หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

KAMIL ฮับบาตุซเซาดะฮ์ สามารถรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ จริงหรือ??


“โรคเบาหวาน”  เป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลไปทั่วโลก ปัจจุบันเป็นสาเหตุการตาย อันดับที่ 4 ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลก

เบาหวานในประเทศไทย จากการประเมินความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ของสำนักพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ เมื่อ ปี 2549 พบว่า ประเทศไทยในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานปีละ 2 หมื่นคน ความชุกของโรคเบาหวานในประชาชนชาวไทย อายุ 35 ปีขึ้นไป มีร้อยละ 9.6 (ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยเหล่านี้ ไม่ทราบว่าตนเองเป็นเบาหวาน จึงสูญเสียโอกาสในการป้องกันและรักษา)





“เบาหวาน เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด แล้วเราจะควบคุมและป้องกันภัยโรคเบาหวานได้ อย่างไร?

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil  เป็นสมุนไพรที่สามารรักษาโรคมะเร็ง, หัวใจและหลอดเลือด, ความดันโลหิต, เบาหวาน, ภูมิแพ้, ไมเกรน, ข้อกระดูกเสื่อม ฯลฯ 

"ฮับบาตุซเซาดะฮ์" หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "ยี่หร่าดำ" หรือ Black Cumin Seed หรือ Black Seed เป็นพืชสมุนไพรในแถบตะวันออกกลาง ที่ได้มีใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ มาช้านานเปรียบเสมือนเป็นยาสามัญประจำบ้านนั้น  โดยได้มีการใช้กันในหลายทุกภูมิภาคของโลกเป็นเวลากว่า 3,000 ปี  โดยเฉพาะในทางการแพทย์อิสลาม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า :-

"ฮับบาตุซเซาดะฮ์ คือยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย"

งานวิจัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน
ในปี 1991  มหาวิทยาลัยคูเวต ได้สรุปว่า สารสกัดจาก Black Seed  มีประโยชน์ต่อการรักษาโรคเบาหวาน ที่ไม่มีการผลิตอินซูลิน (non-insulin)-เบาหวานชนิดที่ 1
ในปี 2002  มหาวิทยาลัยนาโกย่าญี่ปุ่นสรุปได้ว่า การใช้ Black Seed อาจจะมีค่านัยสำคัญต่อการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2
ในปี 2003  สามคณาจารย์ในเมือง Van ประเทศตุรกี ได้ร่วมกันและยืนยันว่า Black Seed สามารถทำให้ระดับน้ำตาลลดลง
ในปี 2004  คณะแพทยศาสตร์, Zonguldak Karaelmas University, Zonguldak, ประเทศตุรกี ได้สรุปว่า Black Seed สามารถป้องกันผลกระทบที่เกิดจากโรคเบาหวานได้
**ล่าสุด วารสาร Indian J Physiol Pharmacol. 2010 Oct-Dec; 54 ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยของ วิทยาลัยแพทย์ศาตร์, มหาวิทยาลัยคิงส์ไฟซอล, ประเทศซาอุดิอาระเบีย เรื่อง "ประสิทธิผลของการใช้ฮับบะตุซเซาดะฮ์  (Black Seed) ในการควบคุมระดับน้ำตาล (glucose) ในเลือดของผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2"  ผลการวิจัยสรุปว่า : การใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในขนาด 2 กรัม/วัน ช่วยลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2  ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
"KAMIL ฮับบบาตุซเซาดะฮฺ  คือ น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮฺ บริสุทธิ์ 100% สกัดด้วยวิธีบีบเย็น (clod pressed) จึงสามารถรักษาคุณค่าของสารอาหารที่อยู่ในเมล็ดได้มากกว่ากรรมวิธีอื่น ๆ  มีระดับที่เข้มข้นสูง จะสังเกตได้จากสีของน้ำมันซึ่งเป็นสีชาแก่ ๆ  ปลอดสารเคมี และมิได้มีการเติมเต็มด้วยส่วนผสมของน้ำมันอื่น (เช่น น้ำมันมะกอก) ที่ทำให้ประสิทธิผลในการบำบัดรักษาลดน้อยลง  ดังนั้น จึงให้ประสิทธิภาพและผลในการบำบัดรักษาสูง และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนตรงตามสรรพคุณหรือคุณสมบัติที่มีอยู่ในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์นั่นเอง

ผู้ใช้ KAMIL ฮับบาตุซเซาดะฮ์  เป็นจำนวนหลายราย 
ใช้แล้วได้รับผลตอบรับที่ดีค่ะ ระดับน้ำตาลในเลือด
ลดลง อย่างเห็นได้ชัด เพียงรับประทาน KAMIL HABBATUSSAUDA วันละ 2-4 แคปซูลต่อวันเท่านั้น

