A 1 : โรคเบาหวาน มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คำว่า “Diabetes” หมายถึง น้ำพุ ส่วนคำว่า “Mellitus” หมายถึง น้ำผึ้ง เมื่อรวมแล้วคำว่า Diabetes Mellitus จึงมีความหมายว่า “น้ำพุแห่งน้ำผึ้ง” คำว่า น้ำผึ้งในที่นี้คงใช้เป็นตัวแทนแห่งความหวาน ความหวานที่เหลือล้น และพวยพุ่งออกมาอย่างมากมาย จนยากที่เราจะหยุดยั้งได้นั่นเอง ทั้งนี้ เนื่องจากโรคเบาหวาน เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่ร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ร่างกายจึงต้องขับถ่ายน้ำตาลออกมากับปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะมาก และปัสสาวะหวาน หรือปัสสาวะมีมดตอม ซึ่งในอดีตเรียกอาการของโรคนี้ว่า “โรคปัสสาวะหวาน”
Q 2 : โรคเบาหวานนี้มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรค หรือความรุนแรงของอุบัติการณ์เพียงใด?!
A 2 : ความชุกโรคเบาหวาน อัตราการระหว่างปี 1990 (2533) ถึง 1995 (2538) ศูนย์อเมริกันเพื่อการควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ได้ประกาศว่า การแพร่ระบาดโรคเบาหวานทั่วโลกมีมากกว่า 285 ล้านคน ในจำนวนนี้มี 90% ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 และคาดว่าในปี 2030 (2573) จะมีผู้ที่ต้องต่อสู้กับโรคเบาหวาน ทั่วโลก 438 ล้านคน และโรคเบาหวานยังเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลในเอเชีย ประเทศจีนมีจำนวนกว่า 90 ล้านคน และในอินเดียมี 50 ล้านคน ปัจจุบันเป็นสาเหตุการตาย อันดับที่ 4 ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลก
สถานการณ์เบาหวานในประเทศไทย จากการประเมินความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ของสำนักพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ (www.hiso.or.th) รายงานเมื่อเดือนมกราคม ปี 2549 พบว่า ประเทศไทย ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคเบาหวานปีละ 2 หมื่นคน ความชุกของโรคเบาหวานในประชาชนชาวไทย อายุ 35 ปีขึ้นไป มีร้อยละ 9.6 (ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยเหล่านี้ ไม่ทราบว่าตนเองเป็นเบาหวาน จึงสูญเสียโอกาสในการป้องกันและรักษา)
จากการสำรวจสภาวะสุขอนามัยของประชาชน
ด้วยการตรวจร่างกายพบว่า มีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 2.3 ในปี
พ.ศ. 2534 เป็นร้อยละ 4.6 ในปี พ.ศ. 2539
และมีเพียง 48% ที่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นเบาหวาน
และมีเพียง 17.6% ที่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
Q 3 : การรณรงค์ป้องกันโรคเบาหวานโลก และประเทศไทย มีแนวทางอย่างไรบ้าง?
A 3 : องค์การอนามัยโลกและสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ
(International
Diabetes Federation : IDF) ได้กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) รวมทั้งองค์การสหประชาชาติได้มีมติรับโลกเบาหวาน
เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของโลก และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกร่วมกันดำเนินการควบคุมและรับมือกับโรคเบาหวาน โดยได้กำหนดประเด็น (theme)
การรณรงค์วันเบาหวานโลก ในช่วง 5 ปี ระหว่างปี
พ.ศ. 2552-2556 คือ “Diabetes Education and
Prevention” หรือ “การให้ความรู้และป้องกันโรคเบาหวาน”
สาหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข และสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย
ได้กำหนดคาขวัญวันเบาหวานโลก ปี พ.ศ. 2554 ที่ใช้ในการรณรงค์ คือ “รวมพลัง ลดเสี่ยง เลี่ยงเบาหวาน”
เพื่อสร้างกระแสตื่นตัวให้ประชาชนทั่วไปและกลุ่มเสี่ยง ได้ตระหนักถึงภัยคุกคามจากโรคเบาหวาน
มีความรู้ ความเข้าใจถึงสัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
รวมถึงส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเอง เพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดแทรกซ้อนของโรคเบาหวานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมQ 4 : สาเหตุของโรคเบาหวานเกิดจากอะไร?
A 4 : สาเหตุโรคนี้เกิดจากตับอ่อนสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้น้อย หรือไม่ได้เลย ฮอร์โมนชนิดนี้ในยามปกติ มีหน้าที่คอยช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน แต่เมื่ออินซูลินในร่างกายไม่พอ หรือมีพอแต่ใช้ไม่ได้ (ภาวะดื้ออินซูลิน หรือต้านอินซูลิน) น้ำตาลก็ไม่ถูกนำไปใช้ จึงเกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เมื่อน้ำตาลคั่งในเลือดมาก ๆ ก็จะถูกไตกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน
โรคนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ มักเป็นกันทั้งครอบครัว
พ่อแม่ หรือญาติพี่น้อง ก็มักเป็นโรคนี้ด้วย
นอกจากนี้ ยังอาจมีสาเหตุอย่างอื่น เช่นได้แก่ อ้วนเกินไป,
เกิดจากการใช้ยาบางตัว เช่น สเตอรอยด์, ยาขับปัสสาวะ, ยาเม็ดคุมกำเนิด
หรืออาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง, มะเร็งของตับอ่อน,
ตับแข็งระยะสุดท้าย, โรค Pheochromocytoma
(เนื้องอกของต่อมหมวกไตชนิดหนึ่ง) โรคคุชชิง
เป็นต้น
Q 5 : อาการบ่งชี้เบื้องต้นที่แสดงออกให้เห็นว่า
เป็นโรคเบาหวาน และกลุ่มที่เสียงต่อการเป็นเบาหวาน มีอะไรบ้าง ??
A 5 :
อาการเบื้องต้น ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย, หิวน้ำ ดื่มน้ำบ่อย, กินจุ แต่น้ำหนักลด,
อ่อนเพลีย, เป็นแผลหายยาก
ถ้าท่านมีอาการเหล่านี้ ควรสงสัยว่าเป็นเบาหวาน
จึงควรไปเจาะเลือดเพื่อตรวจหาระดับน้ำตาล ในสถานพยาบาล และควรได้รับการตรวจเลือดอีกหนึ่งครั้งในวันอื่น
หากพบค่าผิดปกติ 2 ค่า จึงจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคเบาหวาน
ได้แก่
1) พ่อ
แม่ พี่ น้อง ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
2) อ้วน,
อ้วนลงพุง (โดยผู้หญิง มีรอบพุง มากกว่า/หรือเท่ากับ 80 ซม., ผู้ชาย มีรอบพุง มากกว่า/หรือเท่ากับ 90
ซม.
3) มีความดันโลหิตสูง
มากกว่า/หรือเท่ากับ 140/90 มม.ปรอท
หรือได้ใช้ยาลดความดันโลหิต
4) ไขมันไตรกลีเซอไรด์
มากกว่า/หรือเท่ากับ 250 มก./ดล.
และไขมันคอเลสเตอ
รอลดี (HDL) มีค่าน้อยกว่า 250 มก./ดล.
5) มีประวัติเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์
บุตรแรกคลอดมีน้ำหนักมากกว่า 4 กิโลกรัม
6) ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
เป็นอัมพาตจากหลอดเลือดในสมองตีบ หลอดเลือดที่มาเลี้ยงขาหรือเท้าตีบ
มีถุงน้ำหลายถุงที่รังไข่
*อาการเหล่านี้อยู่ในกลุ่มเสียงสูง ให้รีบตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด
และพบว่าระดับพลาสมากลูโคสขณะอดอาหาร มีค่าตั้งแต่ 126 มก./ดล.
ขึ้นไป ถือว่าท่านเป็นเบาหวาน
Q 6 : การตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด
เพื่อวิเคราะห์โรคเบาหวาน มีวิธีการอย่างไร?
A
6 : การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด
ให้ตรวจในเวลาเช้าหลังอดอาหารข้ามคืน มาเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting
plasma glucose, FPG) ค่า FPG
จะเป็นตัวบ่งบอกว่า ท่านเป็นโรคเบาหวานแล้วหรือยัง?
ระดับน้ำตาลในเลือด (FPG) มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ในคนปกติ มีค่า FPG 70 – 99 มก./ดล.
ผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน มีค่า FPG อยู่ระหว่าง 100
– 125 มก./ดล.
ผูป่วยเบาหวาน มีค่า FPG มากกว่า/หรือเท่ากับ 126 มก./ดล.
Q 7 : น้ำตาลที่อยู่ในเลือด มาจากไหน ?
A 7 : เมื่อเรารับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรท เช่น ข้าว
ก๊วยเตี๋ยว ขนมปัง มันฝรั่ง ขนมหวาน น้ำหวาน อาหารเหล่านี้ จะถูกย่อยจนเป็นน้ำตาลที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้
และจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานให้แก่ร่างกาย หากเรารับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรทมากเกินความจำเป็นของร่างกาย
น้ำตาลส่วนเกินเหล่านี้จะถูกแปรสภาพไขมันสะสมในตับ หรือเป็นไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สะสมตามบริเวณต่าง
ๆ ของร่างกาย และการที่ร่างกายจะนำน้ำตาลเหล่านี้ไปใช้เป็นพลังงาน
หรือเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ จำเป็นต้องอาศัยฮอร์โมนที่สำคัญ เรียกว่า “อินซูลิน” ซึ่งมาจากตับอ่อนQ 8 : การทำงานของ อินซูลิน และ ตับอ่อน มีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง??
