แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ black seed แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ black seed แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ สามารถรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ (HIV) ได้

ณ วันนี้เราอาจจะพูดได้ว่า แทบไม่ต้องใช้วิธีการทางการแพทย์ในการ “รักษาโรค”  เนื่องจากมีกรณีศึกษาที่น่าทึ่งเกี่ยวกับ “ผู้ป่วยเอดส์ HIV Nagative” ที่สามารถบำบัดรักษาด้วยการใช้สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ เมล็ดสีดำ (Black Seed) และได้ผลในการบรรเทาอาการอย่างต่อเนื่อง จึงแสดงให้เห็นทางเลือกที่ปลอดภัย ซึ่งผู้คนสามารถเข้าถึงได้ ด้วยราคาที่ไม่แพง แทนที่การใช้ยาต้านไวรัส HIV ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งให้ผลข้างเคียงในความเป็นพิษสูงมาก



Nigella Sativa ที่เราเรียกว่าเป็น ฮับบาตุซเซาดะฮ์  หรือ Black Seed ได้มีการศึกษากันอย่างจริงจังและกว้างถึงคุณสมบัติและประโยชน์ของมันที่มีผลต่อสุขภาพ  และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ค้นพบสัญญาณหนึ่ง ซึ่งเชื่อได้ว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) สามารถเป็นตัวแทนในการรักษาโรคที่อาจเกิดการติดเชื้อไวรัสร้ายแรง รวมทั้งไวรัสตับอักเสบซี [i] และปัจจุบันนี้ (ปี 2013 ปีที่เขียนบทความ) สามารถรักษาโรคเอดส์ (HIV)

จากกรณีศึกษาที่น่าทึ่ง ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคมของปีนี้ (ปี 2013) ในวารสาร African Journal of Traditional, Complementary, and Alternative Medicine  กล่าวว่า ผู้ป่วยเอดส์ (HIV) หลังจากได้รับการรักษาด้วยสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed)  มีผลลัพธ์สามารถฟื้นคืนสุขสภาพได้อย่างสมบูรณ์  โดยไม่มีการตรวจพบเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือสารแอนติบอดี้ ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านเชื้อ HIV ในซีรั่มเลือดของพวกเขา ทั้งในระหว่างการรักษาและระยะยาวหลังการรักษาสิ้นสุดการรักษา [ii]

นี่เป็นข้อสังเกตที่น่าทึ่งและไม่อาจคาดคิดมาก่อน จากการอธิบายของนักวิจัยและทีมงาน ดังนี้ 
"Nigella sativa หรือ ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ได้รับการรับรองว่า มีฟังก์ชั่นในการรักษาจำนวนมาก ที่ถือได้ว่าเป็นยารักษาโรค  ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็คาดได้ว่า มันสามารถสร้างปรากฏการณ์พลิกกลับที่ทำให้ ค่าการติดเชื้อ HIV เป็นศูนย์ (0) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แม้จะมีการรักษากันอย่างกว้างขวาง ด้วยการใช้ยาต้านไวรัส (HAART)"

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการรักษาโดยทั่วไป ที่เป็นมาตรฐานของการดูแลรักษาโรคเอดส์ทั่วโลก รักษาด้วยยาต้านไวรัส ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมาก  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลกระทบต่อสุขภาพอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ของผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) นี่คือความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการติดเชื้อ และได้รับการบำบัดรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม พบว่าการทำงานของเลือดยังไม่มีอาการอื่นใด  ผู้ป่วยยังคงมีสุขภาพดี  แต่การรักษาด้วยยาเป็นประจำ จะมีผลให้เชื้อไวรัสเอชไอวีสามารถที่จะกลายพันธุ์ และมีความต้านทานที่แข็งแกร่งต่อยา หรือเรียกว่า “การดื้อยา” มากขึ้นของเชื้อ HIV ที่อยู่ในร่างกาย  ขณะที่ในเวลาเดียวกัน “ยา” ที่ใช้ได้สร้างความเสียหายที่รุนแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยอย่างน่าเศร้า  ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันลดลง และถึงแก่ความตายในที่สุด

"โรค" โดยตัวของมันเอง ก็เป็นปัญหาที่รู้จักกันดีว่า เราประสบกับความล้มเหลว เช่นเดียวกับการทำสงครามกับมะเร็ง ที่ 'เหยื่อ' (ผู้ป่วย) และ 'โรคมะเร็ง' ได้รับความล้มเหลวไม่หยุดหย่อน และแม้ว่าจะมีการส่งเสริมในเรื่องของการให้เคมีบำบัด การฉายรังสี และการผ่าตัด ก็ตาม

ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมในสมัยโบราณเราจึงใช้อาหารเป็นเสมือนการรักษาโรค ดังเช่นที่เราใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ เมล็ดสีดำ (Black Seed) ซึ่งการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โดยทั่วไปการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นยาในการบำบัดรักษาโรค มีความปลอดภัย ราคาไม่แพง และสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถรักษาโรคเอดส์ (HIV) ได้ ซึ่งถือว่าเป็นที่เรื่องที่น่าตื่นเต้นทีเดียว