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ในหญิงตั้งครรภ์ และหลัง คลอดบุตร


ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ในระหว่างตั้งครรภ์ เพราะอาจนำไปสู่​​ภาวะแทรกซ้อนในการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ หรืออาจทำให้แท้งได้ เพราะน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์จะไปกระตุ้นการหดตัวของมดลูก  แต่ได้มีการสนับสนุนให้ใช้นำน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ให้หญิงตั้งครรภ์ท้องแก่ ที่ใกล้กำหนดคลอดแล้ว  ทั้งนี้ เพื่อให้การคลอดทารกน้อยง่ายขึ้น โดยเฉพาะคนที่ท้องสาวหรือท้องแรก

การใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในผู้หญิงหลังคลอดบุตร จะทำให้แผลหายเร็ว เนื่องจากในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบ และฆ่าเชื้อโรคแบคทีเรียและไวรัสต่าง ๆ  อีกทั้งทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ทำให้มดลูกหดตัวและเข้าอู่ได้เร็วขึ้นค่ะ  และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มน้ำนมของมารดา ซึ่งในเรื่องการเพิ่มน้ำนมของมารดานี้ ได้มีการใช้หรือการกล่าวถึงคุณประโยชน์ดังกล่าวมาตั้งแต่โบร่ำโบราณนานหลายพันปีแล้วจ้ะ ปัจจุบันมีผู้ใช้ KAMIL HABBATUSSAUDA แล้วได้ผลลัพธ์ในการเพิ่มน้ำนมมารดาจริง ๆ 
เกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคุณแม่ใกล้คลอด

อาการท้องแข็งเมื่อใกล้คลอด
เป็นอาการปกติที่เตือนว่าคุณแม่ใกล้จะคลอด แต่จะไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด คุณแม่จะรู้สึกว่ามดลูกแข็ง  บางคนอาจจะเห็นเป็นก้อนปูดขึ้นมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะมดลูกระยะ 8-9 เดือนจะเริ่มมีการหดรัดตัวได้ด้วยตัวเองหรือดรัดตัวจากการกระตุ้น เช่น การกด กระแทก หรือการเดินนานๆ  ดังนั้น หากคุณแม่มีอาการควรนั่งพักก่อนนะคะ

เจ็บจริงเจ็บหลอกของแม่ใกล้คลอด
อาการเจ็บหลอกนั้นจะมีระยะไม่แน่นอน  บางทีก็เจ็บถี่ ๆ หรือบางทีก็หายไปเลย  แต่หากเจ็บจริงใกล้คลอดคุณแม่จะเจ็บสม่ำเสมอถี่ขึ้นทุก ๆ 10 นาที จะเจ็บส่วนบนของมดลูกและเจ็บร้าวไปข้างล่าง ท้องแข็ง มีมูกปนเลือดออกมาทางช่องคลอด แบบนี้ไปโรงพยาบาลด่วนค่ะ




วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำไมฉันต้องเลือกรับประทาน KAMIL HABBATUSSAUDA??!!

ทำไมต้องเป็น KAMIL HABBATUSSAUDA ล่ะ ทานยี่ห้ออื่นไม่ดีกว่าหรือ?? 
คำถามที่มักพบบ่อย ๆ หรือผู้บริโภคหลายคนสงสัย !!
ทำไมต้องเลือกกามิล ฮับบาตุซเซาดะฮ์??
แล้วทำไมกามิล ฮับบาตุซเซาดะฮ์ จึงมีราคาสูงกว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยี่ห้ออื่นที่ขายตามท้องตลาด??

