แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ thymoquinone แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ thymoquinone แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือน้ำมันเทียนดำ คืออะไร?

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) เป็นน้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์  คำว่า “ฮับบาตุซเซาดะฮ์” ความจริงแล้วเป็นชื่อเรียกในภาษาอาหรับ  ดังนั้น ชาวไทยมุสลิมจึงนิยมเรียกสมุนไพรตัวนี้ทับศัพท์ตามภาษาอาหรับนั่นเอง 
ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Nigella sativa
ส่วนชื่อสามัญที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในภาษาอังกฤษ คือ Black Seed หรือ Black Cumin
นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกตามภูมิภาคหรือท้องถิ่น  เช่น อินเดีย ปากีสถาน  : “Kalonji” อินโดนีเซีย  : “Jintan Hitam”
ประเทศไทย เรียกฮับบาตุซเซาดะฮ์ ว่า ยี่หร่าดำ หรือ เทียนดำ
ตามตำราแพทย์แผนไทย หรือเภสัชกรรมไทย ได้อธิบายถึงคุณลักษณะภายนอกของของเทียนดำ (ฮับบาตุซเซาดะฮ์) เครื่องยาตัวนี้ไว้ดังนี้ : มีเมล็ดรูปสามเหลี่ยมถึงห้าเหลี่ยม ผิวภายนอกสีดำ เนื้อในสีขาว  เมล็ดที่แก่แห้งจะมีสีดำสนิท  มีกลิ่นเล็กน้อย หากใช้มือถูที่เมล็ดหรือนำเมล็ดไปบด จะได้กลิ่นหอมฉุน  และมีรสชาติขม เผ็ด ร้อน คล้ายเครื่องเทศ

สรรพคุณของเทียนดำ (ฮับบาตุซเซาดะฮ์)
ตำรายาไทย : ขับเสมหะให้ลงสู่คูทวาร ขับลมในลำไส้ ช่วยย่อย แก้ท้องอืด เฟ้อ แก้อาเจียน บำรุงโลหิต  ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ ขับระดู บีบมดลูก แก้โรคลม ขับพยาธิ
ตำรายาไทยแผนโบราณ : มีการใช้เมล็ดเทียนดำ ใน “พิกัดตรีรัตตะกุลา (ตรีสัตกุลา)คือ การจำกัดตัวยาอันสามารถ 3 อย่าง ได้แก่ เหง้าขิงสด, ผลผักชีลา และเทียนดำ โดยใช้อย่างละเท่า ๆ กัน ในการบำรุงธาตุไฟ ขับลมในลำไส้ แก้อาการธาตุ
นอกจากนี้ บัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม  ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ปรากฏว่า มีการใช้เมล็ดเทียนดำ ในยารักษาอาการโรคในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย รวม 5 ตำรับ ดังนี้
1.      ยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิต (แก้ลม) ปรากฏตำรับยาหอมเทพจิตรและตำรับ ยาหอมนวโกฐมีส่วนประกอบของเทียนดำ อยู่ในพิกัดเทียนทั้ง 9 ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ มีสรรพคุณในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน แก้ลมจุกแน่นในท้อง
2.      ยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ปรากฏตำรับ ยาธาตุบรรจบมีส่วนประกอบของเทียนดำ ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ อาการอุจจาระธาตุพิการ ท้องเสียชนิดที่ไม่เกิดจากการติดเชื้อ และตำรับ ยาประสะกานพลูมีส่วนประกอบของเทียนดำ และเทียนขาว ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย เนื่องจากธาตุไม่ปกติ
3.      ยารักษากลุ่มอาการทางสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ปรากฏตำรับ ยาประสะไพลมีส่วนประกอบของเทียนดำ ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในตำรับ ใช้ในสตรีที่ระดูมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาน้อยกว่าปกติ

นอกจากนี้ ยังมีการนำมาใช้ในเครื่องยาไทย ที่เรียกว่า พิกัดเทียน  โดยเทียนดำถูกนำมาจัดอยู่ใน พิกัดเทียนทั้ง 5ได้แก่ เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก และเทียนตาตั๊กแตน
พิกัดเทียนทั้ง 7” (มีเทียนเยาวพาณี และเทียนสัตตบุษย์ เพิ่มเข้ามา)
พิกัดเทียนทั้ง 9” (มีเทียนตากบ และเทียนเกล็ดหอย เพิ่มเข้ามา)
สรรพคุณโดยรวมของยาที่ใช้ในพิกัดเทียน คือ ช่วยขับลม แก้อาเจียน บำรุงโลหิต และใช้ในตำรับยาหอม
รูปแบบและวิธีการใช้เทียนดำตามตำรับยาไทย : มักจะใช้เป็นยาผง หรือสามารถใช้เมล็ด 1 ช้อนชา ชงน้ำร้อนดื่มเป็นชา
องค์ประกอบทางเคมีของเทียนดำ :
           น้ำมันระเหยยาก (fixed oil) เช่น linoleic acid, oleic acid, palmitic acid ประมาณ 30%
           น้ำมันระเหยง่าย (volatile oil) ประมาณ 0.5-1.5% โดยมีองค์ประกอบหลักของน้ำมันระเหยง่ายเป็นอนุพันธ์ของควิโนน คือ thymoquinone คิดเป็น 54% ของน้ำมันระเหยง่ายที่พบทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบ p-cymene, dithymoquinone, thymohydroquinone, thymol, trans-anethole,  limonene, carvone, carvacrol, 4-terpineol
           สารอัลคาลอยด์ เช่น nigellidine, nigellimine, nigellicine   
           สารซาโปนิน  เช่น  alpha-hederin
**เจ้าองค์ประกอบทางเคมีเหล่านี้แหละ ที่ให้สรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคมากมาย ซึ่งมีผลงานวิจัยยืนยันมากมายหลายร้อยผลงาน และหลากหลายประเทศ ใครที่ติดตามอ่านบทความในเว็บบล็อกแห่งนี้คงทราบเป็นอย่างดีถึงสรรพคุณอันน่ามหัศจรรย์ของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ J
การศึกษาทางเภสัชวิทยา พบว่า มีการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือน้ำมันเทียนดำ เพื่อรักษาโรคในกลุ่มอาการในระบบทางดินหายใจ, ระบบหัวใจและหลอดเลือด, ระบบทางเดินอาหาร  นอกจากนี้ยังใช้เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านจุลชีพ, ฆ่าพยาธิ, ต้านเชื้อไวรัส, ต้านการอักเสบ, ต้านมะเร็ง, ยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (ต้านอนุมูลอิสระ), ออกฤทธิ์ปกป้องตับ และไต, ยับยั้งอาการปวด, ยับยั้งการอักเสบ, ยับยั้งแบคทีเรียที่ก่อโรคจากอาหารเป็นพิษ และแผลติดเชื้อ
[ ขอขอบคุณข้อมูลเรื่อง “เทียนดำ” จาก Thaicrudedrug.com ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ]

ข้อสังเกต :
1-      ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ถ้ารับประทานเป็นยาไทยที่ปรุงเป็นตำรับต่าง ๆ เพื่อรักษาโรคในกลุ่มอาการต่าง ๆ นั้น เรามักจะกินแก้อาการเหล่านั้น เฉพาะเวลาที่เกิดอาการ และตามขนาดที่เภสัชกรไทยได้กำหนดไว้ ไม่ได้นำมากินต่อเนื่องเป็นประจำ เนื่องจากในตำรับยาไทย จะไม่ใช้สมุนไพรตัวเดียวเดี่ยวเพื่อบำบัดรักษาโรค แต่จะใช้สมุนไพรหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ต่างกัน และช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันในการรักษากลุ่มอาการที่ต้องการ  ดังนั้น จึงไม่สามารถรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
2-      การรับประทานเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือเทียนดำ เป็นอาหารอาจแยกได้ 2 กรณี คือ
(1)    ใช้ใส่เป็นเครื่องปรุงรส เช่นเดียวกับเครื่องเทศสมุนไพรทั่วไป เช่นเครื่องแกงต่าง ๆ ที่เป็นอาหารในแถบตะวันออกกลาง หรือใส่ขนมหวาน ขนมปัง เพื่อตัดความเลี่ยนและความหวานของขนม  ในกรณีนี้เราสามารถรับประทานได้บ่อยครั้ง เนื่องจากปริมาณที่ใส่อาหารแต่ละชนิดนั้น เล็กน้อยมาก จนไม่อาจทำให้เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียงใด ๆ