ผู้ป่วยโรคเอดส์ (HIV) ฟื้นคืนเป็นปกติอย่าง 'ปาฏิหาริย์'
เริ่มแรกของการศึกษาทดลอง ผู้ป่วยมีอาการโดยทั่วไปที่พบได้ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยมีประวัติ เป็นไข้เรื้อรัง ท้องเสีย น้ำหนักลดในระดับปานกลาง และมีอาการคันแผล เป็นระยะเวลา 3 เดือน
ในระหว่างการศึกษาทดลอง ผู้ป่วยได้รับยา ร่วมกับการรับประทานน้ำมันฮับบบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) 10 MLS วันละสองครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน

ผลการทดลองพบว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และเชื้อไวรัสลดลงในระดับที่เชื่อถือได้ (significant) มีนัยยะสำคัญทางสถิติ

"ไข้ท้องเสีย และอาการคันแผลหายไป เมื่อวันที่ 5, 7 และ 20 วันตามลำดับ ในการรักษาด้วย Nigella sativa หรือฮับบาตุซเซาดะฮ์  ค่า CD4 ลดลงถึง 160 เซลล์ / mm3 แม้จะมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปริมาณไวรัส (≤1000 copies / ml) ในวันที่ 30 ของการใช้  Nigella sativa"

โดยในวันที่ 187 ของการรักษาด้วยเมล็ดสีดำ Black Seed การทดสอบแสดงให้เห็นว่า เลือดก็เคลียร์ทั้งหมดในเรื่องของสัญญาณของการติดเชื้อ ซึ่งอยู่ในสถานะที่เรียกว่า 'Zero-Nagative

หลังจากติดตามการทดสอบแสดงให้เห็นว่า แม้หลังจากการรักษา เป็นเวลา 24 เดือน โดยไม่ต้องรักษาด้วยการใช้สมุนไพร น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ Black Seed Oil ของผู้ป่วยเอดส์ การทดสอบพบว่า ผู้ป่วยยังคงมีอาการปกติ โดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ของการติดเชื้อใด ๆ หรือมีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น  ดังนั้น พวกเขาทีมงานวิจัยในครั้งนี้  

จึงสรุปว่า : "รายงานการศึกษาทดลองในกรณีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า การใช้รักษา Nigella sativa ในการรักษานั้น สามารถใช้เป็นตัวแทนในการรักษาที่เป็นไปได้และมีประสิทธิภาพ ในการควบคุมการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ได้"
-----------------
เอกสารอ้างอิง :
[i] Eman Mahmoud Fathy Barakat, Lamia Mohamed El Wakeel, Radwa Samir Hagag. Effects of Nigella sativa on outcome of hepatitis C in Egypt.  World J Gastroenterol. 2013 Apr 28;19(16):2529-36. doi: 10.3748/wjg.v19.i16.2529.
[ii] Abdulfatah Adekunle Onifade, Andrew Paul Jewell, Waheed Adeola Adedeji. Nigella Sativa Concoction Induced Sustained Seroreversion in HIV Patient. Afr J Tradit Complement Altern Med. 2013 Aug 12;10(5):332-5.

Source : Thank you very much for this website

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"มหัศจรรย์.. น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์" By KAMIL


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ แฟนบล็อก KAMIL ที่รัก และแขกผู้มาเยี่ยมเยือนใหม่ ทุก ๆ ท่าน

KAMIL HABBATUSSAUDA ได้จัดทำภาพยนตร์ (วีดิโอ) แนะนำฮับบาตุซเซาดะฮ์ เรื่อง “มหัศจรรย์.. น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์” ขึ้นมา เพื่อให้ทุกท่านได้รับชมและเรียนรู้ เรื่องราวความมหัศจรรย์ของสมุนไพรนี้  ตั้งแต่เรื่องที่เกี่ยวพันธุ์ไม้นี้ ประวัติศาสตร์ความเป็นมา และการใช้ประโยชน์จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ในอดีตผ่านมา ซึ่งนับเป็นเวลามากกว่า 3,000 ปี รวมทั้งคุณสมบัติที่วิเศษสุดในตัวของมัน ตลอดจนผลงานการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพของมัน ในการดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยและสุขภาพร่างกายของมนุษย์

