton blue
3. นำสารสกัด thymoquinone มาละลายกับน้ำกลั่นที่สะอาดเล็กน้อย แล้วนำไปผสมกับอาหารเลี้ยงเชื้อ Dermasel agar ที่ฆ่าเชื้อแล้ว (presterilized) ในปริมาณ 2mg/ml ของ thymoquinone โดย thymoquinone ที่เจือจางแล้ว ถูกแยกออกเป็นขนาด 1, 0.5 และ 0.25 mg/ml.
4. แยกเชื้อ A.niger ที่เพาะเลี้ยงตามข้อ 2 ออกเป็น 3 ชุด (set)
Set 1: มีแต่อาหารเลี้ยงเชื้อ dermasel agar เพียงอย่างเดียว,
Set 2: มี dermasel agar กับยาที่ได้รับคัดเลือก ประกอบด้วย : cycloheximide 200 mg/500 ml (ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อราที่ใช้ในห้องทดลอง) และ chloramphenicol 25 mg/500 ml (ซึ่งยาต้านแบคทีเรียแกรมบวก แกรมลบที่ให้ผลเช่นเดียว tetracyclines)
Set 3: dermasel agar กับ thymoquinone ในขนาด 0.25, 0.5, 1 และ 2 mg/ml)
5. ทำการตรวจวัดการเจริญเติบโตของเชื้อรา A.nier ในวันที่ 3, 5 และ 7 ของการทดลอง โดยการวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเชื้อ
6. ทำการวัดประสิทธิผลของ thymoquinone ในการยับยั้งเชื้อ A.niger ได้ตรวจวัดออกมาเป็นระดับ % โดยฐานของการคำนวณ 100% อยู่ที่ขนาดของเชื้อที่ไม่ได้รับยา
ผลลัพธ์ :
ผลของการยับยั้ง A.niger มีค่าต่างกันตามระดับความเข้มข้นของ thymoquinone
ที่ให้ คือ 0.25, 0.5, 1 และ 2 mg/ml สามารถยับยั้ง A.niger
ได้ตามลำดับ คือ 0, 25, 77.1 และ 100% ในวันที่ 7 ของการทดลอง ในขณะที่การให้ยาฆ่าเชื้อเสริมที่ได้รับคัดเลือก เพียงอย่างเดียว
สามารถยับยั้ง A.niger ได้เพียง 32.7% ในวันที 3-7
ปริมาณ
Thymoquinone
mg/ml
|
ประสิทธิภาพในการยับยั้ง A.niger
inhibition of A. niger growth
(%)
|
||
Day 3
|
Day 5
|
Day 7
|
|
0. 25
|
25
|
Nil
|
Nil
|
0. 5
|
76.8
|
55.4
|
25
|
1
|
100
|
91.8
|
77.1
|
2
|
100
|
100
|
100
|
การอภิปราย :
ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) ได้ถูกนำมาใช้ในการบำบัดรักษาโรคหลายชนิด ทั้งในกรีก, อินเดีย และอาหรับโบราณ ตัวอย่างเช่น Ibne-Sina
แพทย์ชาวเปอร์เซียโบราณ ได้แนะนำให้ใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์
สำหรับการรักษาโรคติดเชื้อต่าง ๆ ทางผิวหนัง (หูด, ฝี, การติดเชื้อรา
เช่น เป็น กลาก), ตา และระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้
ยังใช้ในการขับไล่พยาธิในลำไส้
ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้
เราพบขนาด (dose) ในการออกฤทธิ์ต้านเชื้อราของ
thymoquinone ที่ 0.25, 0.5, 1 และ 2 mg/ml มีฤทธิ์ยับยั้ง
A.niger ในระดับ 0,
25, 77.1 และ 100% ตามลำดับ ในวันที่ 7 วันของการให้ยา
ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ได้รับรายงานว่า 25-400 ไมโครกรัมของสารสกัด diethyl-ether ในฮับบาตุซเซาดะฮ์ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียแกรมบวกและ แกรมลบได้
ยิ่งไปกว่านั้น hexane-extracted ในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของโคลิฟอร์ม,
staphylococci และยีสต์/รา ในขณะที่พบว่ามีการเจริญเติบโตของ A.niger จากการให้ยาฆ่าเชื้อเสริมที่ได้รับคัดเลือก
(cycloheximide 200 mg/500 ml และ chloramphenicol 25
mg/500 ml) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการยับยั้ง
A.niger
เราหวังว่าการศึกษาของเรา
คงจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดการค้นคว้าเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์
ต่อการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) ในการรักษาและการป้องกันโรคที่มาจากการติดเชื้อรา
(Aspergillosis) และมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นในประเทศหรือภูมิภาคอื่น
ๆ รวมทั้งระบบการติดเชื้อราในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (immuno-compromised)
หรือผู้ป่วย HIV
สรุป :
Thymoquinone ซึ่งเป็นสารอาหารหลักในฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเชื้อรา Aspergillus niger ได้ (ในขนาด MIC 2mg/ml)
Aspergillus
niger คืออะไร?
คือ เชื้อราชนิดหนึ่ง
เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดของประเภท Aspergillus มันทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า "ราดำ"
บนผลไม้และผักบางชนิด เช่น องุ่น, หัวหอม และถั่วลิสง เป็นสารปนเปื้อนที่พบบ่อยในอาหาร รวมทั้งฝาผนังที่มีความชื้น
บางสายพันธ์ ของ A.niger ทำให้เกิดสารพิษจากเชื้อรา (mycotoxins)
ที่เรียกว่า "ochratoxins" ซึ่งอาจจเป็นสารที่ก่อมะเร็ง
ochratoxins ซึ่งเป็นสารพิษชนิดที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อรา
และพบได้ในสินค้าประเภทธัญพืช ผลไม้แห้ง และเครื่องดื่ม เช่น เบียร์ ไวน์แดง
ในขั้นตอนของการผลิต โดยเชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ด้วยการรับประทาน การสัมผัสผิวหนัง
การสูดดม เป็นสารที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง โดยเข้าไปทำลาย DNA ของมนุษย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณากรอกชื่อ หรือนามแฝง หรืออีเมลล์ด้วยค่ะ