คำตอบ : 
  1. KAMIL HABBATUSSAUDA เป็นน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil 100% สกัดด้วยวิธี cold pressed จึงสามารถรักษาคุณค่าสารอาหารในฮับบาตุซเซาดะฮ์ไว้ได้มากที่สุด ปราศจากการเติมเต็มด้วยส่วนผสมของน้ำมันอื่น ๆ เช่น น้ำมันมะกอก ดังนั้น จึงให้ผลลัพธ์ในการรักษาได้เต็มตามประสิทธิภาพของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ 
  2. เป็นสินค้าที่ผลิต และนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย ประเทศที่มีความเชียวชาญในการผลิตยาสมุนไพร เพื่อการดูสุขภาพและรักษาโรค มาเป็นเวลาช้านานกว่า 1,000 ปี 
  3. กรรมวิธีผลิต มีการคัดสรรวัตถุดิบที่ดึที่สุด โดยนำเมล็ดพันธุ์ฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed มาจากประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุด มีการเก็บรักษาที่ดี และมีการควบคุมการผลิตที่ได้มาตรฐาน มีความสะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารเคมีเจือปน จึงได้รับตรารับรองผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรแผนโบราณ (JAMU) จากอินโดเนีย คุณจึงมั่นใจในการบริโภค (สามารถบริโภคได้ทุกเพศทุกวัย แม้กระทั่งเด็กเล็ก ๆ)
  4. มีโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐาน ภายใต้การควบคุมของเภสัชกร ได้รับอนุญาตประกอบกิจการอุตสากรรมผลิตยาแผนโบราณ (IZIN IKOT : P2T/13/03.10/VII/2011)
  5. ผ่านการรับรองจากกรมอนามัย ของประเทศอินโดนีเซีย ใบอนุญาต อย. เลขที่ Dep.kes. RI SP. NO.1873/13.01/02
  6. ได้รับตรารับรอง Halal (มีความสะอาดตามศาสนบัญญัติ เพราะฉะนั้น แคปซูลที่นำมาใช้ ไม่ใช่ชนิดที่ทำมาจากเจลาตินของสัตว์ หรือสิ่งต้องห้ามในการบริโภค)


คุณค่าทางโภชนาการระหว่างน้ำมันมะกอก & น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์

น้ำมันมะกอก (Olive Oil) เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่อิสลามสนับสนุนให้มุสลิมรับประทาน  มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก ช่วยแก้ไขปัญหาความผิดปกติของไต นิ่วในถุงน้ำดี แก้อาการจุกเสียดในไตและในตับ ช่วยขจัดพิษในตับ ทำให้ผิวพรรณสดใส

แต่ถ้าเรามาเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการกับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์แล้ว จะเห็นว่าให้คุณค่าในการรักษาที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก  เนื่องจากในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีองค์ประกอบของสารอาหารที่ทรงคุณค่าต่อร่างกายมากกว่า 100 ชนิด จึงให้การดูแลรักษาสุขภาพร่างกายและความงามแบบองค์รวม อีกทั้งสามารถบำบัดรักษาโรคได้ทุกชนิด ซึ่งมีผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ออกมายืนยันอย่างมากมาย

คำถาม : น้ำมันชนิดใดให้คุณค่า หรือสรรพคุณในการบำบัดรักษามากว่ากัน??
คำตอบ : จากข้อมูลข้างต้นท่านคงพอจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วล่ะ แต่คำตอบที่ดีที่สุด คือ ให้เราย้อนไปดูฮะดิษ หรือรายงานจากวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า :-

“ท่านทั้งหลายจงรับประทานน้ำมันมะกอกเถิด เพราะแท้จริงมันจะบำบัดน้ำดี ขับเสมหะ บำรุงประสาท ทำให้มีมรรยาทงดงาม ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น และขจัดความทุกข์กังวลใจ”

"จำเป็นสำหรับท่านทั้งหลาย คือฮับบะตุซเซาดาฮ์ เพราะแท้จริงมันเป็นยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย"

ทำไมน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ที่ขายอยู่ในท้องตลาด จึงราคาถูกกว่าของ กามิล ฮับบาตุซเซาดะฮ์??

เราไม่อาจตอบได้ว่า เพราะเหตุใด!! และยี่ห้อไหนดีกว่ากัน??  ผู้บริโภคเท่านั้นเป็นผู้ที่จะให้คำตอบด้วยตัวของเค้าเอง  โดยพิจารณาดูว่า ผลิตภัณฑ์ที่ท่านซื้อมารับประทานนั้น เป็นน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ 100% หรือไม่?  มาตรฐานและกระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์ที่ท่านซื้อมา มีความน่าเชื่อถือได้เพียงใด? หรือมีแตกต่างกับของ KAMIL HABBATUSSAUDA อย่างไร?  ที่สำคัญที่สุด คือประสิทธิผลในการบำบัดรักษา “รับประทานแล้ว สามารถบำบัดรักษาการป่วยไข้ของท่านได้เพียงใด?”

