สาระสุขภาพ

พฤ. 20-09-2012
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน..

หน้าเว็บนี้้ของเปิดไว้เป็นแหล่งรวบรวม "สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพ" เท่าที่่ค้นหามาได้ หรือพบเจอมานำเสนอต่อท่านผู้ติดตามบล็อกของ KAMIL HABBATUSSAUDA นะคะ ซึ่งจะทยอยนำมาลงให้อยู่เรื่อย ๆ ขอเชิญทุกท่านเข้าเยี่ยมชมได้ค่ะ^^


1. ไข่ไก่กับสุขภาพ

ไข่ไก่เป็นอาหารที่ประโยชน์ สำหรับทุกเพศและวัย  เนื่องจากมีโปรตีน, เลซิธิน (lecithin,) วิตามินA, วิตามินB1, วิตามินB2, วิตามินD, แคลเซียม, และธาตุเหล็ก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อย่างเช่น เลซิธิน มีคุณประโยชน์ในการบำรุงสมอง เพราะส่วนประกอบสำคัญของสมอง คือ
เลซิธิน ถ้ารู้สึกสมองไม่สดใส เมื่อยล้า จะต้องเสริมเลซิธิน  ในไข่แดงอุดมด้วยเลซิธิน สามารถช่วยบำรุงสมอง ทำให้สมองฟื้นฟูความสดใสได้  และวิตามินB มีประโยชน์ในการคลายความเครียด ช่วยทำให้น้ำตาลกลายเป็นพลังงาน  เรามักจะมีความเชื่อที่ผิดว่า ทานไข่ไก่แล้วจะทำให้เกิดคอเลสเตอรอล ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ไม่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ  ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่เลย.. เนื่องจากเลซิธินในไข่แดง สามารถทำให้ไขมันและคอเลสเตอรอลละลายเป็นเม็ดเล็ก ๆ จนขับออกจากหลอดเลือดได้ เป็นผลดีต่อการป้องกันหลอดเลือดตีบ รักษาความยืดหยุ่น  ผลจากการทำวิจัยโดยมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ดพบว่า ไม่มีความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการบริโภคไข่กับการเกิดโรคหัวใจ แถมยังมีผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่พบว่า การบริโภคไข่เป็นประจำยังช่วยป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตันในสมอง และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน  ดังนั้น ผู้สูงอายุควรจะรับประทานไข่ไก่วันละ 1 ฟองเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น  นอกจากนี้ การรับประทานไข่ไก่ยังช่วยลดน้ำหนักโดยไม่ต้องอดอาหาร  ให้ทานไข่ไก่ 2 ฟอง เป็นอาหารมื้อเช้าจะได้คุณค่าสารอาหารทางโภชนาการที่ร่างกายต้องการ  ไข่อาจจะช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานไข่ 6 ฟองต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมลงร้อยละ 44

2. เครื่องดื่มโกโก้ร้อน..เพื่อสุขภาพ

มาดื่มโกโก้ร้อน ๆ กันดีกว่า...นะจ๊ะ จากสถิติของสาธารณสุข พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น 89%
“โกโก้” Cocoa เครื่องที่มีรสขม และหลาย ๆ คน นำมาชงให้ออกรสหวาน เพื่อให้ดื่มได้ง่ายขึ้นนั้น สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมองได้  เนื่องจากโกโก้มีส่วนช่วยลดความดันโลหิต จากผลการวิจัยของอาจารย์เดิร์ค เทาแบร์ต แห่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโคโลญจน์ เยอรมนี พบว่า การดื่มโกโก้เข้มข้นช่วยลดความเสี่ยงจากโรคอัมพฤกษ์-อัมพาต (stroke) และโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันได้ 10-20%

และผลงานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น โมนาสฮ์ ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างชาวออสเตรเลีย จำนวน 2,013 ราย ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง  เนื่องจากมีความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และน้ำหนักตัวมาก พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่บริโภคโกโก้เข้มข้น 70% ปริมาณ 100 กรัม หรือรับประทานดาร์ค ช็อกโกแลต เพียงหนึ่งบล็อกจากแผง เป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่องราว 10 ปี มีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคดังกล่าวลดลง ที่เป็นเช่นนี้เพราะโกโก้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ “โพลีฟีนอล”  ซึ่งมีประสิทธิภาพในการขยายเส้นเลือด จึงสามารถลดความดันโลหิต และช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

วิธีรับประทาน :
การดื่มโกโก้ร้อน ๆ ให้ได้ผลดีนั้น ควรเลือกโกโก้ชนิดสีเข้ม ไม่ใช่สีจาง และชงโกโก้เอง เช่น ชงโกโก้ในน้ำร้อน เติมนมไขมันต่ำ หรือนมไม่มีไขมัน เติมน้ำตาลแต่น้อย... และถ้าจะให้ช่วยเสริมสุขภาพยิ่งขึ้น ก็สามารถเติมน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil ลงไปด้วยยิ่งดี แค่นี้คุณก็จะได้โกโก้รสหอมชื่นใจ เพิ่มพลังงาน และกระตุ้นระบบการไหลเวียนของโลหิต ทำให้คุณสดชื่นมีพลังงานตลอดทั้งวัน (ถ้าดื่มในมื้อเช้า) แต่ถ้าดื่มก่อนนอนก็จะช่วยให้คุณหลับอย่างสบาย ๆ... โกโก้ เครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ยิ่งผู้สูงอายุ และเด็กน้อยแล้ว...ยิ่งเหมาะมาก ๆ เลยล่ะค่ะ

3. สิ่งที่ควรระวัง.. แบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร

โดยธรรมชาติแล้วเชื้อแบคทีเรียจะมีปะปนมากับอาหารทุกชนิด แต่เมื่อนำมาปรุงอาหารโดบผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ที่ถูกต้อง และถูกสุขลักษณะ เชื้้อเหล่านี้ก็จะสลายไป  หากเราปฏิบัติไม่ถูกวิธีเชื้อเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เช่น ในอาหารแห้ง ได้แก่ กะปิ น้ำพริกแกง หรืออาหารปรุงสำเร็จแล้วแต่ยังร้อนไม่ได้ที่ หรือปล่อยทิ้งไว้นานกว่าจะนำไปแช่แข็งหรือแช่เย็น อาหารดิบ อาหารที่ปรุงแบบดิบ ๆ สุก ๆ อาหารจำพวกนี้อาจมีเชื้อแบคทีเรียปะปนอยู่ ที่ทำให้เกิดอาการถ่ายท้อง ปวดบิด คลื่นไส้ อาเจียน... ซึ่งอาการเหล่านี้ น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil สามารถรักษาอาการถ่ายท้องได้ชะงักนัก เพราะมันมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และพวกปรสิตต่าง ๆ ได้ดี อีกทั้งมีผลงานวิจัยยืนยันหลายผลงาน

จากประสบการณ์ส่วนตัวของตนเอง ตอนก่อนที่เริ่มทาน KAMIL HABBATUSSAUDA ในครั้งแรก ก็มีอาการถ่ายกระปิด กระปอย เหมือนคนท้องเสีย ซึ่งอาจจะมาจากการติดเชื้อหรือลำไส้อักเสบ จากการทานอาหารไม่เป็นเวลาอยู่ช่วงหนึ่ง  พอเริ่มทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ของ KAMIL ไปแค่วันเดียว ก็หยุดถ่ายท้อง และมีอาการปกติ  และเมื่อได้มาค้นคว้าและแปลผลงานวิจัยต่าง ๆ  จึงได้ทราบข้อเท็จจริงว่า  ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ไม่เพียงแต่รักษาโรคที่มาจากความเสื่อมของร่างกายเพียงอย่างเดียว เหมือนกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วไปในท้องตลาด      แต่ฮับบาตุซเซาดะฮ์สามารถเป็นยารักษาอาการติดเชื้อ หรือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อได้
อีกด้วย 