วีดิโอนี้มีเนื้อหาที่สั้น กระชับ ได้ใจความสำคัญในภาพรวมทั้งหมดพอสังเขป ท่านจะใช้เวลาในการรับชมเพียง 3 นาทีเศษๆ  ซึ่งภาพบางช่วงบางตอนที่เป็นคำบรรยาย อาจจะดูรวดเร็วไปสักนิดหรืออ่านไม่ทันบ้างก็ตาม (ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้)  อย่างไรก็ตาม ท่านก็สามารหยุดวีดิโอเป็นบางช่วง เพื่ออ่านข้อความดังกล่าวให้ละเอียดได้เช่นกัน  และเมื่อท่านได้รับชมจนเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้เกิดความสนใจที่จะใคร่ศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดให้ชัดแจ้ง ก็ขอเรียนเชิญท่านอ่านศึกษาจากบทความต่าง ๆ ที่เว็บบล็อกแห่งนี้ได้นำเสนอไว้  

ทั้งนี้และทั้งนั้นถ้าท่านอยากจะพูดคุยกับ KAMIL เพื่อปรึกษาหรือสอบถามปัญหาบางอย่างที่ยังคลางแคลงใจ ก็สามารถติดต่อมาได้ที่คุณฮัฟเซาะฮ์ (หรือจิ๋ม) โทร 
081-4465461 ซึ่งเป็นเว็บมาสเตอร์ดูแลเว็บนี้  หรือจะเข้าไปทักทายพูดคุยกับเราที่ page ในเฟสบุ๊คของ KAMIL ก็ได้เช่นกัน  เรายินดีรับสายโทรศัพท์พูดคุยกับทุกท่านตลอดเวลา ขอทุกท่านอย่าได้เกรงใจ  เพราะเราไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักในการจำหน่ายสินค้า KAMIL HABBATUSSAUDA เพียงอย่างเดียว  โดยแท้จริงแล้ว เราปรารถนาที่จะเผยแพร่คุณประโยชน์อันมหาศาลของ “สมุนไพรมหัศจรรย์” นี้ ไปยังผู้คนให้ได้มากที่สุด  เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน อันเป็นความเมตตาของพระผู้สร้าง ที่มีต่อมนุษย์อันเป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์นั่นเอง

ดังที่ท่านศาสดาแห่งอิสลาม มุฮัมมัด ร่อซูลุลลอฮ์ (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ :-

“แท้จริง ในเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์นั้น เป็นยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย”
In the black seed is healing for every disease except death


วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิธีการง่าย ๆ ในการกำจัดอาการไมเกรนให้มลายสิ้นด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์

เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ผมได้เดินทางมาถึงต่างประเทศโดยมิได้เตรียมการสิ่งใดไว้ สำหรับรับมือกับความทุกข์ทรมานที่จะต้องอดทนกับมัน  ผมจึงได้ไปหาซื้อยาแก้ปวด Fiornal มาใช้ 1 ชุด (1 เดือน)  เพื่อรักษาอาการไมเกรนของผมที่เป็นอยู่  แล้วก็เพิ่งจะได้รู้ว่า ประชาชานของประเทศจอร์แดนเกือบทั้งหมด ก็ประสบกับปัญหานี้เช่นกัน  ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดของผมเอง  จนกระทั่งในเดือนต่อมา ผมได้ประสบกับอาการปวดหัวที่รุนแรงที่สุดในชีวิต 

อาการไมเกรนของผมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยซะแล้ว เพราะผมต้องพบกับอาการปวดที่รุนแรงเป็นเวลาหลาย ๆ ครั้งในรอบปี เหมือนกับอาการปวดทั้งหมดมันได้มารุมเร้าในตัวผม  ผมได้เคยเขียนบันทึกไว้ที่โต๊ะทำงานในอเมริกาว่า “ผมเคยเป็นไมเกรน”  และมันไม่มีโอกาสที่จะรบกวนผมอีก  เนื่องจากยามันช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นและหัวเราะได้  ซึ่งผมก็ไม่เหมือนกันคนทั่ว ๆ ไป ที่ต้องการแค่เพียงเท่านั้น  แต่ผมปรารถนาที่จะหายจากโรคที่ทุกข์ทรมานนี้จริง ๆ

ความเจ็บปวดที่รุนแรงเป็นอย่างมาก มันทำให้ผมต้องจ่ายเงินถึง 125$ เพื่อฉีดยาระงับอาการปวด และหลายครั้งที่มันทำให้ผมไม่สามารถไปทำงานได้  ผมจึงได้แสวงหาวิธีการต่าง ๆ ทุกวิถีทางธรรมชาติด้วยตัวผมเอง โดยไม่มีทีมงานคอยช่วยเหลือ  และหนึ่งในวิธีการทางธรรมชาติที่ผมใช้ ก็คือ ผสมน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาวรับประทาน เพื่อระงับอาการปวดหัว

