แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคหัวใจและหลอดเลือด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคหัวใจและหลอดเลือด แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผลงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ เพื่อลดระดับคอเลสเตอรอล

งานวิจัยเรื่อง : Effectof Prophetic Medicine Kalonji (Nigella sativa L.) On Lipid Profile ofHuman Beings : An In Vivo Approach (ประสิทธิผลของฮับบาตุซเซาดะฮฺ ที่มีต่อระดับไขมันในร่างกายของมนุษย์)
โดย : Inayat Ullah Bhatti, Fazal Ur Rehman, Muhammad Aslam Khan, and Sarfaraz Khan Marwat
จากสถาบัน : Gomal University D.I.Khan (NWFP), Pakistan (ประเทศปากีสถาน)

บทนำ

เนื่องจากกลุ่มไขมัน (total lipid profile) ภายในร่างกาย มาจากคอเลสเตอรอลในเลือด ประกอบด้วย HDL (คอเลสเตอรอล ชนิดดี), LDL (คอเลสเตอรอล ชนิดเลว), และไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อระดับความดันโลหิต และเป็นที่มาของโรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคหลอดเลือดในสมอง  ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Kalonji) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วโลกในการนำมาใช้เป็นยาสามัญ ดังปรากฏในตำราแพทย์ Tibb-e-Nabawi (Prophet’s Medicine) และในหลาย ๆ ฮะดีษที่รายงานวจนะของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) “ฮับบาตุซเซาดะฮฺ เป็นยาบำบัดทุกโรค”  นอกจากนี้ เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ได้ถูกนำมาใช้เป็นยาทางอายุรเวทไปทั่วโลก และมีการใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี เพื่อเป็นยาขับพยาธิไส้เดือนและพยาธิตัวตืด  นอกจากนี้และในงานวิจัยที่ผ่านมา ได้มีผู้นำสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ไปทดสอบประสิทธิภาพการใช้งาน ที่หลากหลายในคนและสัตว์  อีกทั้งได้มีการใช้ Thymoquinone และ Polythymoquinone มาทำการวิจัย โดยทดลองใช้กับหนู สุนัข และหนูตะเภา เพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการขับกรดยูริคทางปัสสาวะ การหลั่งน้ำดีจากตับ และสารแอนตี้ฮีสตามีน  สรุปได้ว่าฮับบาตุซเซาดะฮฺช่วยขับกรดยูริค ช่วยกระบวนการขับถ่ายน้ำดี และให้สารแอนตี้ฮีตามีนที่เข้มข้น


ดังนั้น ในการวิจัยครั้งนี้ จึงได้ทำการศึกษา  ผลกระทบของ “ฮับบาตุซเซาดะฮฺ” ที่มีต่อระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ได้แก่ HDL, LDL และไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride)  โดยทำการศึกษาจากคน (human models) เพื่อหาความเป็นไปได้ในการลดระดับคอเลสเตอรอลว่า สมจริงดั่งวจนะที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ หรือไม่ ?



วิธีการวิจัย :

จัดทำโดยการประเมินปฏิกิริยาตอบสนองของฮับบาตุซเซาดะฮ์ต่อผู้ป่วยที่มีระดับไขมันในเส้นเลือดสูง  โดยคัดเลือกผู้ป่วยชายที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 10 คน มีอายุระหว่าง 50-55 ปี แล้วจดบันทึกประวัติทางกายภาพและพยาธิสภาพไว้ โดยให้ผู้ป่วยทุกคนใช้วิถีชีวิตตามปกติ และทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางกายภาพเหมือนเดิม  พวกเขาทุกคนถูกกำหนดให้รับประทานฮับบาตุซเซาดะฮ์วันละ 1 กรัม ก่อนอาหารเช้า เป็นเวลา 2 เดือน  และตรวจวัดความดันโลหิตไว้ทั้งก่อนและหลังให้การรักษา

ผลลัพธ์ (Result) :

