แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคหัวใจ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคหัวใจ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

"ความดันโลหิตสูง" โรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยไม่รู้ตัว


วันนี้ KAMIL HABBATUSSAUDA ขอนำเรื่อง “โรคความดันโลหิตสูง” มานำเสนอทุกท่าน เนื่องจากมันคืออันตรายใกล้ตัวที่สุดที่เราทุกคนไม่ควรมองข้าม “มัจจุราชเงียบ” ที่มาเยี่ยมเยือนเราโดยไม่รู้ตัว และไม่บอกกล่าวอย่างไร้มารยาท  โดยในปี 2543 ประชากร 1 แสนคน พบผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 259.02 และพบเพิ่มเป็น 1,349.39 ในปี 2553  ซึ่งถือว่ามีอัตราสูงขึ้นกว่า 5 เท่า

จากผลการสำรวจสภาวะสุขภาพอนามัยของประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 (พ.ศ.2551-2552) พบว่า ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง ร้อยละ 60 ในผู้ชาย และร้อยละ 40 ในผู้หญิง ไม่เคยได้รับการตรวจวินิจฉัยมาก่อน  พูดง่ายๆ คือ ไม่รู้ตัวว่าเป็นความดันโลหิตสูง

นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “มีหลายประเด็นที่พี่น้องคนไทยไม่รู้ ไม่ใส่ใจ รู้ทั้งรู้ หรือยังเข้าใจผิดอยู่  เมื่อลงพื้นที่หลายจังหวัดก็จะพบประเด็นต่าง ๆ เช่น 
คิดว่าโรคนี้จะต้องมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น หรือเหนื่อยง่าย เมื่อไม่มีอาการก็นึกว่าไม่เป็นโรคนี้ ความจริงส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 จะไม่พบโรคหรือภาวะผิดปกติ”

สิ่งที่เป็นต้นเหตุของความดันโลหิตสูง ซึ่งเรียกว่า “ความดันโลหิตสูงชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ” (Essential Hypertension หรือ Primary Hypertension) มักจะมาจากพันธุกรรม คือ ถ้าพ่อแม่พี่น้องเป็น ตัวเองมีโอกาสเป็นสูงกว่าคนอื่น 3 เท่า  นอกจากนี้ ในคนสูงอายุ อ้วน กินเค็ม ดื่มเหล้า ก็เป็นปัจจัยสำคัญ พบในอายุเริ่มที่ 25 ปี ต่อมาเริ่มมีอาการป่วยที่อายุ 40 ปี ผู้ป่วยจะปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจความดัน เนื่องจากไม่มีอาการ จนในที่สุดกลายเป็นโรคหัวใจ โรคอัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมองแตก ถึงจะมาโรงพยาบาล ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ส่วนน้อยต่ำกว่าร้อยละ 10 อาจตรวจพบโรคเป็นต้นเหตุ พบในคนอายุน้อยกว่า 30 ปี เริ่มมีโรคความดันสูง ที่เรียกว่า “Secondary Hypertension” เช่น หญิงตั้งครรภ์ ครรภ์เป็นพิษ คอพอกเป็นพิษ โรคไตอักเสบ

**เราจะทราบว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือไม่??  มีวิธีการเดียวเท่านั้น คือการตรวจวัดความดันโลหิต เป็นระยะ ๆ  บางรายนึกว่าคนผอมไม่เป็นความดันโลหิตสูง ความจริงแล้วโรคนี้พบได้ทั้งคนอ้วนและคนผอม ยิ่งพ่อแม่เป็นแนวโน้มลูกจะได้มรดกมา มากถึง 3 เท่า

นพ.วิชัยฯ ได้กล่าวว่า เมื่อคราวลงพื้นที่ อ.เมืองสิงห์บุรี มีชายไทยอายุ 50 ปี เป็นความดันโลหิตสูงถึง 200/100 มิลลิเมตรปรอท (เป็นโรคระดับ 3 สีแดง) รักษามากนานมาก ให้ยาทุกชนิดก็ไม่ลง พยาบาลจึงลงไป "สอบสวนโรค พบว่า ลูกชายอายุ 18 ปี ติดยาเสพติด ทำให้พ่อเครียดกินยาอย่างไรก็ไม่ลง จึงต้องรักษา "ลูก" ที่ติดยาก่อน ความดันโลหิตสูงของพ่อก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ไม่ต้องกินยาลดความดัน (( นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า “ความเครียด” เป็นสาเหตุหนึ่งของความดันสูง ซึ่งใช้ยาตัวไหนก็รักษาไม่หาย ))

