Antidiabetic Properties of a Spice
Plant Nigella sativa
โดย
: Murli
L. Mathur*, b, Jyoti Gaur, Ruchika Sharma, Kripa Ram Haldiya
Desert Medicine Research Center (Indian Council of Medical Research), India
From : Journal of Endocrinology and Metabolism, Vol. 1, No. 1, Apr 2011
-------------------------------
บทคัดย่อ
(Abstract) :
เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
Nigella sativa (ยี่หร่าดำ/Kalonji) ที่เรานิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรสในผักดองนั้น ได้ถูกนำมาใช้สืบเนื่องกันมาแต่โบราณ
เพื่อการรักษาโรคต่าง
ๆ อย่างมากมาย รวมทั้งโรคเบาหวาน และความดันโลหิต ในจำนวนบทบาทและศักยภาพที่หลากหลายของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) รวมทั้งองค์ประกอบของสารอาหารที่อยู่ในเมล็ด
ซึ่งแสดงออกให้เห็นผลลัพธ์จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองนั้น เรื่องการป้องกันโรคเบาหวานเป็นบทบาทที่สำคัญที่สุด โดย Thymoquinone
(TQ) หรือน้ำมันหอมระเหย เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่มีบทบาทเป็นอย่างมาก แต่ในการป้องกันโรคเบาหวานนั้น บทบาทของมันได้ถูกแสดงออกทั้งจากสารสกัดที่เป็นน้ำและสารสกัดที่ปราศจากไขมัน ฮับบาตุซเซาดะฮ์อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่มีอาการแพ้น้ำตาลกลูโคส โดยมันจะช่วยลดความอยากอาหาร, ลดการดูดซึมกลูโคสในลำไส้, ลดการย่อยสลายกลูโคสในตับ (hepatic gluconeogenesis), ลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด,
ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์, ลดน้ำหนักตัว และการกระตุ้นกลูโคสให้เกิดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อน รวมทั้งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพความทนทานต่อกลูโคสเช่นเดียวกับยารักษาเบาหวานเบื้องต้น
(metformin) ซึ่งยังไม่เคยมีรายงานผลกระทบที่มีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีความเป็นพิษที่ต่ำมาก Streptozotocin (STZ) หรือสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ซึ่งเป็นพิษต่อการผลิตอินซูลินของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน และเป็นสาเหตุที่ทำให้หนูเป็นเบาหวานนั้น
มันมีการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปขึ้นมาในเบต้าเซลล์ของตับอ่อน โดยเพิ่มความเข้มข้นของระดับอินซูลินที่ต่ำลง
และลดค่าของระดับน้ำตาลกลูโคส
ดังนั้น ฮับบาตุซเซาดะฮ์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีบทบาทในการป้องกันโรคเบาหวาน
ชนิดที่ 1 จึงเกิดขึ้นได้โดยผ่านการยับยั้งของ Thymoquinone
ต่อพัฒนาการของเบาหวาน ชนิดที่
1 นั่นเอง นอกจากนี้
มันยังช่วยลดปฏิบัติกิริยาความไวของอินซูลินที่มีในเซลล์ตับ ดังนั้น เมล็ดพันธุ์ฮับบาตุซเซาดะฮ์
(Black Seed) จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อการบริโภคของป่วยในหลาย
ๆ การทดลองทางคลินิก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำมาใช้เพื่อการป้องกันโรคเบาหวานก็ตาม
และการศึกษาในอนาคตอาจจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black
Seed), องค์ประกอบของสารอาหาร หรือสารสังเคราะห์
ในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานก็เป็นได้
บทนำ
:
โรคเบาหวาน (DM) เป็นโรคสามัญที่พบได้มากที่สุดวิถีชีวิตของผู้คน
ในปี 2000 ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ชนิดที่ 2 ทั่วโลกมีความชุกประมาณ 2.8% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ในปี 2030 [1] ดังนั้น การป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน จึงเป็นข้อเรียกร้องที่สำคัญต่อการกำหนดรูปแบบในการดำเนินชีวิต