จากการตรวจวัดระดับคอเลสเตอรอล(total cholesterol), HDL, LDL และไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride)  ด้วยการตรวจวัดค่าหลังจากผู้ป่วยอดอาหารเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ผลปรากฏว่า ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดหลังให้การรักษาลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ก่อน 261.8 mg/dl, หลัง 21 6.3mg/dl) เช่นเดียวกันระดับ LDL ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ก่อน 238.8 mg/dl, หลัง 188.0 mg/dl) ในทางกลับกันระดับ HDL (คอเลสเตอรอล ชนิดดี) มีค่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ก่อน 43.2 หลัง 54.4 mg/dl) ส่วนค่าไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (ก่อน 275.9 หลัง 235.5mg/dl) ผลสรุปในภาพรวมทั้งหมดแสดงให้เห็นในภาพ Fig 1

ความคิดเห็น :
เนื่องจากภาวะไขมันในเลือดสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจ, การลดความเข้มข้นของคอเลสเตอรอลในเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง LDL จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ  ดังนั้นฮับบาตุซเชาดะฮ์ ซึ่งเป็นยาสามัญที่รู้จักกันไปทั่วโลกในทางการแพทย์ของอายุรเวท และการแพทย์ของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) Tibb-e-Nabawi (Prophet’s Medicine) จึงถูกนำมาศึกษาในครั้งนี้ และพบว่า มันให้ผลกระทบ ที่หลากหลายในกลุ่มไขมันรวม ( total lipid profile )  โดยมีนัยสำคัญในการลดระดับคอเลสเตอรอล และระดับ LDL-คอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันชนิดเลว ดังนั้น ผลลัพธ์เหล่านี้จึงบ่งชี้ว่า ฮับบาตุซเซาดะฮฺ Nigella sativa (Kalonji) มีบทบาทในการป้องกันโรคหลอดเลือด และภาวะความดันโลหิตสูง  ซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยมาแล้ว ทั้งในแคนนาดา อียิปต์ และประเทศอื่น ถึงประสิทธิภาพของ Thymoquinone โดยการใช้หนูทดลอง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ไม่มีความแตกต่างกัน
การศึกษาในครั้งนี้ จึงเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของ Nigella sativa (Kalonji) ในการลดระดับคอเลสเตอรอล และระดับ LDL-คอเลสเตอรอล  อย่างไรก็ตาม ในอนาคตควรจะมีการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มประชากรที่มีขนาดใหญ่ ทั้งในด้านปริมาณและคุณสมบัติในเรื่องดังกล่าวนี้อีก
บทสรุป :
ในฮับบาตุซเซาดะฮฺมีสารที่ต่อต้านการแข็งตัวของหลอดเลือด (antiatherogenic) และให้ผลลัพธ์อย่างมีนัยสำคัญในการลดระดับ LDL และเพิ่มระดับ HDL  จึงสามารถป้องกันมิให้เส้นเลือดอุดตันได้  ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงเป็นไปตามที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้อย่างแท้จริง

“ฮับบาตุซเซาดะฮฺ เป็นยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย”

-------------------

Source : World Applied Sciences Journal 6 (8): 1053-1057, 2009 ISSN l818-4952
http://idosi.org/wasj/wasj6(8)/7.pdf
แปลโดย : KAMIL HABBATUSSAUDA

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สารอาหารที่สำคัญในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil)

ในน้ำมันฮับบาตุซเซาะดะฮ์ (Black Cumin Seed Oil) ประกอบสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 100 ชนิด ซึ่งจะทำงานร่วมกัน จึงมีผลในการเสริมภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกาย ขจัดอนุมูลอิสระ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต ช่วยสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย ลดความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ช่วยปรับสมดุลของระดับฮอร์โมนต่าง ๆ ทำให้ร่างกายคงความเป็นหนุ่มสาวอย่างสมบูรณ์ มีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ดังนั้น จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมด้วยวิธีธรรมชาติ  

องค์ประกอบของสารอาหารที่สำคัญ 
ในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil ประกอบด้วยสารพฤกษเคมี และสารอาหารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ในสัดส่วนที่เหมาะสมแก่การนำไปใช้บำบัดรักษาโรค และสร้างภูมิต้านทานโรค ได้แก่ :-