(2)    “น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ / น้ำมันเทียนดำ” รับประทานในรูปและการทานวิตามินของอาหารเสริมสุขภาพ ปริมาณที่ผู้ผลิตแต่ละรายกำหนดให้ทานนั้น คือ ครั้งละ 1 ช้อนชา หรือช้อนโต๊ะ หรือหากบรรจุแคปซูล 500 มก. ครั้งละ 2-3 แคปซูล ถือว่าเป็นปริมาณที่น้อย ไม่ส่งผลกระทบหรือผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใด ๆ (ยกเว้น : ผู้ที่ตั้งครรภ์อ่อน ๆ ไม่ควรทานเพราะจะบีบมดลูก อาจทำให้แท้งได้  แต่ทว่าหญิงท้องแก่ใกล้คลอด หากรับประทานจะช่วยให้คลอดลูกได้ง่ายขึ้น)  อย่างไรก็ดี ปริมาณการใช้ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสุขภาพและโรคประจำตัวของแต่ละคน และวัยแต่แตกต่างกัน เช่น ในเด็กเล็ก ๆ หรือคนชรา หรือผู้ป่วยเรื้อรังที่มีอาการหนัก จึงเริ่มในปริมาณที่เล็กน้อยถึงระดับปานกลางก่อน แล้วค่อย ๆ ปรับเพิ่มขนาดรับประทานจนรู้สึกว่า เป็นขนาดที่เหมาะสมกับร่างกายและโรคของตนเอง รู้สึกสดชื่นแข็งแรงและสบายตัวค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สูตรพอกหน้าใสด้วยโยเกิร์ตและ Black Seed Oil


วันนี้มีเคล็ดลับความงามมาฝากคุณสาว ๆ ที่รักความงามทุกท่านค่ะ

สูตรพอกหน้าสองพลัง สวยใส ไร้สิวฝ้า 
ด้วยโยเกิร์ต และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์
Double Plus Face Mask with Yogurt & Black Seed Oil

โยเกิร์ต (yogurt) นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเราแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อผิวหน้าของเราอีกด้วยค่ะ  เนื่องจากในโยเกิร์ตประกอบด้วยนมสด ซึ่งมีวิตามินที่ช่วยประทินผิวให้ผุดผ่อง เนียนนุ่ม เกลี้ยงเกลา ไม่แห้งกร้าน อีกทั้งแลคโตบาซิลลัส (แบคทีเรียสุขภาพ) ช่วยขจัดแบคทีเรียที่เป็นอันตราย เชื้อรา และเชื้อโรคต่าง ๆ

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil  มีองค์ประกอบของสารอาหารและวิตามินมากมาย เช่น วิตามิน B2 วิตามิน B3 เบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ, ต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants), ลดเลือนริ้วรอย (anti-aging), ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดด ป้องกันมะเร็งผิวหนัง  นอกจากนี้ สารพฤษเคมีที่อยู่ใน black seed oil ที่มีชื่อว่า Thymoquinone ยังมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา เช่น candida (ที่ทำให้ผิวเป็นด่างขาว) และเชื้อโรคต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน..  คุณจึงสามารถสวยใสจากภายในได้ ด้วยการรับประทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นประจำทุกวัน  และถ้าใครใจร้อนอยากใช้ทางด่วนหรือตัวช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสเร็วขึ้น  ก็สามารถใช้ดูแลผิวจากภายนอกได้เช่นกันค่ะ  

การพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตและน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) จะช่วยชำระล้างเอาสิ่งสกปรก และมลพิษออกจากรูขุมขนของผิวเรา ช่วยลดความมัน กระชับรูขุมขน อีกทั้งน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ black seed oil จะช่วยผ่อนคลายเซลล์ผิว และในระหว่างที่เราพอกหน้า สารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์จะซึมซับลงสู่ผิวหน้าของเรา เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวหน้าสดชื่น นุ่มนวล อ่อนเยาว์ หน้าใสเป็นธรรมชาติ ยิ่งใครมีปัญหาสิวตุ่มเล็ก ๆ หรือสิวผด ก็ช่วยได้มาก ให้ทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือทำทุกวันได้ก็จะยิ่งดีค่ะ


 วิธีพอกหน้าสูตรสองพลัง
  1. โยเกิร์ตรสจืด (แบบ low fat น่าจะดีที่สุด) ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะค่ะ ไม่ต้องถึงขนาดใช้จนหมดกระปุก ส่วนที่เหลือรับประทานเข้าปากเข้าท้องเลยค่ะมีประโยชน์มาก ๆ
  2. น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil ประมาณ 1 ช้อนชา  (ถ้าเป็นของ KAMIL ให้ใช้ 1 แคปซูล ก็พอค่ะ ใช้มากก็จะเปลือง)
  3. ถ้าใครผิวแห้ง หรือผิวผสม มีน้ำผึ้งอยู่จะนำมาใส่ด้วยสักนิดหน่อย ประมาณครึ่งช้อนชาก็ได้ค่ะ
  4. นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในถ้วย คนให้เข้ากันจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกที่ใบหน้าค่ะ ก่อนพอกหน้าให้ล้างทำความสะอาดผิวหน้าให้เรียบร้อยซะก่อนนะคะ (สัดส่วนของส่วนผสมในข้อ 1-3 หลังจากลองทำดูแล้ว สามารถปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มได้ตามความเหมาะสม และความชอบส่วนบุคคลค่ะ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว)
  5. ให้พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที (ระหว่างรอจะเล่น facebook ก็ได้นะคะ หรือจะพักสายตางีบหลับสักครู่หนึ่ง แต่อย่าเผลอลืมล้างหน้ากันล่ะ) หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำอุ่น (ถ้าล้างด้วยน้ำอุ่นให้ตามด้วยน้ำเย็นปิดท้ายอีกครั้งนะคะ เพื่อปิดรูขุมขน)
  6. ล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมทาครีมบำรุงผิวตามปกตินะคะ

ถ้าคุณสาวๆ ขยันทำบ่อยๆ รับรองผิวหน้าจะนุ่มนวล น่าสัมผัส ใสกิ๊ก ไร้สิวฝ้า เหมือนไปทำเบบี้เฟส มาเลยล่ะ... จุ๊ๆ.. ระวังจะมีคนแอบมาถามว่า “ทำไมสวยจัง..ไปทำอะไรมาจ๊ะ?”

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555


โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis)

จากการศึกษาพบว่า ประมาณ 10% ของประชากร ซึ่งไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ทั่วโลกเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ในประเทศไทยมีประชากรประมาณ 60 ล้านคน ป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม 6 ล้านคน (เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย) มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า

โรคข้อเข่าเสื่อม ปวดเข่า เป็นโรคที่มาจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนที่หุ้มปลายกระดูกถูกทำลายมากขึ้น (เนื่องจากสูงอายุ มักพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป) ในขณะที่การสร้างทดแทนลดลง ทำให้กระดูกอ่อนที่หุ้มข้อเป็นแผลและไม่เรียบ จนทำให้เนื้อกระดูกที่อยู่ด้านล่างขัดสีกันเมื่อมีการเคลื่อนไหว เกิดการอักเสบ ปวด บวมที่บริเวณข้อ ทำให้ความสามารถในการเคลื่อนไหว ยืน เดิน หรือนั่งลดลง

อาการแสดงออกของโรคข้อเข่าเสื่อม อาจพบอาการเพียงอาการเดียว หรือหลายอาการพร้อมกันก็ได้ ในระยะแรกมักจะเป็นไม่มาก และเป็น ๆ หาย ๆ แต่เมื่อข้อเสื่อมมากขึ้น ก็จะมีอาการบ่อยมากขึ้น หรือเป็นตลอดเวลา 
  • ปวดข้อเข่า รู้สึกเมื่อย ตึงที่ ต้นขา น่อง และข้อพับเข่า ผิวหนังบริเวณข้ออุ่นหรือร้อนขึ้น
  • ข้อขัด ข้อฝืด เหยียด-งอเข่าได้ไม่สุด มีเสียงดังในข้อเวลาขยับข้อเข่า จากการเสียดสีกันของผิวข้อที่ไม่เรียบ
  • ข้อเข่าบวม เพราะน้ำไขข้อมากขึ้นจากการอักเสบ หรือ มีก้อนถุงน้ำในข้อพับเข่าจากเยื่อบุข้อเข่าโป่งออก
  • เข่าคดเข้า เข่าโก่งออก หรือมีกระดูกงอก ทำให้ข้อผิดรูปร่าง กล้ามเนื้อรอบข้อลีบเล็กลง 

การรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
  • กายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ 
  • ยาบรรเทาอาการ ยาคลายกล้ามเนื้อ (การใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ไตวาย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น)
  • ยากระตุ้นการสร้างกระดูกอ่อนผิวข้อ (ปกติกระดูกอ่อนผิวข้อจะไม่สร้างขึ้นใหม่) หรือยาชะลอความเสื่อม
  •  ฉีดน้ำไขข้อเทียม ซึ่งจะช่วยให้อาการดีขึ้นเฉลี่ย 6 เดือน 1 ปี แต่มีราคาค่อนข้างสูง (13,000-16,000 บาท)
  • การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ หรือเจาะข้อเพื่อดูดน้ำไขข้อออก จะทำให้อาการปวดดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อผ่านไป 1-2 เดือน ก็จะกลับมาเป็นอีก และมีผลข้างเคียง เช่น กระดูกอ่อนผิวข้อบางลง ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น กระดูกพรุน กล้ามเนื้อลีบ หรือติดเชื้อในข้อ จึงถือว่าเป็นเพียงแค่บรรเทาอาการชั่วคราวเท่านั้น
  • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม หรือผ่าตัดจัดแนวกระดูกใหม่เพื่อลดเข่าโก่ง (และนี่คือหนทางสุดท้ายในการแพทย์แผนปัจจุบัน) 

 ข้อแนะนำในการดูแลรักษาด้วยตนเอง
  1. ลดน้ำหนัก เพราะเมื่อเดินจะมีแรงกดลงที่เข่าประมาณ 5 เท่าของน้ำหนักตัว แต่ถ้าวิ่งจะมีแรงกดลงที่เข่า เพิ่มขึ้นเป็น 7 10 เท่าของน้ำหนักตัว ( การถีบจักรยาน เข่าจะรับแรงกดเพียง 1.5 เท่าของน้ำหนักตัวเท่านั้น )
  2. ท่านั่ง ควรนั่งบนเก้าอี้สูงระดับเข่า ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาแล้วฝ่าเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี
  3. ไม่ควร นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งคุกเข่า นั่งยอง ๆ หรือ นั่งราบบนพื้น เพราะจะทำให้ผิวข้อเข่าเสื่อมเร็วมากขึ้น
  4. เข้าห้องน้ำ ควรนั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก ไม่ควรนั่งยอง ๆ เพราะผิวข้อเข่าเสียดสีกันมาก และเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขาถูกกดทับ ทำให้เลือดไปเลี้ยงขาได้ไม่ดี
  5. นอนบนเตียง ซึ่งมีความสูงระดับเข่า เมื่อนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงแล้วฝ่าเท้าจะแตะพื้นพอดี ไม่ควรนอนราบบนพื้นเพราะต้องงอเข่าเวลาจะนอนหรือจะลุกขึ้น ทำให้ผิวข้อเสียดสีกันมากขึ้น ข้อก็จะเสื่อมเร็วขึ้น
  6. หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได ขณะขึ้นลงบันได จะมีแรงกดที่เข่าประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตัว
  7. หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งในท่าเดียวนาน ๆ ถ้าจำเป็นก็ให้ขยับเปลี่ยนท่า หรือ เหยียด-งอข้อเข่า บ่อย ๆ
  8. การยืน ควรยืนตรง ขากางออกเล็กน้อย ให้น้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน ไม่ควร ยืนเอียงลงน้ำหนักตัวบนขาข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะทำให้เข่าที่รับน้ำหนักมากกว่าเกิดอาการปวด
  9. การเดิน ควรเดินบนพื้นราบ ไม่ควรเดินบนพื้นที่ไม่เสมอกัน เช่น บันได ทางลาดเอียงที่ชันมาก หรือ ทางเดินที่ขรุขระ เพราะทำให้น้ำหนักตัวที่ลงไปที่เข่าเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่าย
  10. ควรใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย (สูงไม่เกิน 1 นิ้ว) หรือไม่มีส้นรองเท้า พื้นรองเท้านุ่มพอสมควร และมีขนาดกระชับพอดี
  11. ใช้ไม้เท้า โดยเฉพาะผู้ที่ปวดมากหรือข้อเข่าโก่งผิดรูป เพื่อช่วยรับน้ำหนัก และ ช่วยพยุงตัวเมื่อจะล้ม
  12. บริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าให้แข็งแรง ซึ่งจะช่วยลดอาการปวด ทำให้ข้อเคลื่อนไหวและการทรงตัวดีขึ้น
  13. การออกกำลังกายวิธีอื่น ควรออกกำลังกายที่ไม่ต้องลงน้ำหนักมากนัก เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เดินเร็ว ๆ วิ่งเหยาะ ๆ เป็นต้น ไม่ควรออกกำลังกายที่ต้องมีการลงน้ำหนักที่เข่าเพิ่มขึ้น เช่น วิ่งเร็ว ๆ เต้นแอโรบิก ฟุตบอล เทนนิส เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบข้อเข่าเกิดการฉีกขาดได้และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้
  14. ถ้ามีอาการปวด ให้พักการใช้ข้อเข่า และประคบด้วยความเย็น/ความร้อน หรือใช้ยานวดร่วมด้วยก็ได้ (น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil สามารถใช้ทาภายนอก เพื่ออาการอักเสบของข้อเข่า และการปวดเมื่อกล้ามเนื้อได้ ดีมาก ๆ)

 ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้
จุดมุ่งหมายในการรักษาทุกวิธีคือ เพื่อลดอาการปวด ทำให้ข้อเคลื่อนไหวดีขึ้น ป้องกันหรือแก้ไขข้อที่ผิดรูป เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามสมควร จึงถือว่าแนวทางรักษาข้างต้นเป็นเพียงการรักษาปลายเหตุ เพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น และยังมีข้อจำกัดในการรักษาอีกด้วย เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะสามารถใช้งานได้ใกล้เคียงกับธรรมชาติ และบรรเทาอาการปวดได้ดี แต่ก็มีอายุใช้งานได้นานแค่ 10 -15 ปี เป็นต้น

(( ความคิดเห็นจาก KAMIL HABBATUSSAUDA ))
จากบทความข้างต้นคงพอที่จะทำให้เราเห็นว่า “การดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้ เนื่องจากการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน มิอาจช่วยท่านให้หายจากการเจ็บปวดได้สักเพียงใด อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายสูงและมีผลกระทบข้างเคียงมากมายตามมา”

การเลือกบริโภคอาหารที่มีคุณค่า เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยดูแลและปกป้องร่างกายให้ห่างไกลจากโรค อาหารที่แนะนำสำหรับผู้มีโรคข้ออักเสบ ได้แก่ โปรตีนจากถั่วเหลือง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ผลไม้และผักใบเขียว นอกจากนี้ขิงก็พบว่า มีสารช่วยลดการอับเสบได้ และอาหารที่ให้โอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นแก่ร่างกาย ซึ่งพบว่ามีมากในปลาทะเลน้ำลึกนั้น มีคุณสมบัติในการยับยั้งการอักเสบของข้อกระดูกด้วยเช่นกัน

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil บำบัดรักษาอาการข้ออักเสบได้
องค์ประกอบของสารพฤกษเคมีกว่า 100 ชนิดใน Black Seed Oil รักษาโรคข้ออักเสบ ที่สำคัญได้แก่ โอเมก้า 3, โอเมก้า 6, แคลเซี่ยม, ฟอสฟอรัส, โปตัสเซี่ยม และสุดยอดของสารอาหารใน Black Seed Oil ก็คือ สารสกัด Thymoquinone ที่ช่วยต่อต้านการอักเสบ และลดอาการปวดได้เป็นอย่างดี  โดยที่เราไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวด หรือแก้อักเสบ ให้มาทำร้ายตับ ไตที่เป็นอวัยะสำคัญของร่างกาย  และด้วยเหตุนี้เอง ฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil จึงได้เป็นยาสามัญประจำบ้านที่ช่วยลดไข้ และแก้ปวด มานับเป็นเวลากว่า 3,000 ปี  โดยเฉพาะในวัฒนธรรมอิสลาม ชาวอาหรับได้ใช้ฮับบาตุซเซาดะฮฺ เพื่อรักษาโรคต่างๆ ได้แก่ ไข้, หอบหืด, ปวดหัวเรื้อรัง, โรคเบาหวาน, ระบบย่อยอาหาร, ปวดหลัง, การติดเชื้อ และโรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ (ตามที่ KAMIL HUBBATUSSAUDA ได้เคยนำเสนอมาแล้วในเรื่องความเป็นมาทางประวัติศาสตร์)

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

การป้องกับโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed)