หากผลิตภัณฑ์ที่ท่านซื้อมาระบุว่า มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอกอยู่ด้วย ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ย่อมจะมีราคาที่ต่ำกว่าของ KAMIL HABBATUSSAUDA   ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำมันมะกอก extra vergin ที่ขายอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ๆ หรือตามท้องตลาด ขนาดบรรจุขวดละ 500 มล. ราคาประมาณ 200 กว่าบาท (ให้เต็มที่ไม่เกิน 300฿)  แล้วคุณคิดว่า มันสามารถบรรจุใส่แคปซูล ได้สักกี่แคปซูล หรือกี่กระปุก โดยเติมน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ลงไปเพียงเล็กน้อย หรือในสัดส่วนเท่าไร?? เราก็ไม่อาจทราบได้ หากผู้ผลิตมิได้ระบุส่วนผสม (ingredient) ที่ชัดเจนไว้ที่ฉลากข้างบรรจุภัณฑ์


ดังนั้น หากท่านต้องการบริโภคน้ำมันมะกอกจริง ๆ  ท่านสามารถซื้อน้ำมันมะกอก extra vergin เป็นขวด ที่ขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตมารับประทาน จะช่วยท่านประหยัดงบประมาณได้มากกว่า  โดยอิสลามสนับสนุนให้รับประทานร่วมกับน้ำส้มสายชูหมัก อย่างเช่นในปัจจุบันที่เราใช้เป็นเครื่องปรุงน้ำสลัดผัก  หรือให้รับประทานน้ำมันมะกอก (เปล่าๆ) 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนอาหารเช้า จะช่วยกระตุ้นให้ตับที่เฉื่อยชาและถุงน้ำดี ทำหน้าที่ของมัน ช่วยยับยั้งการก่อตัว และการเพิ่มจำนวนของ
เชื้อโรคในลำไส้

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

KAMIL HABBATUSSAUDA รักษาอาการไมเกรน..ได้


 โรคไมเกรน..ไม่ใช่โรคน่ากลัว
“ไมเกรน” ไม่น่าจะจัดว่าเป็นโรค ถือเป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงในสมองบีบตัว และคลายตัวมากกว่าปกติ  ซึ่งในคนปกติหลอดเลือดแดงจำนวนมากมายในสมอง ก็จะมีการบีบตัวและคลายตัวอยู่เป็นประจำ แต่ไม่มากจึงไม่รู้สึกปวดศีรษะ
อาการของไมเกรน
  1. ปวดศีรษะครึ่งซีก อาจเป็นบริเวณขมับหรือท้ายทอย แต่บางครั้งก็อาจเป็นสองข้างพร้อมกัน หรือเป็นสลับข้างกันก็ได้
  2. ลักษณะการปวดศีรษะส่วนมากจะปวดตุ๊บๆ นานครั้งหนึ่งๆ เกิน 20 นาที (ยกเว้นจะได้รับประทานยา) แต่บางครั้งถ้าเป็นรุนแรงอาจปวดนานเป็นวันๆ หรือสัปดาห์ก็ได้  ผู้ป่วยบางรายอาจมีปวดตื้อๆ ในสมอง
  3. อาการปวดศีรษะมักเป็นรุนแรง และส่วนมากจะมีคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยเสมอ โดยอาจเป็นขณะปวดศีรษะ ก่อนหรือหลังปวดศีรษะก็ได้ บางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมากจนรับประทานอะไรไม่ได้ (โดยส่วนตัวแล้ว เคยเห็นคุณแม่เป็นอยู่ค่ะ เวลาท่านเป็นทีคลื่นไส้ อาเจียน ทานอะไรไม่ได้ ต้องนอนพักนิ่ง ๆ เฉย ๆ นานมากอาจจะเป็นวัน จนกว่าอาการจะคลายตัว)
  4. อาการนำจะเป็นอาการทางสายตา โดยจะมีอาการนำมาก่อนปวดศีรษะราว 10-20 นาที เช่น เห็นแสงเป็นเส้นๆ ระยิบระยับแสงจ้าสะท้อน หรือเห็นภาพบิดเบี้ยวนำหน้า    มาก่อน