ดังนั้น เมื่อผมได้มาถึงประเทศจอร์แดน  ผมได้ตรงไปที่ร้านขายยา เพื่อมองหาสิ่งที่จะช่วยผมให้ระงับอาการปวด  แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเลย นอกจากยาแก้ปวดธรรมดา คือ ไทลินอน Tylenol และยี่ห้ออื่น ๆ ที่มีวางขายทั่วไป  ซึ่งใครที่เป็นไมเกรนอยู่แล้ว ก็คงบอกได้ว่า “ยาเหล่านั้น มันช่วยอะไรไม่ได้เลย”  ผมอยากจะผ่าสมองของผมด้วยมีดเสียเหลือเกิน เพื่อให้ความเจ็บปวดมันหลุดออกมา  ผมได้พยายามหาวิธีการหลายอย่าง เพื่อระงับอาการปวด  จนถึงขั้นอยากจะนำผ้ามาผูกที่หัวของผมแล้วรัดมันให้แน่น ๆ  เพื่อระงับอาการปวดและทุกข์ทรมานนั้น  และวิธีการหนึ่งผมเคยใช้ระงับอาการ ก็คือเอาผ้าเย็นมาโป๊ะไว้ที่ใบหน้า

แล้ววันหนึ่งผมก็ได้ยินเรื่องราวของสมุนไพรมหัศจรรย์ ที่เรียกว่า "Gizhah."  ซึ่งก็คือ ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) หรือยี่หร่าดำ (black cumin) ในขณะนั้นเป็นเวลาที่ผมหมดหวังจากหาวิธีการอย่างอื่นแล้ว  ผมจึงเริ่มต้นการรักษาด้วย gizhah  โดยอุ่น gizhah ให้ร้อน แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้ง  แล้วนำมารับประทาน มันเหมือนเป็นขนมหวาน (candy) อร่อยมาก ๆ   หลังจากนั้นภายในเวลาไม่กี่เดือน ผมก็พบว่าอาการปวดหัวของผมลดลง  ซึ่งผมไม่เคยทราบมาก่อนถึงวิธีกำจัดอาการไมเกรนเหมือนดังเช่นที่ทำอยู่ในขณะนี้  แต่มันก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผมในกำจัดมันออกไปให้หมดสิ้น

เมื่อผมได้ย้อนกลับไปดูวันเวลาที่ผมต้องประสบกับความทุกข์ทรมานจากอาการไมเกรน  พบก็ต้องขอบคุณต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา ที่ได้มอบสมุนไพรมหัศจรรย์นี้ให้แก่มนุษย์  อาการไมเกรนของผมได้มลายหายสิ้น และนับจนถึงวันนี้เป็นเวลา 15 ปีมาแล้ว ที่ผมไม่เคยมีอาการปวดหัวไมเกรนอีกเลย  และเมื่อผมมีอาการปวดหัวเล็กน้อยครั้งหนึ่งในรอบปี  ผมก็จะใช้ gizhah ระงับอาการดังกล่าว  แล้วก็ยังคงใช้มันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน  ทั้งนี้ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องประสบกับปัญหาเช่นเดิมเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

ผมได้เขียนบทความบทหนึ่งเกี่ยวกับ เรื่องไมเกรน ลงใน Natural News เพื่อที่จะบอกเรื่องราวความรู้สึกดี ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบ  ปรากฏว่าประชาชนเป็นแสนคนได้ tweet บทความของผมใน Twitter (ซึ่งคุณสามารหาอ่านได้ใน http://www.naturalnews.com  ข้อความข้างล่างนี้ คือบทความดังกล่าวที่ได้เราได้หยิบยกมาให้ทุกท่านได้อ่าน ณ ที่นี้

เรื่อง ฮับบาตุซเซาดะฮ์ช่วยผู้ป่วยนับล้านคนหายจากอาการไมเกรน
Nigella Sativa Sends Relief to Millions of Migraine Sufferers
เขียนเมื่อ :Tuesday, August 18, 2009  โดย : Barbi Trejo

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

“ฮับบาตุซเซาดะฮ์” เมล็ดพันธุ์แห่งความสุข ! !

พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกในภาษาอาหรับว่า “ฮับบาตุซเซาดะฮ์” บางทีเรียก “ฮับบะอัลบะร่อกะฮ์” ซึ่งหมายถึงเมล็ดพันธุ์แห่งความสุข และความมีสิริมงคล ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกที่เจ้าเมล็ดสีดำ ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า “Black Seed” จะถูกเรียกว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความสุข   ทั้ง นี้ เพราะคุณสมบัติที่หลากหลายของมันที่มีอยู่ในตัวเมล็ดเล็ก ๆ สีดำนี่เอง เป็นยาวิเศษในการเยียวยาความเจ็บป่วยในการร่างกายได้ทุกโรคอย่างน่า มหัศจรรย์  และแม้แต่ตัวดอกของมันเอง ก็ให้ความเจริญตาเจริญใจ และเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่งดงามจนชวนให้หลงใหลในความงามของมัน โดยเรามักจะเรียก "ดอก" ของมันด้วยชื่อทางหรือเรียกทางวิทยาศาสตร์ Nigella sativa  มันมีสีสันที่สดสวย แลดูนุ่มนวลอ่อนหวาน ชวนให้หลงเสน่ห์ในความงามของมัน ด้วยสีขาว ฟ้าอ่อน ฟ้าคราม ม่วง ชมพูอ่อน และชมพูเข้มออกแดง(พันธุ์เปอร์เซีย) ส่วนพันธุ์ที่มีสีฟ้าคราม หรือ Nigella damascena 'moody blues' & 'cambridge blue' นั้น  พวกเขามักเรียกมันว่า Love-in-a-Mist  “ความรักในสายหมอก”

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การใช้ Thymoquinone ร่วมกับยาเคมีบำบัด ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด

งานวิจัยเรื่อง : การใช้ Thymoquinone ร่วมกับยาเคมีบำบัด ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด : การศึกษาในหลอดทดลองและใน
ร่างกายมนุษย์

[Thymoquinone and cisplatin as a therapeutic combination in lung cancer :
In vitro and in vivo]
Syed H Jafri1,2*, Jonathan Glass1,2, Runhua Shi1,2, Songlin Zhang3, Misty Prince4 and Heather Kleiner-Hancock4
* Corresponding author : Syed H Jafri  sjafri@lsuhsc.edu
Author Affiliations Louisiana State University, Shreveport LA, USA
1. Feist-Weiller Cancer Center, 2. Department of Medicine, 3. Department of Pathology, 4. Department of Pharmacology, Toxicology and Neuroscience

------------------------------
ความเป็นมา :

มะเร็งปอด (Lang Cancer) เป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2008 คาดว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่ 215,020 ราย ในจำนวนนี้จากรายงานทางสถิต คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด จำนวน 161,480 คน ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอด มีอัตรามากกว่าการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็ง
ลำไส้ใหญ่รวมกัน

มะเร็งปอดมี 2 ประเภทที่สำคัญ คือ มะเร็งปอดชนิด non-small (NSCLC) มีประมาณ 85%  และมะเร็งปอดขนาดเล็ก (SCLC) มีประมาณ 15% 

ประมาณ 16% ของผู้ป่วย NSCLC ที่ได้รับการวินิจฉัยในระยะแรกของโรค (early stage) จะรักษาด้วยการผ่าตัดศัลยกรรม และให้การรักษาเสริมด้วยการให้ยาเคมีบำบัด  โดยขั้นตอนดังกล่าวนี้ ได้ถูกนำมาใช้ในการรักษากับผู้ป่วย NSCLC ในระยะที่รุนแรงขึ้น (advanced stages) รวมทั้งในการรักษาผู้ป่วย SCLC

ยาเคมีบำบัดที่นำมาใช้งานมากที่สุดในการรักษาโรค คือ cisplatin (CDDP) ซึ่งจะใช้ในคู่กับยาตัวอื่น เช่น ยา paclitaxel, Gemcitabine และ docetaxel  อัตราการตอบสนองของผู้ป่วย NSCLC จากการใช้ยา CDDP เพียงอย่างเดียวมีประมาณ 20% และหากใช้ร่วมกับยาตัวที่สอง ก็จะช่วยเพิ่มปริมาณการตอบสนองเป็น 26% และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการอนุมัติให้ใช้ยาตัวใหม่ในการรักษาโรคมะเร็งปอด ได้แก่ erlotinib และ bevacizumab  อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม 5 ปี ของการมีชีวิตอยู่รอดจากโรคมะเร็งปอด ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่น่าพึงพอใจ เช่นเดียวกับในอดีตเมื่อ 25 ปี และยังคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดถึง 16%
ภาพมะเร็งปอดและการแพร่กระจายของเนื้อร้าย




เมล็ดยี่หร่าดำ หรือที่รู้จักในชื่อ Nigella sativa (พืชในตระกูลเดียวกับดอกดาวเรือง Ranunculaceae) เป็นพืชล้มลุกที่เติบโตในประเทศที่มีพรมแดนในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน, ปากีสถาน และอินเดีย เมล็ดพันธุ์ของมันได้ถูกนำมาใช้เป็นยาทางธรรมชาติ (natural remedy) มานานกว่า 2,000 ปี เพื่อใช้ในการส่งเสริมสุขภาพและรักษาโรค  คุณสมบัติในการใช้เป็นยาสมุนไพรได้ถูกนำมากล่าวถึง โดยท่านศาสดาแห่งอิสลาม มุฮัมมัด (สันติภาพจงมีแด่ท่าน) ซึ่งท่านได้แนะนำให้ใช้สำหรับรักษาโรคต่าง ๆ

Thymoquinone (TQ) เป็นองค์ประกอบของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยในเมล็ดสีดำ (Black Seed) มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ, ป้องกันอนุมูลอิสระ, และป้องกันมะเร็ง  ทั้งการใช้ในหลอดทดลองและในร่างกาย  TQ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า มันมีคุณสมบัติในการป้องกันเนื้องอก (anti-tumor) โดยเฉพาะกับเซลล์มะเร็งที่มาจากโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่