A 8 : ตับอ่อน (pancreas) เป็นอวัยวะที่อยู่ภายในช่องท้อง วางตัวอยู่ใต้ลิ้นปี่ ด้านหลังของลำไส้เล็กและกระเพาะอาหาร มีหน้าที่สำคัญคือ สร้างน้ำย่อย (pancreatic juice) เพื่อช่วยในการย่อยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน นอกจากนี้ ตับอ่อนยังมีบทบาทในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) และกลูคากอน (glucagon) ออกสู่กระแสเลือด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญเกี่ยวกับขบวนการเผาผลาญโดยเฉพาะน้ำตาลของร่างกายมนุษย์
อินซูลิน (Insulin) คือฮอร์โมน ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมปริมาณกลูโคสในเลือด นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่เป็นสื่อนำน้ำตาลกลูโคสเข้าไปในเซลส์ เพื่อใช้เป็นพลังงานให้แก่ร่างกาย ในคนปกติแม้ไม่ได้รับประทานอาหาร ตับยังคงมีการสร้างน้ำตาล เพื่อใช้เป็นพลังงานของสมองและอวัยวะอื่น ทำให้มีการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อนระดับต่ำ ๆ อยู่ตลอดเวลา หลังการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว และแป้ง จะถูกย่อยสลายเป็นน้ำตาลกลูโคสในลำไส้เล็ก และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นใน
เลือดจะเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพิ่มขึ้น เพื่อเผาผลาญน้ำตาลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
ดังนั้น หากร่างกายมีปริมาณอินซูลินไม่เพียงพอต่อความต้องการ หรือเกิดภาวะดื้ออินซูลินทำให้อินซูลินไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ น้ำตาลกลูโคสจะไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ ทำให้มีระดับน้ำกลูโคสในกระแสเลือดสูงขึ้น และสาเหตุของการเกิดโรคเบาหวาน
Q 9 : การควบคุม หรือป้องกันโรคเบาหวาน
มีวิธีการอย่างไร?
A
9 : การควบคุมโรคเบาหวาน
ประกอบด้วย
1. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
2. การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
3. การควบคุมความดันโลหิต
4. การควบคุมระดับไขมันในเลือด
5. งดสูบบุหรี่
1. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
2. การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
3. การควบคุมความดันโลหิต
4. การควบคุมระดับไขมันในเลือด
5. งดสูบบุหรี่
เกณฑ์การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ระดับน้ำตาลในเลือดเวลาเช้า หลังอดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง = 70-130
มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลในเลือด หลังมื้ออาหาร 2 ชั่วโมง ควรน้อยกว่า
180 มิลลิกรัม/ เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลสะสมเฉลี่ย (HbA1c) ควรน้อยกว่า 7 %
เกณฑ์การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
วัดจากค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index, BMI) ซึ่งเป็นค่าที่คำนวณจากน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม
หารด้วยความสูงเป็นเมตรสองครั้ง จะบอกถึงน้ำหนักตัวที่เหมาะสมในแต่ละบุคคล
ดัชนีมวลกาย (กิโลกรัม/ตารางเมตร)
- คนปกติ มีค่า BMI =
18.5 – 22.9
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน มีค่า BMI มากกว่า/หรือเท่ากับ 23 – 24.9
- คนอ้วน มีค่า BMI มากกว่า/หรือเท่ากับ
25
*ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และมีภาวะน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน จะทำให้มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน
คือ อินซูลินออกฤทธิ์ไม่ได้ตามปกติ หลังจากที่ลดน้ำหนักตัวลงแล้ว อินซูลินในร่างกายจะออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
การควบคุมความดันโลหิต
ผู้ที่เพิ่งทราบว่าเป็นโรคเบาหวานพบว่า มีความดันโลหิตสูงร่วมด้วยได้ถึงร้อยละ
30–40
- การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์
คือค่าความดันโลหิตตัวบนควรมีค่าต่ำกว่า 130 มิลลิเมตรปรอท และค่าความดันโลหิตตัวล่างควรมีค่าต่ำกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท
จะช่วยทำให้การทำงานของไตดีขึ้น
การควบคุมระดับไขมันในเลือด
ผู้เป็นโรคเบาหวาน
จะมีความผิดปกติของไขมัน คือ มีไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมันไม่ดี (LDL) สูง ไขมันดี (HDL) ต่ำ ทำให้เพิ่มความสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
และเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ การควบคุมระดับไขมันในเลือดในผู้เป็นโรคเบาหวาน จึงเป็นสิ่งที่ควรทำให้ได้
ตามเกณฑ์ดังนี้
เกณฑ์ควบคุมระดับไขมันในผู้ป่วยเบาหวาน
- ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ น้อยกว่า 150 มล./ดล.
- ระดับไขมันไม่ดี (LDL) น้อยกว่า 100 มล./ดล. (และให้น้อยกว่า 70 มล./ดล. ในผู้ที่โรคหัวใจร่วมด้วย)
- ระดับไขมันดี (HDL)
สูงกว่า 40 มล./ดล. (ผู้ชาย), สูงกว่า 50 มล./ดล. (ผู้หญิง)
งดสูบบุหรี่
- การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดแดงหดตัว
และเกิดหลอดเลือดแดงตีบตันได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ผู้เป็นโรคเบาหวาน
จึงควรงดสูบบุหรี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณากรอกชื่อ หรือนามแฝง หรืออีเมลล์ด้วยค่ะ