โอเมก้า 6 และ 3
โดยปกติในการปรับสมดุลในร่างกายนั้น โอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 ควรจะอยู่ในสัดส่วน 3:1 ในขณะที่สารสกัดที่ได้จาก Black Seed Oil ไม่ได้อยู่ในสัดส่วนนี้ แต่ช่วยทำให้เกิดขบวนการสร้าง Prostaglandin E1
  • โอเมก้า 6 (กรดไลโนลินิก) มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย สมองและหัวใจ ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ
  • โอเมก้า 3 (กรดลิโนเลอิก) หรือเราเรียกกันว่า Fish Oil จะพบได้เฉพาะในปลาทะเลน้ำลึกเท่านั้น มีสาร EPA ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด, ช่วยลดความดันโลหิต, คอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, ลดการอักเสบของข้อ, ช่วยในการสังเคราะห์ prostaglandin, และลดการหลั่ง serotonin ของเกร็ดเลือด จึงช่วยลดอาการไมเกรน และมีสาร DHA ช่วยบำรุงสมอง

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ, ช่วยต่อต้านการอักเสบ, ลดอาการปวด, ช่วยกระตุ้นการผลิตของน้ำดี, ช่วยในการเผาผลาญไขมันและล้างพิษ  นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันอาการหอบหืด ยับยั้งการหลั่งฮิสตามีน ซึ่งมีผลในการรักษาโรคภูมิแพ้บางชนิด  ได้มีการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Thymoquinone ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ เช่น ต้อกระจก, โรคหัวใจ, ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ, โรคพาร์คินสัน, โรคไขข้ออักเสบ, โรคอัลไซเมอร์, เส้นโลหิตแตกในสมอง (Strokes), โรคเบาหวาน, และมะเร็ง

Prostaglandin E1 (PGE1)
เป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของน้ำมันหอมระเหย ช่วยขยายหลอดเลือด, ช่วยระบบการทำงานของสมองและสารสื่อประสาท, ช่วยลดความดันโลหิต, ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน, กระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว, ลดอาการภูมิแพ้, การอักเสบของผิวหนัง, ช่วยขยายหลอดลม ช่วยในการหลั่งฮอร์โมนธัยรอยด์, และอินซูลิน
Nigellone
เป็นสารอออกฤทธิ์ที่มาจาก thymoquinone มีความสามารถในการรักษาความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคไอกรน
Saponin Melathin (Anti Parasit)
  • มีคุณสมบัติทำความสะอาดที่ดี จึงถูกใช้เป็นยาระบายและทำลายปรสิต มันเหมาะสำหรับการทำลายเชื้อปรสิตในเด็กทารก ที่สมุนไพรส่วนใหญ่จะมีความรุนแรงมากเกินไป
  • ช่วยส่งเสริมการดูดซึมของสารอาหาร ช่วยในการเผาผลาญอาหาร เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยเพิ่มขึ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
  • ช่วยส่งเสริมการทำความสะอาดลำไส้   
วิตามิน B2  ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
วิตามินบี B1  ช่วยขบวนการเผาผลาญ ช่วยเสริมประสิทธิภาพระบบประสาทและสมอง ช่วยย่อยอาหาร สร้างความสดชื่นและกระปรี้กระเปรา 
วิตามินบี B3  ช่วยในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ช่วยส่งเสริม
สุขภาพของระบบประสาท, ผิวหนัง, ผม, ตา, ปาก, และตับ
เบต้าแคโรทีน อยู่ในพืชผักผลไม้สีเหลืองและส้ม มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณอย่างมาก คือ ต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant), ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง, ดูแลสุขภาพปอด, ช่วยในการมองเห็น, ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจก, ต่อต้านริ้วรอย (anti-aging), ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรค, ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง, ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดด


กรดอะมิโน 15 ชนิด  เป็นองค์ประกอบของโปรตีน ในจำนวนนี้มีกรดอะมิโนที่จำเป็น 9 ชนิด ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น
  1. Isoleusine  เสริมสร้างการเจริญเติบโต สนับสนุนการทำงานของระบบประสาท ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ปกติ ช่วยให้ตับขับสารพิษได้ดี
  2. Leucine  ช่วยบำรุงตับ
  3. Lysine  เสริมสร้างการเจริญเติบโต เสริมสร้างภูมิต้านทาน ป้องกันและรักษาโรคเกี่ยวกับเชื้อไวรัส
  4. Methionine  ป้องกันการสะสมไขมันในตับ ป้องกันโรคซึมเศร้า
  5. Phenylalanine  ควบคุมการทำงานของเม็ดสีของเซลล์ และผิวหนัง เป็นสารช่วยถ่ายทอดข้อมูลจากสมองสู่ระบบประสาท
  6. Threonine  เสริมสร้างการเจริญเติบโต ป้องกันไขมันเกาะตับ
  7. Tryptopan  ช่วยสร้างสารสื่อประสาท และวิตามินบี 3 และช่วยให้หลับสบาย
  8. Valine  เสริมสร้างการเจริญเติบโต รักษาสมดุลไนโตรเจนในเลือด
  9. Histidine  จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ช่วยการทำงานของระบบประสาท
แอล-อาร์จินีน (L-Arginine) คือกรดอะมิโน ที่ถือว่าเป็น "โมเลกุลมหัศจรรย์" มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล เพราะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) เพื่อช่วยในเรื่องการขยายตัวของหลอดเลือด ลดความดันโลหิต รวมทั้งกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาว ช่วยชะลอความชรา (anti-aging),  และทำให้นอนหลับสนิท (deeply satisfying sleep)   

เกลือแร่ต่าง ๆ ได้แก่ แคลเซียม, เหล็ก, ฟอสฟอรัส, โซเดียม, โปตัสเซียม, เหล็ก, ทองแดง, สังกะสี, ซิลิเนียม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ
  • แคลเซียม ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูก ควบคุมน้ำหนัก ควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูง
  • ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุสำคัญ ทำหน้าที่ร่วมกับแคลแซี่ยมในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยกระบวนการสร้างพลังงาน ช่วยกระบวนการเผาผลาญกรดอะมิโน และการสร้างโปรตีน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเอนไซม์ต่าง ๆ และกรดนิวคลิอิก ซึ่งมีความสำคัญต่อการส่งถ่ายพันธุกรรม
  • โซเดียม ช่วยควบคุมสมดุลระหว่างแคลเซียมและโปตัสเซียม เพื่อควบคุมหัวใจให้ทำหน้าที่ปกติและสม่ำเสมอ, ช่วยการส่งผ่านสัญญาณประสาท (nerve impulse) ไปยังกล้ามเนื้อเพื่อให้หดตัว, ช่วยขบวนการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เซลล์, กระตุ้นประสาทให้ทำงาน และเป็นตัวเก็บเกลือแร่อื่น ๆ ให้อยู่ในร่างกาย
  • โปตัสเซียม ช่วยร่างกายในการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรต โดยเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคส (GLUCOSE) ให้เป็น GLYCOGEN ซึ่งพร้อมที่จะเก็บไว้ที่ตับ เพื่อใช้ให้พลังงานแก่ร่างกายในคราวจำเป็น, ช่วยกระตุ้นให้ไตขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย, ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ โดยให้มีการบีบตัวและรัดตัวดีขึ้น, ทำงานร่วมกับโซเดียมในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้เป็นไปอย่างปกติ
  • เหล็ก (Iron) ช่วยสร้างเฮโมโกลบิล ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค
  • ทองแดง (Copper) ช่วยป้องกันการเป็นโรคกระดูกพรุนได้, ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอลที่ไม่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ทำให้ไม่เป็นโรคอ้วน, ช่วยแปรธาตุเหล็กให้เป็นเฮโมโกลบิลที่จำเป็นต่อร่างกาย คนที่ขาดแร่ธาตุทองแดง จะส่งผลทำให้เป็นโรคธาลัสซีเมีย หรือโรคเลือดจาง
  • สังกะสี (Zinc) ช่วยในการดูดซึมของวิตามิน, เป็นส่วนประกอบของน้ำย่อย, ชะลอความแก่, ช่วยในการปฏิบัติงานของอินซูลิน, ช่วยต่อมลูกหมากทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ป้องกันมิให้เป็นหมัน, ช่วยรักษาแผล, ป้องกันสิว, ช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอล, ช่วยป้องกันโรคต้อกระจก
  • ซีลีเนียม ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง, ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด, ช่วยฆ่าเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย, ช่วยยับยั้งความเสียหายของ chromosome, ช่วยต่อต้านสารพิษและโลหะหนักไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย, ช่วยลดปัญหาภาวะมีบุตรยากในผู้ชาย, และความผิดปกติในสตรีวัยหมดประจำเดือน