แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หอบหืด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หอบหืด แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

25 วิธีในการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Kalonji Oil) ตามแนวทางการแพทย์อายุรเวท


ในบทความก่อนหน้าที่ KAMIL HABBATUSSAUDA ได้นำเสนอประโยชน์ของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil ในการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ให้ท่านได้ทราบแล้ว รวมทั้งได้นำเสนอเกี่ยวกับผลงานวิจัยในเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่อง ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่า “น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์” สามารถบำบัดรักษาได้ทุกโรคจริง ๆ ดังที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้มีวจนะไว้ว่า...


ในวันนี้ KAMIL HABBATUSSAUDA จะขอนำเสนอแนวทางในการใช้ประโยชน์จากน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ตามแนวทางอายุรเวท ซึ่งเป็นการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย ที่มีอายุยาวนานกว่า 5,000 ปี และเป็นแนวทางแขนงหนึ่งของการแพทย์ทางเลือก 

“ฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ ฮับบะตุซเซาดาอ์” คือชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกในภาษาอาหรับ และเป็นที่นิยมเรียกกันในหมู่คนที่ไทยที่เป็นมุสลิม แทนคำว่า “ยี่หร่าดำ” ในภาษาไทย แต่ในประเทศอินเดียและปากีสถาน ซึ่งใช้ภาษาฮินดีและอูรดู จะเรียกฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือเจ้าเมล็ดสีดำนี้ว่าKalonji”

ในน้ำมันเมล็ดสีดำหรือฮับบาตุซเซาดะฮ์นั้น มีองค์ประกอบของสารอาหารมากกว่า 100 ชนิด มันเป็นสมุนไพรที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเราสามารถนำมาใช้เยียวทั้งภายนอก (ได้แก่ โรคสะเก็ดเงิน, กลาก, ผิวที่แห้งกร้านตามข้อศอก หัวเข่า และนวดหนังศีรษะ) และนำมาใช้ภายใน เพื่อบำบัดรักษาความเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ  (เช่น หอบหืด, ไขข้ออักเสบ, เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน)

จากผลการศึกษาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า Kalonji Oil หรือน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ, เป็นยาต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านการอักเสบ ดังนั้น จึงมักจะนำมาใช้เพื่อต่อสู้กับโรคที่มาจากการติดเชื้อต่าง ๆ โรคที่มาจากความเสื่อมของระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

ส่วนประกอบที่มีคุณค่าของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ Kalonji Oil ประกอบด้วย โปรตีนประมาณ 21% คาร์โบไฮเดรต 38% ไขมันจากพืช 35% ซึ่งประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ที่จำเป็นต่อร่างกาย และมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและชีวิตประจำวัน



25 วิธีในการใช้ประโยชน์จากน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Kalonji Oil) ตามแนวทางอายุรเวท มีดังนี้

1. รักษาอาการหอบหืด (Asthma Attack)
ให้ผสมน้ำมัน Kalonji 10 หยด และน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น 1 แก้ว แล้วดื่มมันเป็นเครื่องดื่มในตอนเช้า และหลังอาหารค่ำอีก  1 ครั้ง เป็นเวลา 40 วัน เพื่อให้ได้รับผลการรักษาที่ดี

2. เลือดกำเดาออก (Bleeding of Nose)
เป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่อากาศร้อน ให้รักษาโดยเผากระดาษสีขาวสะอาดให้เป็นเถ้าถ่าน แล้วผสมกับน้ำมัน Kalonji 2 หยด หยอดใส่ภายในจมูก

3. แผลไฟไหม้ (Burns)
ผสมน้ำมัน Kalonji  5 กรัม น้ำมันมะกอก 30 กรัม Calamus (Buch) 15 กรัม และใบ Mehendi (หรือที่เรารู้จักว่าเฮนน่า) 80 กรัม ใช้ทาบนแผลไฟไหม้ เพื่อดับความร้อน ทำให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

4. จุกเสียดแน่นหน้าอก และมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร (Chest Irritation & Stomach Trouble)
ให้ผสม Kalonji oil  1/2 ช้อนชา กับนมอุ่น ๆ หนึ่งถ้วย ดื่มวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลาติดต่อกัน 3 วัน