นอกจากนี้ TQ ยังได้แสดงให้ถึงฤทธิ์ในการต้านเนื้องอก (anti-tomor) โดยนำมาใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด CDDP ในรักษามะเร็ง Ehrlic ascites sarcoma (EAC) โดยไม่มีพิษต่อไตจากการใช้ยาเคมีบำบัด CDDP โดยการทดสอบการใช้กับหนูทั้งสองชนิดและชนิดอื่นๆ  โดยเมื่อให้ TQ ผสมในน้ำดื่มให้แก่หนู จะมีอาการดีขึ้นจากพิษต่อไต ที่มีผลมาจากยาเคมีบำบัด CDDP ทั้งยังปรับปรุงผลการรักษาด้วย CDDP ได้ดีขึ้น

การใช้ TQ ร่วมกับยาเคมีบำบัด ในตัวแทนของกลุ่มเป้​าหมาย เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็ง และอาจช่วยลดผลกระทบจากการรักษาในหลาย ๆ วิธีการ ที่ทำให้เกิดการดื้อยาในเซลล์มะเร็งของมนุษย์ อะตอมแร่ธาตุใน CDDP จะทำการ covalent bonds (แลกเปลี่ยนแร่ธาตุ) ไปยัง N7 ในตำแหน่งของฐาน purine จากหลักที่ 1, 2 - หรือ 1, 3- ลิงค์ภายในตัวเอง และข้ามสายกัน และในที่สุดก็นำไปสู่​​การตายของเซลล์มะเร็ง  นอกจากนี้ยังพบว่า CDDP ก่อให้เกิดการแสดงออกที่เพิ่มขึ้นของ NF-κB และ
ผลที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้การต้านทานต่อผลกระทบในการใช้ยาเคมี CDDP เพิ่มขึ้น

NF-κB เป็นตัวที่ควบคุมการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยเพิ่มการแสดงออกของ cyclin D1 ซึ่งย้ายเซลล์จาก G1 ไปยัง S เฟส  มีรายงานว่า TQ มีฤทธิ์ในการปราบปรามปัจจัยที่ทำให้เกิดเนื้องอกหรือเนื้อร้าย (TNF) เหนี่ยวนำให้เกิดการแสดงออก NF-κB ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (KBM-5) ซึ่งเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมเซลล์มะเร็งถึงเกิดขบวนการตายลง (apoptosis)

ดังนั้น ในการศึกษาครั้งนี้เราจึงได้นำ TQ มาใช้ร่วมกับ CDDP ซึ่งเป็นยาเคมีบำบัดที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อ DNA โดยตั้งสมมุติฐานว่า การทำงานร่วมกันระหว่าง TQ และ CDPP จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CDDP และการเอาชนะต่อการต้านทานของเคมีบำบัดจาก CDDP โดยการหยุดยั้งผลกระทบดังกล่าว มีผลต่อการขยายโครงข่ายเส้นเลือดในเนื้องอก (angiogenesis) และการแพร่กระจายของเนื้อร้าย

วิธีการวิจัย :

การวิจัยครั้งนี้ เราใช้โมเดลของหนู (Mouse xenograft model) เป็นตัวทดสอบ เพื่อดูปฏิกิริยาที่อาจจะเกิดขึ้นกับร่างกายของมนุษย์ จากการใช้ Thymoquinone เป็นยาร่วมในการรักษาโรคมะเร็งปอด

ผลลัพธ์ :

Thymoquinone (TQ) สามารถที่จะยับยั้งการเพิ่มจำนวนเซลล์มะเร็ง, ลดความมีชีวิตของเซลล์มะเร็ง, และเหนี่ยวนำให้เกิดขบวนตายลงของเซลล์ (apoptosis) การใช้ TQ ในขนาด 100 ไมโครโมลาร์และ CDDP ที่ 5 ไมโครโมลาร์ ช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็งได้เกือบ 90% แสดงให้เห็นถึงผลของการทำงานร่วมกัน  โดย TQ ก็สามารถที่จะเหนี่ยวนำให้เกิด apoptosis ในเซลล์ NCI-H460 และ H146-NCI ที่ใช้ในแบบจำลองของหนู  เราสามารถที่จะแสดงให้เห็นว่า การทำงานร่วมกันของ TQ และ CDDP ทำให้ร่างกายสามารถต้านฤทธิ์ของยาเคมีได้  และช่วยให้ขนาดและน้ำหนักของเนื้องอกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีพิษ (toxicity) เพิ่มขึ้น ในโมเดลของหนูทดลอง ขนาดของการใช้ TQ (TQ5 mg / kg / Cis 2.5 mg / kg) ปริมาณเนื้องอกลดลง 59% และขนาด (TQ20 mg / kg / Cis 2.5 mg / kg)
ลดลง 79% เมื่อเปรียบเทียบกับการควบคุมในหลอดทดลอง ซึ่งข้อมูลสอดคล้องกัน  

สรุปผลการวิจัย :

ผลการวิจัยสรุปว่า thymoquinone มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของโครงข่ายเส้นเลือดในเนื้องอก (tumor angiogenesis) รวมทั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก และสามารถนำไปใช้เป็นยาที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็ง และในอนาคตควรได้รับการพัฒนาเพื่อใช้กับมนุษย์ ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่การรักษาโรคมะเร็งปอดเท่านั้น แต่รวมทั้งประเภทอื่น ๆ ของเนื้องอกด้วยเช่นกัน

Creative Commons License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution 2.0 Generic License.