ดังนั้น KAMIL HABBATUSSAUDA จึงขอยืนยันเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ทุกท่านว่า.. “อาการท้องเสีย หรือถ่ายท้อง ที่มาจากการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารนั้น น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil สามารถบำบัดอาการเหล่านี้ได้จริง”

ส่วนการติดเชื้อที่มาจาการรับประทานอาหารประเภทหอยทั้งหลาย เช่น หอยแคลง หอยแมลงภู หอยนางรมนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดอาการท้องเสีย หรือถ่ายท้อง แต่จะทำให้มีไข้ และมีอาการแพ้ทางผิวหนัง ซึ่งผู้ป่วยมีโอกาสถึงตายได้ถึง 50% นั้น  เราไม่อาจรับรองได้ว่าฮับบาตุซเซาดะฮ์จะช่วยคุณได้ หรือไม่? เนื่องจาก “หอย จัดอยู่อาหารที่ห้ามบริโภคตามหลักการอิสลาม”  ทั้งนี้ เนื่องจากมันมีโทษและมีพิษต่อมนุษย์นั่นเอง 

4. อันตรายจากโรคอ้วน Obesity
โรคอ้วน (Obesity) ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก พฤติกรรมในการใช้พลังงาน การนั่งทำงานอยู่กับที่ ไม่ได้มีขยับเขยื้อนร่างกาย หรืออกกำลังกาย และพฤติกรรมในการบริโภค มีการรับประทานอาหารในแคลอรี่ที่สูง ส่งผลให้ร่างกายเกิดสภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) หรือความผิดปกติของระดับอินซูลินในกระแสเลือดอยู่ในระดับที่ต่ำ (Hypoinsulinemia) นำไปสู่สภาวะของระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดที่สูง (Hyperglycemia) และขั้นต่อมา ก็คือ ทำให้เกิดการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง เนื้องอก หรือเนื้อร้าย (ซึ่งในรูปภาพแสดงให้เห็นถึงการเกิดมะเร็งในโพรงมดลูก)

*Hyperglycemia หมายถึง สภาวะที่มีระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดสูง คือ มีระดับน้ำตาลสูงกว่า (200 mg / dl ) แต่อาการอาจจะยังไม่แสดงให้เห็นได้ชัดเจน จนกว่าค่าสูงถึง 250-300 mg/dl โดยสมาคมเบาหวานอเมริกา ถือว่าระดับน้ำตาลระหว่าง 100 และ 126 mg / dl ถือว่าอยู่ในภาวะ Hyperglycemia ในขณะที่ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือด 126 mg / dl เป็นเรื่องปกติที่จะมีใน
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และระดับโรคเรื้อรังที่มีน้ำตาลเกินกว่า 125 mg / dl นั้น สามารถสร้างความ
เสียหายต่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้ และอาจทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ตามมา

**Carcinogenesis คือ กระบวนการที่เซลล์ปกติกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง และในที่สุดก็มีการขยายตัวหรือการแบ่งตัวลุกลามเป็นเนื้อมะเร็งร้าย
***Cytokines คือ เนื้องอก เนื้อร้าย 
นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักตัวเกิน เป็นปัจจัยเสี่ยงหรือสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ หลายโรค ได้แก่
  • โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์/อัมพาต)
  • โรคเบาหวาน
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคไขมันในเลือดสูง
  • โรคนิ่วในถุงน้ำดี เพราะการมีไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้น้ำดีจากตับมีไขมันสูงตามไปด้วย ซึ่งไขมันจะตกตะกอนเกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย
  • มีปัญหาในการหายใจ มักเป็นโรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea)
  • เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายโรค เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหารความตึงเครียดทางอารมณ์ หรือความเครียดความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า  

ไม่มีความคิดเห็น: