“มะเร็งตับ” เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 2 ในเพศหญิง
และผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตับนี้ถ้ารู้ตัวก็มักจะเสียชีวิตใน 3 -6 เดือน
1.
ไวรัสตับอักเสบบีและซี จากข้อมูลทางสถิติพบว่า 80%
ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีและซีมาก่อน
โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติถึง 223 เท่า
2. ตับแข็ง
ประมาณ 90% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจะมีอากรตับแข็งร่วมด้วย
3. ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
ทำให้มีอาการตับแข็ง
4. ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือมีโรคอ้วน
4.
สารอะฟลาท๊อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง
ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ เป็นสารก่อมะเร็ง
จึงเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ จากการศึกษาพบว่า อะฟลาท๊อกซิน
มีความสัมพันธ์กับไวรัสตับอักเสบบี
โดยเชื่อว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นตัวทำให้เกิดมะเร็งตับ และอะฟลาท๊อกซินเป็นตัวเสริม ดังนั้น ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี
จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วลิสง โดยเฉพาะถั่วลิสงป่นที่เก็บค้างไว้นาน
ๆ ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว และเต้าหู้ยี้
เราจะทราบได้อย่างไรว่า..กำลังเป็นมะเร็งตับ
?
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ
มีอัตราการอยู่รอดต่ำ ก็คือ มะเร็งตับในระยะแรก ซึ่งจะสามารถรักษาให้หายขาดได้นั้น
มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนออกมา โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลุมเครือ เช่น เสียดท้องด้านขวา
มีอาการจุกแน่นในบางครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการอะไรเลย ทั้งนี้
ก็เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีกำลังสำรองมาก
คนเราสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของตับประมาณ 30% ดังนั้น
เมื่อโรคปรากฏอาการชัดเจน มะเร็งก็อยู่ในระยะลุกลาม หรือมีขนาดใหญ่และไม่สามารถจะรักษาได้แล้ว
อาการของผู้ป่วยมะเร็งตับ
รู้สึกอ่อนเพลีย
เบื่ออาหาร จุกเสียด แน่นท้อง น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอาการที่เด่นชัด ก็คือ
ปวดชายโครงด้านขวา โดยอาจร้าวไปที่ไหล่ด้านขวาหรือลำตัวซีกขวา
และอาจคลำพบก้อนที่ชายโครง
และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ลึกมาก หรือเฉพาะในกลีบซ้ายของตับ แต่โดยทั่วไปผู้ป่วยมะเร็งตับในบ้านเรา มักมาพบแพทย์เมื่ออยู่ในระยะที่ไม่สามารถที่จะผ่าตัดให้หายขาดได้ รวมไปถึงบางรายที่แม้ผ่าไปแล้ว ต่อมาพบมะเร็งเกิดขึ้นซ้ำอีก เนื่องมาจากมะเร็งได้กระจายไปในระดับเซลล์แล้วตั้งแต่ก่อนผ่าตัด แต่ยังไม่ถึงกับเป็นก้อนให้ตรวจพบได้ ก่อนหน้านี้เมื่อผู้ป่วยอยู่ในระยะที่ผ่าตัดไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีวิธีรักษาอื่นอีก แพทย์มักแนะนำให้ญาติกลับไปดูแลผู้ป่วยเองที่บ้าน หรือให้เพียงการรักษาประคับประคองกับผลแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากมะเร็งตับ
ในปัจจุบัน มีการรักษาอีกทางหนึ่งซึ่งจะช่วยยืดอายุผู้ป่วยมะเร็งตับให้ยืนยาวต่อไปได้อีก
ทางการแพทย์เรียกว่า Transarterial Oily-chemoembolization ( TOCE ) เป็นการรักษาโดยรังสีแพทย์ หลักการคือการนำยาเข้าไปรักษาที่ตัวก้อนเนื้องอกในตับโดยตรง
การรักษาวิธีนี้จะทำให้เนื้องอกได้รับยาอย่างเต็มที่
ยาสามารถออกฤทธิ์อยู่ได้นาน ทำให้เนื้องอกฝ่อเป็นบางส่วน เนื้องอกยุบตัว
และขนาดเล็กลง อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แต่เมื่อเทียบกับการที่ไม่ได้รับการรักษาใดเลย
ผู้ป่วยอาจมีอายุเพิ่มขึ้นได้อีกหลายเดือน หรืออาจจะเลยปี และช่วยให้ผู้ป่วยจะเจ็บปวดและทรมานจากโรคน้อยลง
สามารถมีชีวิตอยู่อย่างสบายขึ้น
ดังนั้น
เพื่อความปลอดภัยจากโรคร้ายนี้ จึงควรหลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และหากป่วยเป็นมะเร็งตับแล้ว..จะทำอย่างไรดีเล่า!!
