วันนี้ KAMIL HABBATUSSAUDA ขอนำเรื่อง “โรคความดันโลหิตสูง” มานำเสนอทุกท่าน เนื่องจากมันคืออันตรายใกล้ตัวที่สุดที่เราทุกคนไม่ควรมองข้าม “มัจจุราชเงียบ” ที่มาเยี่ยมเยือนเราโดยไม่รู้ตัว
และไม่บอกกล่าวอย่างไร้มารยาท โดยในปี 2543 ประชากร
1 แสนคน พบผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 259.02 และพบเพิ่มเป็น 1,349.39 ในปี 2553 ซึ่งถือว่ามีอัตราสูงขึ้นกว่า 5
เท่า
จากผลการสำรวจสภาวะสุขภาพอนามัยของประชาชนไทย
โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 (พ.ศ.2551-2552) พบว่า
ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง ร้อยละ 60 ในผู้ชาย และร้อยละ
40 ในผู้หญิง ไม่เคยได้รับการตรวจวินิจฉัยมาก่อน พูดง่ายๆ คือ ไม่รู้ตัวว่าเป็นความดันโลหิตสูง
นพ.วิชัย เทียนถาวร
อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “มีหลายประเด็นที่พี่น้องคนไทยไม่รู้ ไม่ใส่ใจ
รู้ทั้งรู้ หรือยังเข้าใจผิดอยู่ เมื่อลงพื้นที่หลายจังหวัดก็จะพบประเด็นต่าง ๆ
เช่น
คิดว่าโรคนี้จะต้องมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น หรือเหนื่อยง่าย
เมื่อไม่มีอาการก็นึกว่าไม่เป็นโรคนี้ ความจริงส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 จะไม่พบโรคหรือภาวะผิดปกติ”
**เราจะทราบว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือไม่?? มีวิธีการเดียวเท่านั้น คือการตรวจวัดความดันโลหิต เป็นระยะ ๆ บางรายนึกว่าคนผอมไม่เป็นความดันโลหิตสูง ความจริงแล้วโรคนี้พบได้ทั้งคนอ้วนและคนผอม ยิ่งพ่อแม่เป็นแนวโน้มลูกจะได้มรดกมา มากถึง 3 เท่า
นพ.วิชัยฯ ได้กล่าวว่า เมื่อคราวลงพื้นที่ อ.เมืองสิงห์บุรี มีชายไทยอายุ 50 ปี เป็นความดันโลหิตสูงถึง 200/100 มิลลิเมตรปรอท (เป็นโรคระดับ 3 สีแดง) รักษามากนานมาก ให้ยาทุกชนิดก็ไม่ลง พยาบาลจึงลงไป "สอบสวนโรค พบว่า ลูกชายอายุ 18 ปี ติดยาเสพติด ทำให้พ่อเครียดกินยาอย่างไรก็ไม่ลง จึงต้องรักษา "ลูก" ที่ติดยาก่อน ความดันโลหิตสูงของพ่อก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ไม่ต้องกินยาลดความดัน (( นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า “ความเครียด” เป็นสาเหตุหนึ่งของความดันสูง ซึ่งใช้ยาตัวไหนก็รักษาไม่หาย ))
ผู้ป่วยอีกรายหนึ่ง เป็นชายไทยอายุ 60 ปี เป็นความดันโลหิตสูงระดับสีแดง 180/100 กินยาต่อเนื่องมาเรื่อย วันหนึ่งไปตรวจวัดความดันที่โรงพยาบาลพบว่า ความดันอยู่ในระดับปกติ หลังเวลาผ่านไป 10 วัน ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บ จุก แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หัวใจหยุดเต้น ต้องปั๊มหัวใจและแก้ไขได้ทันรอดตาย เมื่อทำการสอบสวนโรคจึงพบว่า หลังตรวจวัดว่า “ปกติ” ผู้ป่วยเลยคิดว่า "ตัวเองหาย" จึงไม่ได้กินยา ขาดยาไป 10 วัน กอปรกับช่วงเวลาดังกล่าวมีภาวะเครียด ความดันขึ้น ทำให้มีอาการจุกหน้าอก หัวใจขาดเลือดกะทันหัน และความดันที่วัดขณะนั้นสูงถึง 210/110 มิลลิเมตรปรอท
วิเคราะห์จากสถานการณ์ข้างต้น นพ.วิชัยฯ จึงต้องการจะบอกให้ทุกท่านได้ทราบข้อเท็จจริงว่า "โรคความดันโลหิตสูง เป็นแล้วเป็นเลย รักษาไม่หายขาด จะเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต”
(ที่มา : เว็บไซด์ของ สสส. ซึ่งสรุปบทความของ นพ.วิชัย เทียนถาวร จาก นสพ.ประชาชาติธุรกิจ)
ท่อน้ำเก่า (เส้นโลหิต)ใช้งานมานาน มันก็ต้องกรอบแข็ง มีคราบสนิมจับเกรอะกรังไปหมด ทำให้ปั้มน้ำ (ห้วใจ) ต้องทำงานหนักขึ้น ร่างกายก็เลยมีเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ไม่เพียงพอ จึงเป็นสาเหตุของโรคเรื้อต่าง ๆ อีกหลายโรคตามมา เช่น หัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือด ไตขาดเลือด ตาบอด ปลายมือปลายเท้าขาดเลือด ทำให้เกิดอาการชา เป็นต้น แล้วเราจะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายอย่างไร เพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ ที่มีจากความเสื่อมของระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย การป้องกันไว้ก่อน น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
โรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่ตามมาจากการป่วยด้วย "โรคความดันโลหิตสูง" |
ดังนั้น ท่านผู้อ่านที่ติดตามบล็อกของ KAMIL HABBATUSSAUDA มาโดยตลอด น่าจะทราบเป็นอย่างดีว่า "น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์" สามารถบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ทั้งโรคที่มาจากความเสื่อม และโรคที่มาจากการติดเชื้อ อีกทั้งเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง มีระดับฮอร์โมนที่สมดุล และมันคือสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ในแพทย์ทางเลือก ตามแนวทางป้องกัน และเป็นการบำบัดรักษาโดยวิถีทางธรรมชาติ ที่ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ซึ่งในทางกลับกันยาทางเภสัชกรรม สามารถรักษาโรคได้ หรือระงับอาการที่ปลายเหตุ แต่มันก็ให้ผลข้างเคียงต่าง ๆ ที่เป็นผลเสียต่อร่างกายติดตามมา เมื่อมีการใช้ในระยะยาว
หมายเหตุ : ลิงค์งานวิจัยเกี่ยวกับ ฮับบาตุซเซาดะฮ์สามารถรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งมีผลต่อการลดความดันโลหิต นั่นเอง
มีงานวิจัยทางคลินิก พบว่า "น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือที่ตำรายาไทยเรียกว่า น้ำมันเทียนดำ สามารถลดความดันโลหิตได้ (ดูจากลิงค์บทความใหม่..http://kamil-habbatussauda.blogspot.com/2013/01/blog-post.html)
ตอบลบ