Antidiabetic Properties of a Spice Plant Nigella sativa
โดย : Murli L. Mathur*, b, Jyoti Gaur, Ruchika Sharma, Kripa Ram Haldiya
         Desert Medicine Research Center (Indian Council of Medical Research), India
From : Journal of Endocrinology and Metabolism, Vol. 1, No. 1, Apr 2011
-------------------------------
บทคัดย่อ (Abstract) :
เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ Nigella sativa (ยี่หร่าดำ/Kalonji) ที่เรานิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรสในผักดองนั้น ได้ถูกนำมาใช้สืบเนื่องกันมาแต่โบราณ  เพื่อการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างมากมาย รวมทั้งโรคเบาหวาน และความดันโลหิต  ในจำนวนบทบาทและศักยภาพที่หลากหลายของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) รวมทั้งองค์ประกอบของสารอาหารที่อยู่ในเมล็ด ซึ่งแสดงออกให้เห็นผลลัพธ์จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองนั้น เรื่องการป้องกันโรคเบาหวานเป็นบทบาทที่สำคัญที่สุด  โดย Thymoquinone (TQ) หรือน้ำมันหอมระเหย เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่มีบทบาทเป็นอย่างมาก แต่ในการป้องกันโรคเบาหวานนั้น บทบาทของมันได้ถูกแสดงออกทั้งจากสารสกัดที่เป็นน้ำและสารสกัดที่ปราศจากไขมัน  ฮับบาตุซเซาดะฮ์อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่มีอาการแพ้น้ำตาลกลูโคส โดยมันจะช่วยลดความอยากอาหาร, ลดการดูดซึมกลูโคสในลำไส้, ลดการย่อยสลายกลูโคสในตับ (hepatic gluconeogenesis), ลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด, ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์, ลดน้ำหนักตัว และการกระตุ้นกลูโคสให้เกิดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อน  รวมทั้งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพความทนทานต่อกลูโคสเช่นเดียวกับยารักษาเบาหวานเบื้องต้น (metformin) ซึ่งยังไม่เคยมีรายงานผลกระทบที่มีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีความเป็นพิษที่ต่ำมาก  Streptozotocin (STZ) หรือสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นพิษต่อการผลิตอินซูลินของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน และเป็นสาเหตุที่ทำให้หนูเป็นเบาหวานนั้น มันมีการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปขึ้นมาในเบต้าเซลล์ของตับอ่อน โดยเพิ่มความเข้มข้นของระดับอินซูลินที่ต่ำลง และลดค่าของระดับน้ำตาลกลูโคส  ดังนั้น ฮับบาตุซเซาดะฮ์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีบทบาทในการป้องกันโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 จึงเกิดขึ้นได้โดยผ่านการยับยั้งของ Thymoquinone ต่อพัฒนาการของเบาหวาน ชนิดที่  1 นั่นเอง นอกจากนี้ มันยังช่วยลดปฏิบัติกิริยาความไวของอินซูลินที่มีในเซลล์ตับ  ดังนั้น เมล็ดพันธุ์ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อการบริโภคของป่วยในหลาย ๆ การทดลองทางคลินิก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำมาใช้เพื่อการป้องกันโรคเบาหวานก็ตาม  และการศึกษาในอนาคตอาจจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed), องค์ประกอบของสารอาหาร หรือสารสังเคราะห์ ในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานก็เป็นได้

บทนำ :
โรคเบาหวาน (DM) เป็นโรคสามัญที่พบได้มากที่สุดวิถีชีวิตของผู้คน ในปี 2000 ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ทั่วโลกมีความชุกประมาณ 2.8% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ในปี 2030 [1]  ดังนั้น การป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน จึงเป็นข้อเรียกร้องที่สำคัญต่อการกำหนดรูปแบบในการดำเนินชีวิต ด้วยการมีกิจกรรมทางกายภาพ หรือมีการออกกำลังกายที่มากขึ้น การบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่น้อย และหลีกเลี่ยงนิสัยที่ทำอยู่เป็นประจำ  อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า มันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขา และมองหาทางเลือกที่ยุ่งยากน้อยกว่า  ดังเช่นในวัฒนธรรมของการประกอบของอาหารแบบดั้งเดิม ซึ่งสามารถลดความอยากอาหาร, ลดการดูดซึมกลูโคสในลำไส้, ลดการย่อยสลายกลูโคสในตับ (hepatic gluconeogenesis), ลดระดับน้ำตาลในเลือด, ควบคุมน้ำหนัก เพื่อที่จะสามารถกระตุ้นกลูโคสให้ลดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อน อาจได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นประโยชน์ต่อการควบคุมและป้องกันโรคเบาหวาน  ซึ่งส่วนใหญ่ของการกระทำเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) และส่วนประกอบของมันในเวลาเดียวกัน ด้วยผลการทดลองจากสัตว์ โดยยังไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ  การนำเสนอผลการวิจัยในครั้งนี้ จึงพยายามที่จะหาข้อสรุปในคุณสมบัติของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) และส่วนประกอบของมัน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน


ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) เป็นพืชสมุนไพร หรือเครื่องเทศในตระกูลดอกดาวเรือง (Ranunculacea) มีชื่อที่รู้จักกันทั่วไปว่า ยี่หร่าดำ (black cumin) หรือเมล็ดสีดำ (black seed)  มันเป็นพืชทรงสูงที่ชอบอยู่กลางแจ้ง มีลำต้นอ่อนและประกอบด้วยต้นเล็ก ๆ  มันจะเติบโตในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน เอเชีย รวมทั้งอินเดีย, ปากีสถาน, อินโดนีเซีย, อิตาลี และอัฟกานิสถาน  ในประเทศอินเดียเรียกว่า Kalonji หรือ kalajeera  ในขณะที่ประเทศจีนเรียกว่าเป็น Hak Jung Chou เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์นี้ คนอินเดียจะใส่ในผักดองเป็นเครื่องเทศและสารกันบูด และในอียิปต์ได้ใช้เป็นยาขับลมในกระเพาะอาหาร และเป็นเครื่องปรุงกลิ่นโรยบนขนมปัง  ดังนั้น น้ำมันของเมล็ดยี่หร่าดำจึงได้ถูกดึงออกมาใช้ โดยการบีบอัดเมล็ดพันธุ์แล้วมาใช้ปรุงอาหาร  นับเป็นเวลากว่าศตวรรษมาแล้วที่เมล็ดของมันได้ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเป็นยารักษาโรค ในละตินโบราณจะเรียกว่าเป็น Panacea ซึ่งมีความหมายว่ารักษาทุกโรค (cure all) และในทางอายุรเวทมีความชื่นชอบในคุณสมบัติที่หลากหลายของมัน : ขม, ร้อน, กระตุ้นทางธรรมชาติ และได้นำฮับบาตุซเซาดะฮ์มาใช้รักษาโรคและความเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร, โรคตับ, โรคท้องร่วง, มีไข้, ไอ และโรคพยาธิตัวตืด นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างเพียงไม่กี่โรคเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้นำมาใช้เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

การทบทวนงานวิจัยและอภิปราย :
ในเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮฺ (Negilla sativa) ประกอบด้วยน้ำมันคงที่ (fix oil) และน้ำมันหอมระเหย (essential oils), โปรตีน, อัลคาลอยด์ และซาโปนิน  มันประกอบด้วยน้ำมันคงที่มากกว่า 30%  ส่วนของน้ำมันหอมระเหย 0.40-0.45% (w/w) มีกรดไขมัน 8 ชนิด และองค์ประกอบอีก 32 ชนิด ที่ระบุไว้ในน้ำมันคงที่และน้ำมันหอมระเหย ตามลำดับ กรดไขมันหลักของน้ำมันคงที่ คือ กรดไลโนเลอิก, กรดโอเลอิก, และกรด palmitic  โดยส่วนประกอบหลักที่สำคัญของน้ำมันหอมระเหย คือ thymoquinone (TQ), trans-anethole, p-cymene, alpha pinene, limonene, and carvone[ 2 - 4 ] นอกเหนือไปจากเมล็ด, ราก และใบแล้ว มีสารประกอบฟีนอลิก (phenolic) ที่เหมือนกับ vanilic acid[ 5 ] ส่วนใหญ่แล้วกิจกรรมทางชีวภาพของเมล็ด จะถูกแสดงโดยบทบาทของ thymoquinone (2-isopropyl-5-methyl-1 ,4-benzoquinone) ซึ่งมีโครงสร้างทางเคมี คือ C 10 H 12 O 2  และสารสกัด Nigellone เป็น carbonyl polymer ของ TQ ที่แยกออกมาจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์  แม้ว่าสารพอลิเมอร์ (polymer) จะยังอยู่ห่างไกลจากความไม่เป็นพิษ แต่ยังคงรักษาคุณค่าทางเภสัชวิทยาไว้เป็นอย่างมากในคุณสมบัติของ TQ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของสารอาหารในฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed)  การออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของฮับบาตุซเซาดะฮ์และองค์ประกอบของมันได้ถูกรวบรวมรายงานไว้ในเรื่องการป้องสารพิษในไต, ตับ และโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ รวมทั้งสารเคมี[ 6 - 14 ] เมล็ด/น้ำมันของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) มีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบ [ 15 ], เป็นยาแก้ปวด[ 4 ] ลดไข้[ 16 ], ลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ [ 17 ], ขยายหลอดลม[ 17 ], ยับยั้งการผลิตฮิสตามีน[ 18 ],   ลดภาวะความดันโลหิตสูง[ 19 ], ป้องกันเนื้องอก (anti-tumor)[ 20 ], มีสารต้านอนุมูลอิสระ[ 18 ], ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกหรือเซลล์มะเร็ง (antineoplastic)[ 9 , 21 , 22 ], คุมกำเนิด (antifertility)[ 23 ],ป้องกันแบคทีเรีย (antibacterial)[ 24 ], ป้องกันเชื้อรา (antifungal)[ 25 ], ป้องกันเชื้อโปรโตซัว เช่น เชื้อมาลาเลีย(antiprotozoal)[ 26 ], เป็นยาขับถ่ายพยาธิ[ 27 ] เป็นยาฆ่าแมลง[ 28] และในเรื่องอื่น ๆ