KAMIL HABBATUSSUADA มีลูกค้าคนหนึ่งอยู่ที่เชียงใหม่
เธอสั่งซื้อน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil ของ KAMIL เมื่อวันที่ 16 ก.ย.นี้เอง
เพื่อรักษามารดาของเธอ ซึ่งอายุ 70 กว่าปีแล้ว
ป่วยเป็นมะเร็งตับ ระยะที่ 4 เธอไม่ได้ให้มารดาของเธอรับการรักษาด้วยการผ่าตัด
หรือเยียวยาตามการแพทย์แผนปัจจุบันมากนัก เนื่องจามารดาของเธออายุมาแล้ว
คงทนรับผลกระทบจากการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันไม่ไหว เธอจึงได้แสวงหาสมุนไพร
หรือวิธีการรักษาทางธรรมชาติ จากข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต แล้วก็ได้มาพบเว็บบล็อกของ KAMIL HABBATUSSAUDA
โอ้..พระเจ้า
มันคือทางรอดอันน้อยนิดที่ยังมีเหลืออยู่ เธอโทรมาดิฉันด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและสั่นเครือ ซึ่งดิฉันก็บอกว่า
"มิอาจรับปากได้นะ ว่าคุณยายจะรอดหรือไม่? เพราะไม่สามารถทราบได้ว่า
อายุขัยของคุณยายจะจบลงเมือ่ไร? แต่ถ้าตัดสินใจรับประทานก็มีแต่ผลดีเกิดขึ้น
ไม่มีผลเสียหาย"
ดังนั้น
เธอจึงได้ตัดสินใจสั่งซื้อเพื่อทดลองทานดูก่อน 1
กระปุก และได้ให้คุณแม่ของเธอรับประทาน พร้อมทั้งตัวเองก็ลองทาน
เพื่อรักษาอาการเบาหวานของเธอด้วย
ผลลัพธ์ที่ได้ภายในช่วงเวลาแค่ 10 วัน เธอบอกว่า คุณยาย (หมายถึง คุณแม่ของเธอ) มีอาการดีขึ้นมาก อาการตัวเหลืองน้อยลงกว่าเดิม และตัวเธอเองที่เป็นเบาหวาน ก็ได้ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือด พบระดับน้ำตาลในเลือดลดลง..
(( ขอขอบพระคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้โปรดประทานพืชสมุนไพรนี้ มาให้เป็นยาบำบัดรักษาโรคทั้งหลาย ที่เกิดแก่มวลมนุษยชาติ ))
ผลลัพธ์ที่ได้ภายในช่วงเวลาแค่ 10 วัน เธอบอกว่า คุณยาย (หมายถึง คุณแม่ของเธอ) มีอาการดีขึ้นมาก อาการตัวเหลืองน้อยลงกว่าเดิม และตัวเธอเองที่เป็นเบาหวาน ก็ได้ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือด พบระดับน้ำตาลในเลือดลดลง..
(( ขอขอบพระคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้โปรดประทานพืชสมุนไพรนี้ มาให้เป็นยาบำบัดรักษาโรคทั้งหลาย ที่เกิดแก่มวลมนุษยชาติ ))
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณากรอกชื่อ หรือนามแฝง หรืออีเมลล์ด้วยค่ะ