5. ไอ & คัดแน่นจมูก (Cough & Congestion)
ให้ใช้น้ำมัน Kalonji ผสมกับเนย (Ghee เป็นเนยที่ใช้ทำข้าวหมก หรือแกงเนย เคยเห็นคุณแม่ใช้ และต้องไปซื้อที่บางรัก) และเกลือเล็กน้อย แล้วนำมาถูบริเวณลำคอและหน้าอกวันละครั้ง นอกจากนี้ ให้ใช้น้ำมัน Kalonji ½ช้อนชา รับประทานในตอนเช้าทุกวัน จะยังประโยชน์มากยิ่งขึ้น

6. ท้องผูก (Constipation)
ดื่มนมอุ่น ๆ ผสมกับน้ำมัน Kalonji 10 หยด และน้ำมันละหุ่ง 1 ช้อนชา

7. รังแค (Dandruff)
ผสมน้ำมัน Kalonji 10 กรัม, น้ำมันมะกอก 30 กรัม และผงเฮนน่า 30 กรัม นำมาอุ่นให้ร้อนสักครู่หนึ่ง เมื่อมันเย็นลงแล้วให้นำมาชโลมที่ศีรษะที่เป็นรังแค ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วสระล้างออกด้วยแชมพู

8. เบาหวาน (Diabetis)
ให้ดื่มชาดำ (black tea) 1 ถ้วย ผสมน้ำมัน Kalonji 1 ช้อนชา ดื่มวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและก่อนนอน และยังคงใช้มันอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยเป็นเวลา 40 วัน หลังจากนั้นให้ไปตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด ถ้ามันอยู่ในระดับปกติ ก็ให้หยุดการดื่มชาดำ

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

เชื้อรา Aspergillus fumigates เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคภูมิแพ้


ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดีนะคะ มีคนที่ไม่มีภูมิต้านทาน ก็จะป่วยเป็นไข้หวัดกันเยอะมาก และบางคนก็มีอาการแพ้อากาศ เช่นเดียวตัวของฉันเองก็ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ จึงได้พยายามหาคำตอบหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่จะตอบโจทย์นี้ และคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อื่นหรือท่านทั้งหลาย

คำถาม จากเว็บไซด์ของ วิชาการดอทคอม : “อยากทราบข้อมูล,โทษ,ประโยชน์ และวิธีป้องกันและรักษาของเชื้อรา Aspergillus fumigates

คำตอบ : จากผู้ใช้นามว่า “Nattawut1 



แอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส (Aspergillus fumigatus2) เป็น ราจัดเป็นจุลินทรีย์ ในอาณาจักรฟังไจ (FUNGI)  มีหน้าที่และบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในธรรมชาติ ในการย่อยสลายอินทรีวัตถุ เพื่อนำแร่ธาตุต่าง ๆ กลับคืนสู่ธรรมชาติ  ราไม่มีคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) จึงไม่สามารถสร้างอาหารเองได้  ราบางตัวยังสามารถผลิตสารประกอบที่เป็นประโยชน์ทางการแพทย์ การเกษตร และอุตสาหกรรม  เราสามารถแบ่ง รา ได้ดังนี้
  1. ราที่ดำรงชีวิตโดยการย่อยสลาย และดูดซึมสารอาหารจากซากพืชซากสัตว์ที่ตายแล้ว (Saprobes)
  2. ราบางกลุ่มดำรงชีพโดยการเกาะกินสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ (Parasites)
  3.  ราบางชนิดก็ก่อให้เกิดโรคได้ ทั้งโรคในคน สัตว์ และพืช (Pathogen)
โทษของแอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส Aspergillus fumigatus
เชื้อรา แอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส Aspergillus fumigatus อยู่ใน Kingdom : Animalia; Phylum: Ascomycota; Class: Eurotiomycetes; Order: Eurotiales; Family: Trichocomaceae; Genus: Aspergillus; Species: fumigatu

ปัจจุบันมีการทำจีโนมของเชื้อดังกล่าวเสร็จแล้ว และตีพิมพ์ในวารสาร Nature (Nierman WC et al; 2005). มีรายงาน ว่า เชื้อรา แอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส Aspergillus fumigatus เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคระบบทางเดินหายใจ เราสามารถพบราดังกล่าวได้ทั่วไปและใกล้ตัวด้วย เช่น ในอากาศ กระถางปลูกต้นไม้ในบ้าน ปุ๋ย คอมพิวเตอร์ ฝาผนังห้อง เป็นต้น ราชนิดนี้ยังก่อให้เกิดโรคในพืชและสัตว์ได้อีกด้วย มีรายงานจาก นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (University of Manchester) พบว่ามีสปอร์ของราดังกล่าว นับล้านเซลล์ อยู่ที่หมอน และ ผ้าห่ม ที่ในห้องนอน เป็นจำนวนมาก มีความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าหมอนเป็นที่อยู่อาศัยของไรฝุ่นซึ่งกินราเป็นอาหาร  และอีกหนึ่งทฤษฎี คือ รา แอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส ใช้มูลของไรฝุ่นเป็นแหล่งของไนโตรเจนและสารอาหาร

ในการแพทย์ แอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส Aspergillus fumigatus ส่วนใหญ่ก่อให้เกิดโรค และเกิดอาการแอสเพอร์จิโลซิส (aspergillosis) ที่เป็นอาการการติดเชื้อ มีรายงานว่า มีการบุกรุกของแอสเปอร์จิลรัสได้ทั่วไปในปอดและไซนัส  นอกจากนี้ยังพบว่า มันสามารถบุกรุกเข้ามาที่อวัยวะอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น สมอง และมันยังสามารถแพร่กระจายไปยังผู้ป่วยกลุ่มอื่นได้อีกด้วย  การรักษานั้นเป็นเรื่องยาก โดยผู้ป่วย 1 ใน 25 คน จะตายในโรงพยาบาล  รวมทั้งให้ผลเสียต่อผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่เพิ่งได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยโรคเอดส์ และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยการใช้  สารสเตียรอย์ด ผู้ป่วยลิวคีเมีย (leukaemia) ก่อให้เกิดความตาย ผู้ป่วยทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกไขสันหลัง และราแอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส ยังกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืดในเด็กและผู้ใหญ่อีกด้วย ทำให้อาการหอบหืดแย่ลง

การกำจัดแบบง่าย ๆ และการป้องกัน 
การกำจัดเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส Aspergillus fumigatus ในบ้านที่ขึ้นตามเฟอนิเจอร์ ด้วยการควรตรวจสอบสภาพแวดล้อมก่อนหน้าจะมีความชื้นสูง เช่น ช่วงหน้าฝน ทำสะอาดแล้วให้เช็ดด้วย ไฮเตอร์ชนิดน้ำ ผสมน้ำ 5 เท่าตัว เพื่อฆ่าเชื้อโรค (ไฮเตอร์คือคลอรีน หรือ สารละลายคลอรอกซ์ ผสมน้ำ) ส่วนใหญ่ที่มีเชื้อราขึ้นตามตู้เสื้อผ้าและใต้เตียง มักมาจาก ห้องที่ระบายอากาศไม่ดี  ให้ใช้ผ้าแห้งสะอาดถู ใช้พัดลมเป่าให้แห้ง เปิดประตูทิ้งไว้สักพัก  ส่วนหมอน และเครื่องนอนต่าง ๆ ควร ทำความสะอาดอย่างน้อย 1 ครั้ง/อาทิตย์ เพื่อช่วยลดปริมาณของเชื้อรา

ประโยชน์ ราแอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส (Aspergillus fumigatus)
ในอุตสาหกรรม มีการใช้เอนไซม์จากราดังกล่าว เช่น มาช่วยผลิตเอนไซม์ย่อยสลายเซลลูโลส และไซแลนจากวัสดุเหลือทิ้งทางเกษตรกรรม เป็นต้น  รวมทั้งผลิตเอนไซม์โปรติเอสด้วย  ส่วนในทางการแพทย์ มีรายงานว่า ราแอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส สามารถผลิตยายาปฏิชีวนะ ที่มีชื่อว่า fumagillin เป็นสารที่ยับยั้ง bacteriophage หรือ เรียกว่า เชื้อไวรัสของ แบคทีเรีย และมีฤทธิ์ในการฆ่าอะมีบาได้ด้วย
-------------------
อ้างอิง :
1Nattawut Boonyuen  : Phylogenetics and Mycology LaboratoriesCentral Research Unit
BIOTEC, National Center for Genetic Engineering and Biotechnology, Khlong Luang,
Pathum Thani, 12120, Email: Nattawut@biotec.or.th http://www.vcharkarn.com/va2/index.php/my/show/154
2 Aspergillus fumigatus is a fungus of the genus Aspergillus, and is one of the most common Aspergillus species to cause disease in individuals with an immunodeficienc  (แปลข้อมูลจากวิกิพีเดีย : แอสเปอร์จิลลัส ฟูมิกาตัส เป็นเชื้อราในสายพันธุ์ แอสเปอร์จิลลัส เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของแอสเปอร์จิลลัสที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมคุ้มกันบกพร่องในคน)