ผู้ป่วยอีกรายหนึ่ง เป็นชายไทยอายุ 60 ปี เป็นความดันโลหิตสูงระดับสีแดง 180/100 กินยาต่อเนื่องมาเรื่อย วันหนึ่งไปตรวจวัดความดันที่โรงพยาบาลพบว่า ความดันอยู่ในระดับปกติ หลังเวลาผ่านไป 10 วัน ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บ จุก แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หัวใจหยุดเต้น ต้องปั๊มหัวใจและแก้ไขได้ทันรอดตาย  เมื่อทำการสอบสวนโรคจึงพบว่า หลังตรวจวัดว่า “ปกติ” ผู้ป่วยเลยคิดว่า "ตัวเองหาย"  จึงไม่ได้กินยา ขาดยาไป 10 วัน กอปรกับช่วงเวลาดังกล่าวมีภาวะเครียด ความดันขึ้น ทำให้มีอาการจุกหน้าอก หัวใจขาดเลือดกะทันหัน และความดันที่วัดขณะนั้นสูงถึง 210/110 มิลลิเมตรปรอท

วิเคราะห์จากสถานการณ์ข้างต้น นพ.วิชัยฯ จึงต้องการจะบอกให้ทุกท่านได้ทราบข้อเท็จจริงว่า "โรคความดันโลหิตสูง เป็นแล้วเป็นเลย รักษาไม่หายขาด จะเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต”

(ที่มา : เว็บไซด์ของ สสส. ซึ่งสรุปบทความของ นพ.วิชัย เทียนถาวร จาก นสพ.ประชาชาติธุรกิจ)

ท่อน้ำเก่า (เส้นโลหิต)ใช้งานมานาน มันก็ต้องกรอบแข็ง มีคราบสนิมจับเกรอะกรังไปหมด ทำให้ปั้มน้ำ (ห้วใจ) ต้องทำงานหนักขึ้น ร่างกายก็เลยมีเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ไม่เพียงพอ จึงเป็นสาเหตุของโรคเรื้อต่าง ๆ อีกหลายโรคตามมา เช่น หัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือด ไตขาดเลือด ตาบอด ปลายมือปลายเท้าขาดเลือด ทำให้เกิดอาการชา เป็นต้น แล้วเราจะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายอย่างไร เพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ ที่มีจากความเสื่อมของระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย การป้องกันไว้ก่อน น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
โรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่ตามมาจากการป่วยด้วย "โรคความดันโลหิตสูง"

ดังนั้น ท่านผู้อ่านที่ติดตามบล็อกของ KAMIL HABBATUSSAUDA มาโดยตลอด น่าจะทราบเป็นอย่างดีว่า "น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์" สามารถบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ทั้งโรคที่มาจากความเสื่อม และโรคที่มาจากการติดเชื้อ อีกทั้งเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง มีระดับฮอร์โมนที่สมดุล  และมันคือสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ในแพทย์ทางเลือก ตามแนวทางป้องกัน และเป็นการบำบัดรักษาโดยวิถีทางธรรมชาติ ที่ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ  ซึ่งในทางกลับกันยาทางเภสัชกรรม สามารถรักษาโรคได้ หรือระงับอาการที่ปลายเหตุ แต่มันก็ให้ผลข้างเคียงต่าง ๆ ที่เป็นผลเสียต่อร่างกายติดตามมา เมื่อมีการใช้ในระยะยาว

หมายเหตุ : ลิงค์งานวิจัยเกี่ยวกับ ฮับบาตุซเซาดะฮ์สามารถรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งมีผลต่อการลดความดันโลหิต นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ : ผลงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮฺ

มารู้จักโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease)

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (CAD) หรือโรคหัวใจขาดเลือด เป็นโรคหัวใจที่พบบ่อยที่สุดในผู้ใหญ่ และเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญของผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจ  ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ อายุที่มากขึ้น, เพศชาย, การสูบบุหรี่, ภาวะไขมันในเลือดสูง, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง,  และการไม่ออกกำลังกายประจำ ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการสำคัญ คือ อาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือเหนื่อยง่ายโดยเฉพาะในเวลาออกกำลังกาย ซึ่งในบางรายอาจเป็นแบบฉับพลัน และรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือที่เรียกว่า Heart Attack ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม 





โรคนี้ในปัจจุบันมีวิธีการรักษาอยู่ 3 วิธี คือ

1)    การทำบายพาส (Coronary Artery Bypass Graft) โดยการผ่าตัดนำหลอดเลือดดำที่ขา หรือหลอดเลือดแดงที่ผนังหน้าอกมาตัดต่อกับหลอดเลือดที่อุดตัน เพื่อทำทางเดินของเลือดใหม่
2)    การรักษาด้วยยา
3)    การใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงการใส่ขดลวดในหลอดเลือดหัวใจ


“ฮับบาตุซเซาดะฮฺ ทางเลือกใหม่ในการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ” ……



เราลองมาอ่านผลงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู

_____♥♥♥_______________♥♥♥¸.•*´¨`*•.¸¸.•¸.•*´¨`*•



ผลงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ*
บทคัดย่อ :
การศึกษาได้ดำเนินการเพื่อตรวจสอบผลกระทบของการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮฺ (Nigella sativa) ต่อไขมันในเลือดของผู้ป่วยโรคหัวใจ  ที่เข้ารับการรักษาที่สถาบันโรคหัวใจ    (Ch. Pervaiz Elahi Institute of Cardiology)    ณ เมือง Multan ประเทศปากีสถาน กลุ่มผู้ป่วยที่ทำการศึกษามีอายุระหว่าง 26-69 ปี ผู้ป่วยจำนวน 80 คน ที่ได้รับการคัดเลือก ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 40 คน ด้วยการสุ่มตัวอย่างทางสถิติจากน้ำหนักของผู้ป่วย โดยให้การรักษา ดังนี้
กลุ่มแรก (interventional) คือกลุ่มที่ได้รับ ฮับบาตุซเซาดะฮฺ (Nigella sativa) และยา statin (ยาทางเภสัชกรรม ที่ใช้ลดความดันโลหิต เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด)
กลุ่มที่ 2  (non-interventional) หรือกลุ่มควบคุม จะได้รับยา statin เพียงชนิดเดียว
ทั้งสองกลุ่มได้รับการแนะนำให้ใช้ยาตามปริมาณที่กำหนดให้ เป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ โดยมีระยะเวลาในการควบคุมโรค 6 เดือน โดยตัวอย่างเลือดหลังอดอาหาร ได้ถูกนำมาบันทึกทั้งก่อนการรักษา และหลังการรักษา (ทำการตรวจวัด 2 ช่วง คือหลัง 2 เดือน และหลัง 6 เดือน) การประเมินผลหลังการรักษาครบ 6 เดือน พบว่า

·        กลุ่ม interventional  มีระดับคอเลสเตอรอลลดลง (-14.58%),  LDL    
     (-23.00%), VLDL (-15.16%) และไตรกลีเซอไรด์ (-15.16%) อย่างมีนัยสำคัญ (ค่า p < 0.05) ในขณะที่ระดับ HDL-คอเลสเตอรอล เพิ่มขึ้น (3.18%) อย่างมีนัยสำคัญ (ค่า p < 0.05)
·        กลุ่ม non-interventional มีระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น (+1.17%), LDL (- 4.13%), VLDL (-3.10%) และไตรกลีเซอไรด์ (-2.12%) โดยไม่มีนัยสำคัญ (ค่า p > 0.05) ในขณะที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ค่า p < 0.05) ในระดับ HDL- คอเลสเตอรอล (+5.87%)
สรุปผลการศึกษาพบว่า : กลุ่มที่ได้รับฮับบาตุซเซาดะฮฺในการรักษา  มีการลดลงของ คอเลสเตอรอล, LDL, VLDL และไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ในขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มขึ้นของ HDL อย่างมีนัยสำคัญ (ค่า p < 0.05)  เมื่อนำมาเปรียบเทียบกลุ่มควบคุม non-interventional  จึงสรุปได้ว่า ฮับบะตุซเซาดะฮฺมีผลต่อการลดระดับไขมันในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดอาการหลอดเลือดหัวใจตีบในผู้ป่วยโรคหัวใจ
*สรุปจากผลงานวิจัยเรื่องThe Effects of Nigella sativa (Kalonji) on Lipid Profile in Patients with Stable Coronary Artery Disease in Multan, Pakistan”
โดย : Zahida Tasawar1, Zeshan Siraj1, Nisar Ahmad2 and Mushtaq H. Lashari1
       1.    Institute of Pure and Applied Biology, Bahauddin Zakariya University,
            Multan, Pakistan
       2.    Ch. Pervaiz Elahi Institute of Cardiology, Multan, Pakistan
---------------------------------
Source : http://www.newswit.com/food/2006-04-20/coronary-artery-disease-cad/
               http://www.pjbs.org/pjnonline/fin1874.pdf
แปลโดย : KAMIL HABBATUSSAUDA
 

ด้วยรักและห่วงใย