ด้วยการมีกิจกรรมทางกายภาพ หรือมีการออกกำลังกายที่มากขึ้น การบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่น้อย
และหลีกเลี่ยงนิสัยที่ทำอยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ตาม
คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า มันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขา และมองหาทางเลือกที่ยุ่งยากน้อยกว่า
ดังเช่นในวัฒนธรรมของการประกอบของอาหารแบบดั้งเดิม ซึ่งสามารถลดความอยากอาหาร,
ลดการดูดซึมกลูโคสในลำไส้, ลดการย่อยสลายกลูโคสในตับ (hepatic gluconeogenesis), ลดระดับน้ำตาลในเลือด,
ควบคุมน้ำหนัก เพื่อที่จะสามารถกระตุ้นกลูโคสให้ลดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อน อาจได้รับการพิสูจน์แล้วว่า
เป็นประโยชน์ต่อการควบคุมและป้องกันโรคเบาหวาน ซึ่งส่วนใหญ่ของการกระทำเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
(Black Seed) และส่วนประกอบของมันในเวลาเดียวกัน
ด้วยผลการทดลองจากสัตว์ โดยยังไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ การนำเสนอผลการวิจัยในครั้งนี้ จึงพยายามที่จะหาข้อสรุปในคุณสมบัติของฮับบาตุซเซาดะฮ์
(Black Seed) และส่วนประกอบของมัน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน
ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) เป็นพืชสมุนไพร หรือเครื่องเทศในตระกูลดอกดาวเรือง (Ranunculacea) มีชื่อที่รู้จักกันทั่วไปว่า ยี่หร่าดำ (black cumin) หรือเมล็ดสีดำ (black seed) มันเป็นพืชทรงสูงที่ชอบอยู่กลางแจ้ง
มีลำต้นอ่อนและประกอบด้วยต้นเล็ก ๆ มันจะเติบโตในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน เอเชีย รวมทั้งอินเดีย, ปากีสถาน, อินโดนีเซีย,
อิตาลี และอัฟกานิสถาน ในประเทศอินเดียเรียกว่า
Kalonji หรือ
kalajeera ในขณะที่ประเทศจีนเรียกว่าเป็น Hak Jung
Chou เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์นี้ คนอินเดียจะใส่ในผักดองเป็นเครื่องเทศและสารกันบูด
และในอียิปต์ได้ใช้เป็นยาขับลมในกระเพาะอาหาร และเป็นเครื่องปรุงกลิ่นโรยบนขนมปัง ดังนั้น น้ำมันของเมล็ดยี่หร่าดำจึงได้ถูกดึงออกมาใช้ โดยการบีบอัดเมล็ดพันธุ์แล้วมาใช้ปรุงอาหาร
นับเป็นเวลากว่าศตวรรษมาแล้วที่เมล็ดของมันได้ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเป็นยารักษาโรค
ในละตินโบราณจะเรียกว่าเป็น Panacea ซึ่งมีความหมายว่ารักษาทุกโรค (cure
all) และในทางอายุรเวทมีความชื่นชอบในคุณสมบัติที่หลากหลายของมัน
: ขม, ร้อน, กระตุ้นทางธรรมชาติ และได้นำฮับบาตุซเซาดะฮ์มาใช้รักษาโรคและความเจ็บป่วยต่าง
ๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร, โรคตับ, โรคท้องร่วง,
มีไข้, ไอ และโรคพยาธิตัวตืด นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างเพียงไม่กี่โรคเท่านั้น
นอกจากนี้ยังได้นำมาใช้เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
การทบทวนงานวิจัยและอภิปราย
:
ในเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮฺ
(Negilla sativa) ประกอบด้วยน้ำมันคงที่ (fix
oil) และน้ำมันหอมระเหย (essential oils), โปรตีน,
อัลคาลอยด์ และซาโปนิน
มันประกอบด้วยน้ำมันคงที่มากกว่า 30% ส่วนของน้ำมันหอมระเหย
0.40-0.45% (w/w) มีกรดไขมัน 8 ชนิด
และองค์ประกอบอีก 32 ชนิด ที่ระบุไว้ในน้ำมันคงที่และน้ำมันหอมระเหย
ตามลำดับ กรดไขมันหลักของน้ำมันคงที่ คือ กรดไลโนเลอิก, กรดโอเลอิก, และกรด palmitic โดยส่วนประกอบหลักที่สำคัญของน้ำมันหอมระเหย
คือ thymoquinone (TQ), trans-anethole, p-cymene, alpha
pinene, limonene, and carvone[ 2 - 4 ] นอกเหนือไปจากเมล็ด,
ราก และใบแล้ว มีสารประกอบฟีนอลิก (phenolic) ที่เหมือนกับ vanilic
acid[ 5 ] ส่วนใหญ่แล้วกิจกรรมทางชีวภาพของเมล็ด
จะถูกแสดงโดยบทบาทของ thymoquinone (2-isopropyl-5-methyl-1
,4-benzoquinone) ซึ่งมีโครงสร้างทางเคมี คือ C 10 H
12 O 2 และสารสกัด Nigellone เป็น carbonyl polymer ของ TQ ที่แยกออกมาจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ แม้ว่าสารพอลิเมอร์ (polymer) จะยังอยู่ห่างไกลจากความไม่เป็นพิษ แต่ยังคงรักษาคุณค่าทางเภสัชวิทยาไว้เป็นอย่างมากในคุณสมบัติของ
TQ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของสารอาหารในฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black
seed) การออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของฮับบาตุซเซาดะฮ์และองค์ประกอบของมันได้ถูกรวบรวมรายงานไว้ในเรื่องการป้องสารพิษในไต,
ตับ และโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ รวมทั้งสารเคมี[ 6 - 14 ] เมล็ด/น้ำมันของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) มีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบ
[ 15 ], เป็นยาแก้ปวด[
4 ] ลดไข้[
16 ], ลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ [ 17 ], ขยายหลอดลม[
17 ], ยับยั้งการผลิตฮิสตามีน[
18 ], ลดภาวะความดันโลหิตสูง[ 19 ], ป้องกันเนื้องอก
(anti-tumor)[ 20 ], มีสารต้านอนุมูลอิสระ[
18 ], ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกหรือเซลล์มะเร็ง
(antineoplastic)[ 9 , 21 , 22 ], คุมกำเนิด (antifertility)[ 23 ],ป้องกันแบคทีเรีย
(antibacterial)[ 24 ], ป้องกันเชื้อรา
(antifungal)[ 25 ], ป้องกันเชื้อโปรโตซัว
เช่น เชื้อมาลาเลีย(antiprotozoal)[ 26 ], เป็นยาขับถ่ายพยาธิ[ 27 ] เป็นยาฆ่าแมลง[
28] และในเรื่องอื่น
ๆ
การรักษาหนูด้วยสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
(black seed) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในรายงานที่ได้รับถูกบันทึกไว้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของผลเลือด
(hemogram) ซึ่งรวมถึงการเพิ่มขึ้นของระดับเฮโมโกบินในเซลล์[29 ] และลดปริมาณความเข้มข้นของพลาสมาในคอเลสเตอรอล,ไตรกลีเซอไรด์
และกลูโคส [ 30 ] เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed)
มีคุณสมบัติที่แห่งโดดเด่นในเรื่องของการให้ความเป็นพิษ (toxic)
ในระดับที่ต่ำมาก
การนำมาใช้งานของทั้งสารสกัดจากเมล็ดหรือน้ำมันที่ได้ แสดงให้เห็นว่าไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบของตับและไต[ 31 ] ในการตรวจสอบการให้ยา LD50 (สารพิษที่ใช้ในการทดลอง) ในหนูที่ได้รับสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ จากการสังเกตพบว่า
การไม่ตายจะเกิดขึ้น เมื่อมีการให้น้ำ,เมทานอล, และสารสกัดจากคลอโรฟอร์มทางปาก ในปริมาณที่สูงถึง 21 กรัม/กิโลกรัม และในปริมาณสูงมากถึง 6 กรัม/กก./วัน ทางปาก เป็นเวลาติดต่อกัน
14 วัน พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เสื่อมลงในเซลล์ตับ ตามที่ได้ถูกตั้งข้อสังเกตไว้ ด้วยการให้เพียงสารสกัดที่เป็นน้ำจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
โดยไม่ได้มีการให้เมทานอล และสารสกัดคลอโรฟอร์ม [ 32 ] สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงขอบเขตที่กว้างขวางในเรื่องของความปลอดภัย
จากการได้สารอาหารจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ด้วยน้ำมันคงที่ 4% หรือน้ำมันหอมระเหย
0.3% พบว่า หนูปลอดภัยจากดัชนีชี้วัดภูมิคุ้มกัน เช่น ในตับ และการทดสอบการทำงานของไต,
serum protein profile,
ระดับการเต้นของหัวใจ, ความสมดุลของอิเล็กโทรไลท์ (electrolytes balance), เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว มีค่าอยู่ในช่วงปกติ ถึงแม้เวลาจะผ่านมาถึง 56 วัน[ 33 ] ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.
sativa) ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ปกติ ถึงแม้ว่า TQ จะทำหน้าที่ยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง[
34 ] ดังนั้น
ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) อาจจะเป็นประโยชน์ในการรักษาในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่มีอาการแพ้น้ำตาลกลูโคส ดังเช่นการได้รับน้ำตาลกลูโคสมากขึ้น-นำไปสู่การเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งของอินซูลิน โดยที่ไม่มีผลกระทบในทางลบ (negative) ต่อการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสจากเยื่อเมือกของลำไส้[
35 ]
1. การป้องกันโรคเบาหวานในหนูปกติ
ในการทดลองให้สารสกัดที่เป็นน้ำจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
(N.sativa) กับหนูปกติ ในขนาด (10 มล./กก./
วัน) ทางปาก เป็นเวลา 7 ถึง
14 วัน สามารถเพิ่มเซรั่มอินซูลิน และลด
ระดับเซรั่มกลูโคส อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อของตับอย่างเห็นได้เด่นชัด แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของเซรั่ม SGPT [คือ เซรั่มที่อยู่ในตับตามปกติ แต่จะถูกหลั่งออกมาในเลือดเมื่อตับได้รับความเสียหาย] และมีความเข้มข้นของเซรั่ม GGTP[เอนไซม์ที่พบในตับ ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดผลของการรักษา] จะถูกตั้งข้อสังเกต[ 36 ]
ระดับเซรั่มกลูโคส อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อของตับอย่างเห็นได้เด่นชัด แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของเซรั่ม SGPT [คือ เซรั่มที่อยู่ในตับตามปกติ แต่จะถูกหลั่งออกมาในเลือดเมื่อตับได้รับความเสียหาย] และมีความเข้มข้นของเซรั่ม GGTP[เอนไซม์ที่พบในตับ ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดผลของการรักษา] จะถูกตั้งข้อสังเกต[ 36 ]
ในการทดลองอีกชิ้นงานหนึ่ง คือ การรักษาด้วยการให้สารสกัดที่เป็นน้ำจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
(N.sativa) ทางปากแก่หนูปกติ ในขนาด (2 กรัม/กก.ทุกวัน) เป็นเวลา 6 สัปดาห์ สามารถเพิ่มความทนทานต่อกลูโคสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกับการใช้ยา metformin (300 mg/kg ทุกวัน) นอกจากนี้ ยังสามารถลดลงน้ำหนักของร่างกาย โดยปราศจากผลกระทบที่เป็นพิษ[37]
และงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง คือ การให้สารสกัด petroleum ether จากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) แก่หนูปกติ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เป็นเหตุให้มีการบริโภคอาหารลดลง
25% นำมาซึ่งการลดลงของน้ำหนักชั่วคราว โดยไม่มีสัญญาณของความเป็นพิษใด
ๆ เกิดขึ้น เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการรักษา
มีระดับพลาสมาอินซูลินและไตรกลีเซอไรด์ต่ำลง ในขณะที่ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่
ตลอดระยะของการรักษา[ 38 ] ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การให้สารสกัดจากฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ในช่วง 2 สัปดาห์แรก มีการเพิ่มของเซรั่ม อินซูลิน โดยอาจเป็นผลของการกระตุ้นกลูโคสไปเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ [ 39 ] และเมื่อการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานระดับเซรั่มอินซูลินลดลง เหมือนกับว่าเซรั่มกลูโคสไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดการหลั่งอินซูลินเพิ่ม ทั้งนี้ ผลจากการเบื่ออาหาร อาจจะมีประโยชน์สำหรับการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป (หรือโรคอ้วน)