การรักษาหนูด้วยสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในรายงานที่ได้รับถูกบันทึกไว้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของผลเลือด (hemogram) ซึ่งรวมถึงการเพิ่มขึ้นของระดับเฮโมโกบินในเซลล์[29 ] และลดปริมาณความเข้มข้นของพลาสมาในคอเลสเตอรอล,ไตรกลีเซอไรด์ และกลูโคส [ 30 ] เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) มีคุณสมบัติที่แห่งโดดเด่นในเรื่องของการให้ความเป็นพิษ (toxic) ในระดับที่ต่ำมาก การนำมาใช้งานของทั้งสารสกัดจากเมล็ดหรือน้ำมันที่ได้ แสดงให้เห็นว่าไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบของตับและไต[ 31 ] ในการตรวจสอบการให้ยา LD50 (สารพิษที่ใช้ในการทดลอง) ในหนูที่ได้รับสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ จากการสังเกตพบว่า การไม่ตายจะเกิดขึ้น เมื่อมีการให้น้ำ,เมทานอล, และสารสกัดจากคลอโรฟอร์มทางปาก ในปริมาณที่สูงถึง 21 กรัม/กิโลกรัม และในปริมาณสูงมากถึง 6 กรัม/กก./วัน ทางปาก เป็นเวลาติดต่อกัน 14 วัน พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เสื่อมลงในเซลล์ตับ ตามที่ได้ถูกตั้งข้อสังเกตไว้  ด้วยการให้เพียงสารสกัดที่เป็นน้ำจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ โดยไม่ได้มีการให้เมทานอล และสารสกัดคลอโรฟอร์ม [ 32 ] สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงขอบเขตที่กว้างขวางในเรื่องของความปลอดภัย จากการได้สารอาหารจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ด้วยน้ำมันคงที่ 4% หรือน้ำมันหอมระเหย 0.3% พบว่า หนูปลอดภัยจากดัชนีชี้วัดภูมิคุ้มกัน เช่น ในตับ และการทดสอบการทำงานของไต, serum protein profile, ระดับการเต้นของหัวใจ, ความสมดุลของอิเล็กโทรไลท์ (electrolytes balance), เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว มีค่าอยู่ในช่วงปกติ ถึงแม้เวลาจะผ่านมาถึง 56 วัน[ 33 ] ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ปกติ  ถึงแม้ว่า TQ จะทำหน้าที่ยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง[ 34 ]  ดังนั้น ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) อาจจะเป็นประโยชน์ในการรักษาในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่มีอาการแพ้น้ำตาลกลูโคส  ดังเช่นการได้รับน้ำตาลกลูโคสมากขึ้น-นำไปสู่การเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งของอินซูลิน โดยที่ไม่มีผลกระทบในทางลบ (negative) ต่อการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสจากเยื่อเมือกของลำไส้[ 35 ]
1. การป้องกันโรคเบาหวานในหนูปกติ
ในการทดลองให้สารสกัดที่เป็นน้ำจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) กับหนูปกติ ในขนาด (10 มล./กก./ วัน) ทางปาก เป็นเวลา 7 ถึง 14 วัน สามารถเพิ่มเซรั่มอินซูลิน และลด
ระดับเซรั่มกลูโคส อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อของตับอย่างเห็นได้เด่นชัด แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของเซรั่ม SGPT [คือ เซรั่มที่อยู่ในตับตามปกติ แต่จะถูกหลั่งออกมาในเลือดเมื่อตับได้รับความเสียหาย] และมีความเข้มข้นของเซรั่ม GGTP[เอนไซม์ที่พบในตับ ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดผลของการรักษา] จะถูกตั้งข้อสังเกต[ 36 ]
ในการทดลองอีกชิ้นงานหนึ่ง คือ การรักษาด้วยการให้สารสกัดที่เป็นน้ำจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) ทางปากแก่หนูปกติ ในขนาด (2 กรัม/กก.ทุกวัน) เป็นเวลา 6 สัปดาห์ สามารถเพิ่มความทนทานต่อกลูโคสได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการใช้ยา metformin (300 mg/kg ทุกวัน) นอกจากนี้ ยังสามารถลดลงน้ำหนักของร่างกาย  โดยปราศจากผลกระทบที่เป็นพิษ[37]
และงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง คือ การให้สารสกัด petroleum ether จากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) แก่หนูปกติ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เป็นเหตุให้มีการบริโภคอาหารลดลง 25% นำมาซึ่งการลดลงของน้ำหนักชั่วคราว โดยไม่มีสัญญาณของความเป็นพิษใด ๆ เกิดขึ้น เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการรักษา มีระดับพลาสมาอินซูลินและไตรกลีเซอไรด์ต่ำลง ในขณะที่ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ตลอดระยะของการรักษา[ 38 ]  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การให้สารสกัดจากฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ในช่วง 2 สัปดาห์แรก มีการเพิ่มของเซรั่ม อินซูลิน โดยอาจเป็นผลของการกระตุ้นกลูโคสไปเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ [ 39 ] และเมื่อการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานระดับเซรั่มอินซูลินลดลง เหมือนกับว่าเซรั่มกลูโคสไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดการหลั่งอินซูลินเพิ่ม ทั้งนี้ ผลจากการเบื่ออาหาร อาจจะมีประโยชน์สำหรับการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป (หรือโรคอ้วน)
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน (antidiabetic) ในการศึกษาทดลองด้วยการให้น้ำมันคงที่ (fix oil) ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ แก่หนูปกติในปริมาณ (1 ml/kg) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือด,
คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ลดลง 16.5%, 15.5%, 22% ตามลำดับ  เมื่อเทียบกับค่าที่จะต้องควบคุม ซึ่งคู่ขนานไปกับน้ำหนักตัวที่ลดลง อย่างมีนัยสำคัญ  เมื่อเปรียบเทียบกับการให้การรักษาในสัตว์ด้วย Black Seed Oil ในกลุ่มที่มีการควบคุม[ 30 ]  นอกจากนี้ สารสกัดที่ไม่ได้เป็นไขมัน (defatted extract) จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยังเพิ่มกลูโคสเหนี่ยวนำให้เกิดการปลดปล่อยอินซูลินในตับอ่อนของหนู ในความเข้มข้นขึ้นที่อยู่ระดับที่ควบคุม[ 39
2. การทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน ด้วยการให้สาร STZ เพื่อให้หนูเป็นเบาหวาน

Kanter  และเพื่อนร่วมงาน ได้ศึกษาถึง
ประสิทธิผลของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ที่มีต่อ streptozotocin หรือ STZ [คือ สารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในร่างกาย และเป็นพิษต่อการผลิตอินซูลินในเบต้าเซลล์ของตับอ่อน]  ซึ่งทำให้เกิดทำให้เกิดโรคเบาหวานในหนู  โดยได้ทำการทดลองด้วยวิธีการฉีดสาร STZ (50 มล./กก.) เข้าที่ช่องท้องของหนู ซึ่งจะทำให้หนูกลายเป็นโรค
เบาหวานภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงฉีดน้ำมันหอมระเหยจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
เข้าที่ช่องท้องของหนูเบาหวานในขนาด 0.20 มล./กก. เป็นเวลา 30 วัน เพื่อเป็นการฟื้นฟูเบต้าเซลล์ของตับอ่อน โดยการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น และเพิ่มความเข้มข้นของระดับอินซูลินที่ต่ำลงให้สูงขึ้น[40] และเช่นเดียวกัน ผลจาก STZ ที่ทำให้หนูเป็นเบาหวาน ได้ถูกตั้งข้อสังเกตด้วยการให้การรักษาด้วยน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ในขนาด (300 - 400 มก./กก.ของน้ำหนักตัว ) หรือให้สารสกัด thymoquinone ในขนาด (50 มก./กก. ของน้ำหนักตัว ) ทางปากวันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 12 สัปดาห์ [41 , 42]

และในกรณีที่คล้ายคลึงกัน ได้มีการให้สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ที่เป็นผง ในขนาด (10 กรัม/กก./ วัน) ทางปากเป็นเวลา 21 วัน ในหนูที่ถูกให้ STZ  โดยการทดลองของ Khanam และ Dewan[ 43 ]  ผลการศึกษาทั้งหลาย ให้ผลเช่นเดียวกับการให้สารสกัดจาก n-Hexane จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ในปริมาณโดซที่เหมือนกัน และดูเหมือนว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ และ Black Seed Oil จะช่วยปกป้องเบต้าเซลล์และต่อต้านความเครียดที่เกิดจากขบวนการ oxidation  โดย STZ ก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของ lipid peroxidation [จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารพิษ] และเซรั่มไนตริกออกไซด์ (NO) ที่เข้มข้น และลดปฏิกิริยาของเอนไซม์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระของหนู  กลุ่มของเซลล์ที่ผลิตฮอร์โมนในตับอ่อน (islet cell) เสื่อมสภาพและอ่อนแอในหนูที่ได้รับ STZ ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ซึ่งสังเกตและตรวจวัดได้จากวิธีการทางเคมี (Immunohistochemical) ความเข้มที่เพิ่มขึ้นจากการย้อมสีของอินซูลินและการเก็บรักษาจำนวนของเบต้าเซลล์ beta-cell ได้เป็นที่ประจักษ์ชัด โดยการรักษาด้วยการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ในหนูเบาหวาน  การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นการรักษาที่ช่วยป้องกันผลกระทบจากการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ด้วยการลดความเครียดจากการ oxidation และรักษาความสมบูรณ์ของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน จากการได้รับ STZ ที่ทำให้หนูเป็นโรคเบาหวาน[ 44 ]

Pari และ Sankaranarayanan ได้ให้ Thymoquinone 20 – 80 มก./กก. เป็นเวลา 45 วัน ในหนูเบาหวานที่ได้รับ STZ-NICOTINAMIDE แล้วสังเกตฤทธิ์ของการลดระดับน้ำตาลในเลือดที่ชัดเจน จากการลดลงของน้ำตาลกลูโคสเช่นเดียวกับระดับ HBA (1C)[ 45 ] นอกจากนี้ Tymoquinone ยังเป็นการรักษาที่ทำให้เกิดการปรับปรุงโครงสร้างและระบบการทำงานของไต หลังจากที่หนูได้รับ STZ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเบาหวาน เมื่อให้ Thymoquinone ในขนาด (50 มก./กก./วัน) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ สามวันหลังจากหนูเกิดโรคเบาหวานจะทำให้ลดขนาดการกรองของไต และขยายโครงข่ายเส้นเลือดและท่อลำเลียงของไตเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับการรักษา[46]  ในระหว่างตั้งครรภ์ของหนูเบาหวาน (ที่ได้รับ STZ) การรักษาด้วย Thymoquinone ช่วยยับยั้งความผิดปกติของตัวอ่อนโดยการลดอนุมูลอิสระ นอกเหนือจากนี้ยังช่วยเพิ่มขนาดและการเจริญเติบโตของตัวอ่อน [47]  

โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญในผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ต้องพึ่งพาอินซูลิน กลไกความแข็งแรงของกระดูกโคนขาและกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้นได้ด้วยการให้ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (hPTH) ในการรักษา โดยการรักษาร่วมกับการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีประสิทธิภาพมากกว่า การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือการให้การรักษาด้วย hPTH เพียงอย่างเดียว เพื่อปรับปรุงมวลกระดูก, การเชื่อมต่อ และพฤติกรรมทางชีวกลศาสตร์ในอินซูลิน ของหนูเบาหวานที่ได้รับ STZ ซึ่งจะช่วยเหนี่ยวนำให้เกิดความหนาแน่นของมวลกระดูก[48]

3. การทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน ในหนูแฮมสเตอร์ (ที่ได้รับ STZ)
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ Black Seed Oil (NSO) มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการผลิตอินซูลินในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 – และในรูปแบบที่เหมือนกัน  Fararh และคนอื่น ๆ  ได้ทดลองให้การรักษาด้วย Black Seed Oil แก่หนูแฮมสเตอร์ที่ป่วยเป็นเบาหวาน (จากการได้รับ STZ) ในช่วงเวลาหลังจากหนูเป็นเบาหวานแล้ว 6 สัปดาห์  โดยให้ black seed oil ในขนาด  (400 มก./กก. ทางปาก ผ่านหลอดลำเลียงส่งไปยังกระเพาะอาหาร) หลังจากหนูได้รับการรักษา ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงทุกวันจาก 391 3.0 mg/dl ก่อนการรักษา เป็นระดับ 325 4.7, 246 5.9, 208 2.5 และ 179 3.1 mg/dl หลังจากได้รับการรักษาในสัปดาห์แรก, ที่ 2, 3, และ 4 ตามลำดับ  การผลิตน้ำตาลกลูโคสในตับจาก gluconeogenic precursors (alanine, glycerol and lactate) มีค่าที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการให้การรักษาหนูแฮมสเตอร์ ได้ชี้ให้เห็นว่า มีการลดลงของ gluconeogenesis ในตับ[49]  ประสิทธิผลที่คล้ายกันได้ถูกตั้งข้อสังเกต โดยการให้ Thymoquinone ในขนาด (50 มก./กก. ทุกวัน) แก่หนูแฮมสเตอร์เบาหวาน (ที่ได้รับ STZ เหนี่ยวนำให้เกิดโรคเบาหวาน)  4 สัปดาห์หลังจากที่หนูเป็นเบาหวาน  ภายในเวลา 30 วันหลังให้การรักษาด้วย TQ, เซลล์เนื้อเยื่อของตับ (hepatocytes) ได้ถูกแยกออก เพื่อตรวจสอบการผลิตกลูโคสในตับ ผลการตรวจวัดพบว่า ผลผลิตกลูโคสหลังจากการบ่มเพาะ hepatocytes และขบวนการ gluconeogenic เป็นเวลา 2 ชั่วโมง มีค่านัยสำคัญลดลง ในหนูแฮมสเตอร์ที่รักษาด้วย Thymoquinone[50] ผลลัพธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า กลไกการป้องกันโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ Thymoquinone อย่างน้อยที่สุด มีบางส่วนที่มีการลดลงของ gluconeogenesis ในตับ และในการทดลองอื่น เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดร่วมกับการเพิ่มระดับเซรั่มอินซูลิน ของหนูแฮมสเตอร์เบาหวาน ภายหลังให้การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ จาการสังเกตการทำงานของอินซูลินในตับอ่อน พบว่า พื้นที่ส่วนใหญ่มีปฏิกิริยาต่อภูมิคุ้มกันที่เป็นบวก ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย black seed oil เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา โดยใช้เทคนิค immunohistochemistry ในการตรวจวัด [51]  จึงชี้ให้เห็นว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil ช่วยให้ฟื้นฟูการสร้างเบต้าเซลล์ และช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในเบต้าเซลล์
4. การป้องกันโรคเบาหวานใน Cadmium/HAART (ยาต้านไวรัส) ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) ช่วยลดความเสียหายของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน ที่ได้สัมผัสกับสารพิษ เช่นแคดเมียม  โดย Cadmium chloride ขนาด (0.49 มก./กก. /วัน) ได้ถูกฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ก่อให้เกิดจากการเสื่อมสภาพ,เนื้อร้าย, และทำให้เกิดความอ่อนแอของ degranulation ในกลุ่มฮอร์โมนที่อยู่ในเบต้าเซลล์ของตับอ่อนของหนู  สามวันก่อนที่หนูจะได้รับแคดเมี่ยมคลอไรด์ (CdCl 2) ได้มีการฉีดฮับบาตุซเซาดะฮ์เข้าในช่องท้องของหนูเป็นประจำวันทุกวัน  เพื่อลดความเสื่อมของเนื้อร้ายที่เกิดจากการได้รับแคดเมียมและลดการเกิด degranulation ในกลุ่มฮอร์โมนที่อยู่ในเบต้าเซลล์ของตับอ่อน และการเพิ่มขึ้นของระดับอินซูลินที่ลดต่ำลง[52]  การรวมตัวของเชื้อ HIV-1 ต่อการใช้ยาต้านไวรัสระดับสูง (HAART) เชื่อมโยงไปสู่การเหนี่ยวนำให้เกิดความต้านทานต่ออินซูลิน การใช้ยาต้านไวรัส (HAART) ในระยะยาวของผู้ป่วย HIV-1-positive ทำให้เกิดความต้านทานต่ออินซูลิน  ซึ่งสามารถป้องกันได้ ด้วยการให้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในขนาด (400 micolitres/kg ของน้ำหนักตัว) โดยแสดงให้เห็นถึงการป้องกันการเพิ่มขึ้นของระดับอินซูลินและ c-peptide ในหนู Sprague Dawley- ซึ่งได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (HAART) เป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องเป็นเวลา 7 เดือน[53]  การสัมผัสกับยาฆ่าเชื้อไวรัส ที่แตกต่างกันหลายชนิด ได้แก่ Nelfinavir, saquinavir และ atazanavir ทำให้การกระตุ้นการหลั่งอินซูลินกลูโคสจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อนของหนูลดลง- เป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของปฏิกิริยา reactive oxygen species (ROS)  ทั้ง Thymoquinone และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ทำให้การกระตุ้นการหลั่งอินซูลินกลูโคสเพิ่มขึ้น และช่วยเยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการใช้ยา Nelfinavir[54]
5. กลไกที่มีความเป็นไปได้ในการป้องกันโรคเบาหวาน
กลไกในการป้องกันโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) เกิดจากความสามารถที่หลากหลายทางเภสัชกรรมของมัน  โดย Rchid และเพื่อนร่วมงาน ได้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดส่วนที่ไม่ได้เป็นน้ำมัน (defatted extract) ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ สามารถเพิ่มระดับกลูโคสเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งอินซูลินในกลุ่มเซลล์ตับอ่อนของหนู-ในระดับของความเข้มข้นที่ขึ้นอยู่กับการควบคุม[39] นอกเหนือจากการกระตุ้น การหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนแล้ว ฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด (antihyperglycemic) ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ อาจเกิดขึ้นจากภายนอกตับอ่อน เช่น เลือด-ประสิทธิผลในการลดระดับกลูโคสของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ไม่ได้เหมือนกับการกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ของ black seed oil, nigellone หรือ thymoquinone ในหนูเบาหวานที่ได้รับ STZ[55]  ไนตริกออกไซด์มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำลายเบต้าเซลล์ในระหว่างการเกิดโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 จากการได้รับ STZ   โดยมี STZ เป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดโรคเบาหวาน , เซรั่มและไนไตรต์ในตับอ่อนเพิ่มขึ้น  เมื่อให้หนูเหล่านี้ได้รับ Thymoquinone ซีรั่มและไนไตรต์ในตับอ่อนลดลงภายใน 3 วัน  และพบว่า Thymoquinone ไม่มีผลกระทบต่อความเสื่อมโทรมของ IKB หรือการกระตุ้นของ kB  ถึงแม้ว่าจะมีนัยสำคัญในการยับยั้งทั้ง p44/42 และ p38 mitogen-การกระตุ้นโปรตีนไคเนส (MAPKs) ซึ่งนำไปสู่ขบวนการกระตุ้น nitric oxide synthase การผลิตไนตริกออกไซด์  ข้อมูลเหล่านี้เน้นบทบาทในการปกป้องกันของ Thymoquinone ต่อการต่อต้านการพัฒนาการของโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 โดยผ่านเส้นทางของการยับยั้งไนตริกออกไซด์[56]  Thymoquinone ดูเหมือนจะย้อนกลับไปทำให้ไนไตรท์สูงขึ้นในหลอดทดลอง[57] มันเป็นที่รู้จักดีในบทบาทของการปราบปรามการแสดงออกของ nitric oxide synthase ที่ถูกกระตุ้นในเม็ดเลือดขาวของหนู[58]  ในโรคเบาหวาน ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ป้องกันการย่อยสลายไขมัน (lipid peroxidation) และสร้างระบบในการป้องกันตนเองและการต่อต้านอนุมูลอิสระ
Meral และคนอื่น, ได้ทำให้กระต่ายเป็นเบาหวาน โดยใช้ Alloxan 10% ในขนาด 150 มก./กก. และให้การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ ทางปากแก่กระต่าย เป็นเวลา 2 เดือน และพบว่าระดับกลูโคสสูงขึ้น และความเข้มข้นของ malondialdehyde (MDA) ลดลง, เพิ่มการลดระดับของกลูตาไธโอน (GSH) และความเข้มข้น ceruloplasmin, และป้องกันการย่อยสลายไขมัน (lipid peroxidation)- ซึ่งเป็นตัวชักนำให้เกิดอันตรายต่อตับในกระต่ายเบาหวาน[59]  กลไกในการป้องกันโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) อย่างน้อยที่สุดส่วนหนึ่งผ่านมาจากการลดลงของขบวนการเผาผลาญสารอาหาร (gluconeogenesis) ในตับ[60]
Fararh แสดงให้เห็นว่า การผลิตกลูโคสในตับ gluconeogenic precursors (alanine, glycerol and lactate) มีค่านัยสำคัญที่ลดลง ในการรักษาหนูแฮมสเตอร์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า มันมีความสามารถในการลด hepatic gluconeogenesis [ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ][49]  
Le และคนอื่น, แสดงให้เห็นว่า การรักษาร่างกายด้วยสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa), ได้ผลในขนาดโดสที่สูงกว่า  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการทำงานของ MAPK p44/42erk และ PKB  ในการตอบสนองต่ออินซูลินในเซลล์ตับ (hepatocytes) ซึ่งเขาให้ความเห็นว่า ในการรักษาร่างกายด้วยสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ช่วยลดความไวของอินซูลิน โดยการเสริมสร้างการทำงานของเส้นทางการส่งสัญญาณภายในเซลล์ (intracellular signal transduction) ของตัวรับฮอร์โมน[38] การดูดซึมของกลูโคสในลำไส้ถูกทำให้ลดลงด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ซึ่งจะเห็นจากข้อเท็จจริงที่ว่า สารสกัดที่เป็นน้ำของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ขนาด (0.1 pg/ml - 100 ng/ml) เป็นขนาดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งโซเดียม และการขนส่งกลูโคสไปยังหนูขาว (rat jejunum)[37]  ทั้งหมดนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลไกในการป้องกันโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed (N.sativa) สามารถแก้ปัญหาผ่านทางกลไกการทำงานที่หลากหลายรูปแบบ[61]

6. การศึกษาทางคลินิกในมนุษย์
ฮับบาตุซเซาดะฮ์  (N.sativa) ได้ถูกนำมาใช้สืบเนื่องกันมาอย่างยาวนาน เพื่อการรักษาโรคเบาหวานและความดันโลหิต ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงใต้และโมร็อกโก[62] และจอร์แดน  ในการสำรวจผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวน ในประเทศจอร์แดน จำนวน 310 ราย ได้รับการเปิดเผยว่า 7.3% ของพวกเขา ได้ใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในการรักษาโรคเบาหวาน[63]  ฮับบาตุซเซาดะฮ์มีความปลอดภัย สำหรับการนำมาใช้ในการรักษาทางคลินิกในผู้ป่วย (human patients)  


ในประเทศอินโดนีเซีย, ได้มีการศึกษาทดลองแบบ double blinded ในผู้ป่วยที่ถูกนำมาควบคุม และทำการทดลองทางคลินิก ด้วยการให้ยาหลอก โดยคัดเลือกจากผู้ป่วยชาย ที่เป็นผู้ใหญ่และมีโรคอ้วน (อ้วนลงพุง) โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึงประสิทธิภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์(Nigella sativa) ในศูนย์กลางของความเป็นอิสระของเซรั่มฮอร์โมนเพศชาย (central on serum free testosterone), น้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว, น้ำตาลในเลือด, ไขมัน, กรดยูริค , adiponectin (โปรตีนที่มีส่วนในการควบคุมกลูโคส), hs-CRP (ความไวของโปรตีนที่ตอบสนองในเลือดต่อการอักเสบ), และผลข้างเคียง[64] โดยให้การรักษาด้วยการให้ผงของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Kalonji) ในปริมาณ 1.5 กรัม (สองแคปซูล) รับวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้ปรากฏว่า มีค่านัยสำคัญที่สูงมาก ในการลดลงของน้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว, และความดันโลหิตตัวบน (systolic blood pressure)  อย่างไรก็ดี การลดลงของระดับน้ำตาลในเลือดในขณะอดอาหาร, ฮอร์โมนเพศชาย (serum free testosterone), ความดันโลหิต (ค่าตัวล่างที่วัดได้), ไตรกลีเซอไรด์, และคอเลสเตอรอล-HDL, SGOT, SGPT, กรดยูริค และ hs-CRP ไม่มีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเพราะการได้รับฮับบาตุซเซาดะฮ์ในปริมาณโดสที่มีขนาดเล็กกว่าที่ควรจะเป็น และพบว่าไม่มีผลข้างเคียงในกลุ่มที่ให้การรักษา[65]  นอกจากนี้ ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ยังมีความปลอดภัยในการนำมาใช้แก่ผู้ป่วย (human patients) ในการทดลองทางคลินิกอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการรักษาโรคเบาหวาน 

ในการทดลองทางคลินิก ด้วยการให้สารสสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ทางปากในปริมาณ 100 และ 200 มก. วันละ 2 ครั้ง ในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่รุนแรง เป็นเวลา 8 สัปดาห์  พบว่า มีการลดลงของความดันโลหิต (ทั้งค่าตัวบน systolic และค่าตัวล่าง diastolic) ในขณะเดียวกันสารสกัดที่ได้รับ ทำให้มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในระดับของไลโปโปรตีน (ไขมันรวม) และLDL-คอเลสเตอรอล[10] 