อุบัติการณ์ของโรค พบบ่อยในผู้หญิงวัยสาวระหว่าง 20-40 ปี ในเด็ก และผู้สูงอายุพบน้อย ผู้ชายพบว่าเป็นไมเกรนน้อยกว่าผู้หญิง 3-4 เท่าตัว แต่ถ้าผู้ชายเป็น มักมีอาการรุนแรงกว่า โดยมีอาการปวดตาข้างใดข้างหนึ่ง น้ำตาไหล ตาแดง ปวดรุนแรงมากติดต่อกันเป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ และอาจเป็นซ้ำ บ่อยๆ ทุก 6-12 เดือน โรคไมเกรน พบบ่อยกับสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง เช่น แม่ น้องสาว น้า ป้า เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ
  1. ภาวะเครียด
  2. การอดนอน
  3. การขาดการพักผ่อน หรือทำงานมากเกินไป  (ด้วยส่วนตัวของตนเอง ก็มีอาการปวดศีรษะเช่นอาการไมเกรน ในข้อ 1 และ 2 เหมือนกัน เวลาเครียด ทำงานมาก หรือพักผ่อนไม่พอ แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นอาเจียน  แต่ก็มีอาการปวดศีรษะ อยู่เป็นช่วง ๆ อยู่หลายวัน เหมือนกันเวลาเป็นขึ้นมา กว่ามันจะคลายตัวและหายไปเอง หรือจากการหยุดพักงานต่าง ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ)
  4. ขณะมีระดู หรือรับประทานยาคุมกำเนิด (อันนี้ ผู้หญิงสาวหลายคน ก็คงจะเป็นเหมือนกัน มันปวดศีรษะตุ๊บ ๆ อยู่วันสองวัน พอมีระดู จึงถึงบางอ้อ อ๋อ ที่แท้เรากำลังจะมีเมนส์นี่เอง ถึงปวดหัว เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วจร้า)
  5. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์
  6. อาหารบางชนิด เช่น กล้วยหอม เนยแข็ง และช็อกโกแลต

ถึงแม้ไมเกรนจะไม่ใช่โรคน่ากลัว แต่มันก็เป็นอาการที่รบกวนต่อวิถีในการดำเนินชีวิตของเรา  ดังนั้น ผู้ป่วยโรคไมเกรน จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงภาวะต่างๆ เหล่านี้ โดยสังเกตตนเองว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นการเกิดโรคไมเกรนในตนเอง เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงและแก้ไขได้ตรงจุด

โรคไมเกรน ก่อให้เกิดภาวะปวดศีรษะเรื้อรังนานเป็นปี ๆ บางรายอาจนานเป็นสิบ ๆ ปี จึงมักทำให้ผู้ป่วยเกิดความกังวลว่า ทำไมตนเองจึงไม่ยอมหายจากภาวะปวดศีรษะนั้น และวิตกว่าจะมีความผิดปกติในสมองต่างๆ เช่น เนื้องอกหรือเลือดคั่งในสมอง หรือเกรงว่าจะเกิดอัมพาต หรือพิการตามมาภายหลัง ในกรณีนี้ จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะจากภาวะเครียดเพิ่มขึ้นมาทับถมอีก

การปวดศีรษะจากภาวะเครียดนั้น จะมีอาการปวดแบบตื้อๆ หนักศีรษะทั่วทั้งศีรษะ บางรายจะบอกว่าปวดเหมือนมีอะไรมาบีบรัดโดยรอบหัว อาการนี้จะเป็นมากตอนบ่ายๆ หรือสายๆ ช่วงเช้าไม่ค่อยปวด หลังนอนพักอาการจะดีขึ้น  ทั้งนี้ เพราะเกิดจากการบีบเกร็งตัวของกล้ามเนื้อรอบศีรษะและบริเวณคอ
โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคไมเกรน จะไม่มีอันตรายใดๆ ที่จะก่อให้เกิดการพิการหรือทุพพลภาพตามมาแต่อย่างใด อาการปวดศีรษะชนิดไมเกรนนี้จะลดความรุนแรงลงเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเลยวัยหมดระดูไปแล้ว จะพบผู้ป่วยไมเกรนน้อยมาก

การปวดศีรษะจากโรคไมเกรนนี้ มักรักษาไม่หายด้วยยาแก้ปวดพาราเซตามอล ยาที่ผู้ป่วยใช้ได้ผลดี คือ ยาแก้ปวดแอสไพริน ขนาด 2 เม็ด ในขณะปวด แต่ข้อระวังห้ามรับประทานแอสไพรินในขณะท้องว่าง และผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหารห้ามรับประทานแอสไพรินเด็ดขาด อาจเกิดเลือดออกในกระเพาะได้ นอกจากนี้ ยาแอสไพริน คือ ยาที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการแพ้ได้ง่าย

การใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ดีที่สุดในการรักษาอาการไมเกรน ถึงแม้จะไม่มีผลงานวิจัยต่าง ๆ ออกมายืนยันโดยตรงก็ตาม  แต่จากประวัติการใช้ในทางประวัติศาสตร์นับเป็นพันปี ก็ได้มีการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ในการรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน  ทั้งนี้ เนื่องจากในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีสรรพคุณในการช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และช่วยให้การหลับดีขึ้น  ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า “ทำไมน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์” จึงรักษาอาการไมเกรน  โดยใช้ทั้งในรูปแบบของการรับประทาน และการทาภายนอก ซึ่งผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากน้ำมันหอมระเหยของมัน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียดของอารมณ์ และกล้ามเนื้อ...นะจ๊ะ