เซาดะฮ์ในช่วง 2 สัปดาห์แรก มีการเพิ่มของเซรั่ม อินซูลิน โดยอาจเป็นผลของการกระตุ้นกลูโคสไปเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ [ 39 ] และเมื่อการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานระดับเซรั่มอินซูลินลดลง เหมือนกับว่าเซรั่มกลูโคสไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดการหลั่งอินซูลินเพิ่ม ทั้งนี้ ผลจากการเบื่ออาหาร อาจจะมีประโยชน์สำหรับการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป (หรือโรคอ้วน)
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black
Seed Oil) ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน (antidiabetic) ในการศึกษาทดลองด้วยการให้น้ำมันคงที่ (fix oil) ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ แก่หนูปกติในปริมาณ
(1 ml/kg) เป็นเวลา 12 สัปดาห์
พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือด,
คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ลดลง 16.5%, 15.5%, 22% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่จะต้องควบคุม ซึ่งคู่ขนานไปกับน้ำหนักตัวที่ลดลง อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับการให้การรักษาในสัตว์ด้วย Black Seed Oil ในกลุ่มที่มีการควบคุม[ 30 ] นอกจากนี้ สารสกัดที่ไม่ได้เป็นไขมัน (defatted extract) จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยังเพิ่มกลูโคสเหนี่ยวนำให้เกิดการปลดปล่อยอินซูลินในตับอ่อนของหนู ในความเข้มข้นขึ้นที่อยู่ระดับที่ควบคุม[ 39
คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ลดลง 16.5%, 15.5%, 22% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับค่าที่จะต้องควบคุม ซึ่งคู่ขนานไปกับน้ำหนักตัวที่ลดลง อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับการให้การรักษาในสัตว์ด้วย Black Seed Oil ในกลุ่มที่มีการควบคุม[ 30 ] นอกจากนี้ สารสกัดที่ไม่ได้เป็นไขมัน (defatted extract) จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยังเพิ่มกลูโคสเหนี่ยวนำให้เกิดการปลดปล่อยอินซูลินในตับอ่อนของหนู ในความเข้มข้นขึ้นที่อยู่ระดับที่ควบคุม[ 39
2. การทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน
ด้วยการให้สาร STZ เพื่อให้หนูเป็นเบาหวาน
Kanter และเพื่อนร่วมงาน ได้ศึกษาถึงประสิทธิผลของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ที่มีต่อ streptozotocin หรือ STZ [คือ สารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในร่างกาย และเป็นพิษต่อการผลิตอินซูลินในเบต้าเซลล์ของตับอ่อน] ซึ่งทำให้เกิดทำให้เกิดโรคเบาหวานในหนู โดยได้ทำการทดลองด้วยวิธีการฉีดสาร STZ (50 มล./กก.) เข้าที่ช่องท้องของหนู ซึ่งจะทำให้หนูกลายเป็นโรค
เบาหวานภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงฉีดน้ำมันหอมระเหยจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
เข้าที่ช่องท้องของหนูเบาหวานในขนาด 0.20 มล./กก. เป็นเวลา 30 วัน เพื่อเป็นการฟื้นฟูเบต้าเซลล์ของตับอ่อน โดยการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น และเพิ่มความเข้มข้นของระดับอินซูลินที่ต่ำลงให้สูงขึ้น[40] และเช่นเดียวกัน ผลจาก STZ ที่ทำให้หนูเป็นเบาหวาน ได้ถูกตั้งข้อสังเกตด้วยการให้การรักษาด้วยน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ในขนาด (300 - 400 มก./กก.ของน้ำหนักตัว ) หรือให้สารสกัด thymoquinone ในขนาด (50 มก./กก. ของน้ำหนักตัว ) ทางปากวันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 12 สัปดาห์ [41 , 42]