นอกจากนี้ ในการทดลองทางคลินิกอื่นก็เช่นกัน ได้มีการทดลองให้การรักษาเสริม ด้วยการให้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ในประมาณ 2.5 มล. วันละ 2 ครั้ง ร่วมกับการที่ผู้ป่วยรักษาด้วยยา Atorvastatin 10มก./วัน [เป็นเกลือแคลเซียม หรือยากลุ่ม statin ที่ใช้ลดคอเลสเตอรอลในเลือด] และ Metformin 500 มก. วันละ 2 ครั้ง [เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน และมีไตทำงานผิดปกติ]  ผลการรักษาสรุปได้ว่า มีนัยสำคัญในทางพัฒนาการที่ดีขึ้นของ ค่าคอเลสเตอรอลรวม. LDL-คอเลสเตอรอล, และระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร[65]  ให้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ครั้งเดียวในปริมาณ 40 มก./กก. หรือในปริมาณที่เทียบเท่ากับการให้สารสกัด (ethanolic extract) ที่ให้แก่เด็กที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการมีพยาธิตัวตืด พบว่ามีการลดลงของไข่พยาธิในอุจจาระต่อกรัม เมื่อตรวจนับในวันที่ 7 และ 15 และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ที่ไม่พึงประสงค์[66]  การให้สารสกัดฮับบาตุซเซาดะฮ์ ที่ถูกทำให้ร้อนแล้ว 50% ในขนาด (0.375มล./กก.) ทางปาก แก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม ส่งผลให้มีการปรับปรุงทางคลินิกของระบบทางเดินหายใจ และการทดสอบสมรรถภาพปอด[67]  ในการทดลองอื่น พบว่าฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคหอบหืด จากประสิทธิผลที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย, ป้องกันอาการกระตุกของกล้ามเนื้อเรียบ (anticholinergic), ป้องกันหรือยับยั้งการเกิดฮิสตามิน (antihistaminic)[68] เนื่องจากคุณสมบัติของฮับบาตุซเซาดะฮ์ในการต่อต้านฮิสตามีน (antihistaminic), เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant), ป้องกันการติดเชื้อ (antiinflamatory) และต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย (antibacterial) จึงพบว่ามีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเฉียบพลันในช่องปาก (acute tonsillopharyngitis) ในการสุ่มตรวจควบคู่กับการใช้ยาหลอกในการทดลองทางคลินิก[69]  ในยาแผนโบราณ, ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการป้องกันโรคลมชัก, อาการชัก (anticonvulsant) ในการศึกษาทางคลินิกแบบ (double-blinded) ด้วยการให้สารสกัดที่เป็นน้ำจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในขนาด (40 มก,/กก./8 ชั่วโมง) มีความปลอดภัยในการใช้เป็นยารักษาแบบเสริมให้กับเด็กที่มีอาการของโรคลมชักดื้อยา [70 ]  การให้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ชนิดแคปซูลในขนาด (40 - 80 มก./กก./วัน) แก่ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ไม่พบว่ามีอาการข้างเคียงที่ได้รับรายงาน[71] เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผงของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีความปลอดภัยในการใช้ในการทดลองกับมนุษย์ ซึ่งไม่ได้ให้ผลสรุปที่ถูกต้องทางสถิติ ในความต้องการของขนาดตัวอย่างที่เหมาะสม[72] ผลกระทบหรือพิษของฮับบาตุซเซาดะฮ์ ที่มีนัยสำคัญไม่ได้มีการตั้งข้อสังเกตไว้ในการศึกษาเหล่านี้  

สรุปได้ว่า : มันมีความปลอดภัยทั้งการใช้จากส่วนที่เป็นเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ในกิจกรรมหรือกระบวนการที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวาน ซึ่งอย่างน้อยที่สุด มันเป็นสื่อนำที่ช่วยกระตุ้นกลูโคสให้เกิดการปลดปล่อยอินซูลินในเบต้าเซลล์, ช่วยลด gluconeogenesis ในตับ, มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และลดการดูดซึมกลูโคสจากลำไส้

การทดลองในสัตว์พบว่า มีการใช้เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์, น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) และส่วนประกอบ รวมทั้ง Thymoquinone อย่างปลอดภัยในปริมาณที่เหมาะสม  เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ถูกนำมาใช้ในการทดลองทางคลินิกสำหรับโรคอื่น ๆ มากกว่าโรคเบาหวาน และอาจจะต้องมีการศึกษาถึงปริมาณการใช้ที่ปลอดภัยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน (DM) โดยผ่านการออกแบบการทดลองทางคลินิกที่ดี  คำเตือนยังคงมีความจำเป็น หากว่าในการรักษาในระยะยาวได้ถูกวางแผนไว้  

Tennekoon และเพื่อนร่วมงาน [73] ได้สาธิตให้เห็นว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ SGPT [เอนไซม์ที่ถูกปล่อยสู่กระแสเลือด เมื่อการการบาดเจ็บหรือเสียหายในตับ] และการเพิ่มปฏิบัติการณ์ของเซรั่มกลูตาเมต serum glutamate oxaloacetic transaminase (SGOT : คือค่าเอนไซม์หรือโปรตีนในตับ ถ้าตัวเลขสูงแสดงว่าตับทำงานผิดปกติ) ในหนูที่ได้รับเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ ไม่มีค่านัยสำคัญ  โดย Glutamate pyruvate transaminase (GPT) คือไซโตพลาสม่าเอนไซม์ซึ่งพบว่า มีระดับที่เข้มข้นสูงมากในตับ, และ Glutamate oxaloacetic transaminase (GOT) ถูกแสดงอยู่ในไซโตพลาสม่าเช่นเดียวกับใน mitochondria (และน้อยกว่าที่ระบุ ไว้ใน GPT) เป็นค่าเอนไซม์ที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสียหายของตับ เพราะมันจะหยุดทำงานลงอย่างรวดเร็ว[74]  การควบคุมและบำบัดรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) โดยการให้สารอาหารทางปาก ได้ชี้นำไปสู่เครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึง ความมีนัยสำคัญของค่า gamma-glutamyl transpeptidase enzyme activity หรือ GGT [ค่าเอนไซม์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อของตับ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความมีนัยสำคัญหรือผลของการรักษาโรค] ในเลือดหลังจากวันที่ 7 และ 14 ของการรักษาในหนู ถึงแม้ว่าหลักฐานการตรวจสอบทางทางพยาธิวิทยาของตับ จะไม่ถูกสังเกตเห็น[36] ระดับความเข้มข้นของค่า gamma-glutamyl transpeptidase ในเลือดที่สูงขึ้น ถือได้ว่าให้เป็นหนึ่งในดัชนีที่สำคัญที่สุดในการชี้วัดความเสียหายของตับ[75] การเพิ่มขึ้นของ gamma-glutamyl transpeptidase (GGT) และความเข้มข้นของ GPT ในกรณีที่ไม่มีการเสียหายของตับ ได้ถูกตั้งข้อสังเกต จากการติดตามผลการให้ทางปากของสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ และนี่ก็แสดงให้เห็นว่า เอนไซม์เหล่านี้อาจได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากสาเหตุของความเสียหายที่เกิดจากตับในระดับโมเลกุล  อย่างไรก็ตาม เอนไซม์มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ซึ่งไม่สามารถวัดค่าและประเมินซ้ำ หรือการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ในระยะยาวอาจจะไม่ปลอดภัย  ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจวัดระดับเลือด เมื่อได้มีการใช้ฮับบะตุซเซาดะฮ์ในระยะเวลาที่ยาวนาน ดังเช่นการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil (NSO) ในขนาด (1มล./ กก.) โดยให้เป็นเวลา 12 สัปดาห์ แก่หนูปกติ ทำให้มีการลดลงของจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด[30]

ในปีที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนัก ได้มีการศึกษาจำนวนมากทำการศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยาทางเภสัชกรรมของฮับบาตุซเซาะดะฮ์ และ Thymoquinone และในอนาคตจำเป็นที่จะต้องได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินค่าของผลประโยชน์ในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน ทั้งก่อนการรักษาและหลังการรักษาทางคลินิก ความพยายามที่จะแยกสารสกัดอื่น ๆ ที่สำคัญในฮับบาตุซเซาดะฮ์ เช่น nigellamines [76] การดำเนินการสังเคราะห์อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาสารสกัดหลักที่เป็นประโยชน์ในฮับบาตุซเซาดะฮ์ อาจจะพบสารที่มีประโยชน์มากกว่า Thymoquinone  และนี่อาจะเป็นส่วนที่จะต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคตก็เป็นได้.

อ้างอิง References : (คลิ๊กจากลิงค์ในบทความได้เลยนะคะ^^)