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Thymoquinone สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮฺ ฆ่าเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่

งานวิจัยเรื่อง : Thymoquinone สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮฺ (Black Seed) ทำให้เกิดขบวนการตายลงของเซลล์ ในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ของมนุษย์
[Thymoquinone extracted from black seed triggers apoptotic cell death in human colorectal cancer cells via a p53-dependent mechanism.]

โดย Gali-Muhtasib H, Diab-Assaf M, Boltze C, Al-Hmaira J, Hartig R, Roessner A, Schneider-Stock R.
ที่มา :  Department of Biology, American University of Beirut, Beirut, Lebanon.
          วารสาร Int J Oncol, 25 Oct 2004; 25 (4) : 857-66

****************

บทคัดย่อ :

นับเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว ที่ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) พืชสมุนไพรที่มีเมล็ดสีดำและน้ำมันของมัน ได้ถูกนำมาใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อการส่งเสริมสุขภาพและต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ สารสกัด Thymoquinone (TQ) เป็น
องค์ประกอบของสารอาหารที่สมบูรณ์ที่สุดในเมล็ดสีดำ (Black Seed) และเป็นตัวแทนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีแนวโน้มในการนำมาบริโภค เพื่อป้องกันการพัฒนาของมะเร็ง (chemopreventive)

จากการตรวจสอบผลกระทบของการใช้
thymoquinone (TQ) กับ HCT-116 เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ เพื่อที่จะระบุกลไกที่มีศักยภาพในระดับโมเลกุลของการกระทำดังกล่าว เราพบว่า TQ มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

ลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีความสัมพันธ์วงจรชีวิตของเซลล์ในเฟส G1 (ด่านแรก) นอกจากนี้การย้อมสีและการวิเคราะห์ ทางชีวเคมีของเซลล์พบว่า TQ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดขบวนการตายของเซลล์ (apoptosis) ในปริมาณ (dose) และเวลาที่มีการควบคุม

การเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์ (apoptosis) โดย TQ มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นและลดลง 2.5-4.5 เท่าของ mRNA ใน p53 (โปรตีน 53 เป็นปราการด่านแรกที่จะตอบสนองต่อผลกระทบหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลล์) และ p21WAF1  พร้อมกันนี้เราก็พบการเพิ่มขึ้นของ p53 และ p21WAF1 ในระดับโปรตีน แต่มีนัยสำคัญในการยับยั้งต่อการต่อต้านขบวนการตายของเซลล์มะเร็งในเม็ดเลือดขาว (anti-apoptotic Bcl-2 protein)

การร่วมฟักตัวของ pifithrin-alpha (PFT-alpha), การยับยั้ง p53, การกลับคืนของเซลล์มะเร็งในเม็ดเลือดขาว (Bcl-2), ระดับของ p53 และ p21WAF1 ที่ได้รับการบำบัดและปราบปรามโดย TQ ทำให้เกิดวงจรการตายลงของเซลล์ ถึงแม้ว่าเซลล์โปรตีนp53-null HCT-116 มีผลกระทบน้อยต่อการทำงานของ TQ ในขบวนการที่ทำให้เกิดการตายของเซลล์
แต่ผลลัพธ์เหล่านี้บ่งชี้ว่า Thymoquinone (TQ) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการพัฒนาการของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยเพิ่มขบวนการตายลง (Pro-apoptotic) ของเซลล์มะเร็ง (HCT116)  โดยประสิทธิผลของ TQ ในการเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็งนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของเซลล์มะเร็งในเม็ดเลือดขาว (Bcl-2) และโปรตีน (p53)  ข้อมูลของเราจึงสนับสนุนศักยภาพในการนำ Thymoquinone (TQ) ไปใช้เป็นตัวแทนในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่

------------------------
Source : http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15375533

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นมาในประวัติศาสตร์ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed)

เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว ในตะวันออกกลาง ได้มีการนำเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ไปใช้เป็นยารักษาโรค เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร ระบบทางเดินหายใจ ความผิดปกติของประจำเดือน และใช้ในการป้องกันโรค เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ชนเผ่าพื้นเมืองในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ได้ใช้เมล็ดสีดำ (Black Seed) เป็นยา ทั้งผู้ที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ทั้งในด้านสุขภาพและความงาม ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ มีดังนี้ :-
1.  ในอียิปต์โบราณ (1341-1323 BC) พระนางคลีโอพัตรา และพระราชินี Nefertiti ได้ใช้น้ำมันเมล็ดสีดำ เพื่อสุขภาพและความงาม และงานวิจัยรายงานว่า ได้พบขวดของน้ำมันในหลุมฝังพระศพของฟาโรห์ Tutankhamen โดยพวกเขาคาดหวังว่า ฟาโรห์จะได้ใช้ประโยชน์ในด้านสุขภาพในชีวิตหลังความตาย  

2.  คัมภีร์ไบเบิ้ล (740-690 BC) ได้กล่าวถึงวิธีการหว่านเมล็ดพันธุ์ฮับบาตุซเซาดะฮ์และการนวดมัน เพื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสมของขนมปัง ซึ่งไม่ต่างไปจากการกล่าวถึงข้าวสาลี ข้าวบารเลย์ และไรย์ (บันทึกไว้ในหนังสือของอิสยาห์ / Isaiah 28:25-27) 


3.  ยุคกรีกโบราณ :
§  Hippocrates (460-370 BC) แพทย์กรีกโบราณ ซึ่งได้รับการยอมรับว่า เป็นบิดาของแพทย์แผนปัจจุบัน ระบุว่าเมล็ดสีดำ เป็นยารักษาโรคตับและโรคทางเดินอาหาร
§  Dioscorides (30-90 AD) แพทย์ที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 1 ได้ใช้เมล็ดสีดำในการรักษาโรคที่หลากหลาย เช่น พยาธิในลำไส้, ปวดฟัน, ปวดหัว, โรคทางเดินหายใจ, ความผิดปกติของรอบเดือน (amenorrhea หรือไม่มีประจำเดือนเมื่อถึงวัยอันควร)  

4.  ในเปอร์เซีย  Ibn Sina (980-1037 AD) ซึ่งเป็นนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง 
ได้เขียนไว้ในหนังสือ “The Cannon of Medicine” (หนังสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การแพทย์โบราณ) โดยกล่าวถึง ฮับบะตุซเซาดะฮ์ ว่า "มันเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นพลังงานของร่างกาย และช่วยกู้คืนความเมื่อยล้าและความอ่อนเปลี้ยทางจิตใจ ให้กลับคืนมาได้"


ภายในวัฒนธรรมอิสลาม ชาวอาหรับได้ใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ได้แก่ ไข้, หอบหืด, ปวดหัวเรื้อรัง, โรคเบาหวาน, ระบบย่อยอาหาร, ปวดหลัง, การติดเชื้อ และโรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ

นอกจากนี้ ฮับบาตุซเซาดะฮ์ได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหาร รสขมของมันถูกใช้แทนพริกไทยและเครื่องเทศ ในการปรุงอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อแกะและผัก น้ำมันของมันมีส่วนช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร และช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหาร



"ฮับบาตุซเซาดะฮฺ" สมุนไพรที่บำบัดทุกโรค


“ฮับบาตุซเซาดะฮฺ” เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Nigella sativa ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Fennel Flower  ดอกของมันมี 2 สี คือ พันธุ์ที่มีสีฟ้าอมม่วง และสีขาว เป็นดอกไม้ในสายตระกูลเดียวกับดอกดาวเรือง ผลของมันจะเป็นกระเปาะหรือฝักคล้าย ๆ ถั่ว ซึ่งภายในห่อหุ้มไว้ด้วยเมล็ดพันธุ์สีดำ จึงนิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า  Black Cumin Seed, Black Seed หรือที่คนไทยเรียกว่า "ยี่หร่าดำ" นั่นเอง  ในภาษาอาหรับมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า  حبهالبركة habbatal-barakah  หรือ "เมล็ดพันธุ์แห่งความสุข" 

ฮับบาตุซเซาดะฮฺ จึงเป็นสมุนไพรหรือเครื่องเทศที่รู้จักกันมาช้านานนับเป็นหลายพันปีมาแล้ว มักนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศอินเดีย, ปากีสถาน และตะวันออกกลาง เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ  จึงนับเป็นพืชสมุนไพร ที่ได้รับการพัฒนาในระดับต้นของศาสนาอิสลาม โดยได้มีฮะดีษรายงานจาก
อบูฮุรอยเราะฮฺ กล่าวว่า แท้จริง ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า :-

إِنَّ فِى الْحَبَّةِ السَّوْدَاءِ شِفَاءً مِنْ كُلِّ دَاءٍ إِلاَّ السَّامَ

In the black seed is healing for every disease except death.
"แท้จริง ในเมล็ดฮับบะตุซเซาดะฮฺนั้น เป็นยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย" 
(ซอเฮี๊ยะบุคอรีย์ 5688, ซอเฮี๊ยะมุสลิม 2215)