และในกรณีที่คล้ายคลึงกัน
ได้มีการให้สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ที่เป็นผง ในขนาด (10 กรัม/กก./ วัน) ทางปากเป็นเวลา 21 วัน ในหนูที่ถูกให้ STZ โดยการทดลองของ
Khanam และ Dewan[ 43 ] ผลการศึกษาทั้งหลาย
ให้ผลเช่นเดียวกับการให้สารสกัดจาก n-Hexane จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ในปริมาณโดซที่เหมือนกัน
และดูเหมือนว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ และ Black Seed Oil จะช่วยปกป้องเบต้าเซลล์และต่อต้านความเครียดที่เกิดจากขบวนการ
oxidation โดย STZ
ก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของ lipid peroxidation [จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารพิษ] และเซรั่มไนตริกออกไซด์
(NO) ที่เข้มข้น และลดปฏิกิริยาของเอนไซม์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระของหนู กลุ่มของเซลล์ที่ผลิตฮอร์โมนในตับอ่อน (islet cell) เสื่อมสภาพและอ่อนแอในหนูที่ได้รับ STZ
ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ซึ่งสังเกตและตรวจวัดได้จากวิธีการทางเคมี (Immunohistochemical)
ความเข้มที่เพิ่มขึ้นจากการย้อมสีของอินซูลินและการเก็บรักษาจำนวนของเบต้าเซลล์
beta-cell ได้เป็นที่ประจักษ์ชัด โดยการรักษาด้วยการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ในหนูเบาหวาน การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นการรักษาที่ช่วยป้องกันผลกระทบจากการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน
ด้วยการลดความเครียดจากการ oxidation และรักษาความสมบูรณ์ของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน
จากการได้รับ STZ ที่ทำให้หนูเป็นโรคเบาหวาน[ 44 ]
Pari และ Sankaranarayanan ได้ให้ Thymoquinone 20
– 80 มก./กก. เป็นเวลา 45 วัน ในหนูเบาหวานที่ได้รับ STZ-NICOTINAMIDE แล้วสังเกตฤทธิ์ของการลดระดับน้ำตาลในเลือดที่ชัดเจน
จากการลดลงของน้ำตาลกลูโคสเช่นเดียวกับระดับ HBA (1C)[ 45 ] นอกจากนี้ Tymoquinone
ยังเป็นการรักษาที่ทำให้เกิดการปรับปรุงโครงสร้างและระบบการทำงานของไต
หลังจากที่หนูได้รับ STZ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเบาหวาน เมื่อให้ Thymoquinone ในขนาด (50 มก./กก./วัน) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ สามวันหลังจากหนูเกิดโรคเบาหวานจะทำให้ลดขนาดการกรองของไต
และขยายโครงข่ายเส้นเลือดและท่อลำเลียงของไตเพิ่มขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับการรักษา[46] ในระหว่างตั้งครรภ์ของหนูเบาหวาน
(ที่ได้รับ STZ) การรักษาด้วย
Thymoquinone ช่วยยับยั้งความผิดปกติของตัวอ่อนโดยการลดอนุมูลอิสระ
นอกเหนือจากนี้ยังช่วยเพิ่มขนาดและการเจริญเติบโตของตัวอ่อน [47]
โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญในผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ต้องพึ่งพาอินซูลิน
กลไกความแข็งแรงของกระดูกโคนขาและกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้นได้ด้วยการให้ฮอร์โมนพาราไทรอยด์
(hPTH) ในการรักษา โดยการรักษาร่วมกับการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์
มีประสิทธิภาพมากกว่า การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือการให้การรักษาด้วย hPTH
เพียงอย่างเดียว เพื่อปรับปรุงมวลกระดูก, การเชื่อมต่อ และพฤติกรรมทางชีวกลศาสตร์ในอินซูลิน ของหนูเบาหวานที่ได้รับ STZ ซึ่งจะช่วยเหนี่ยวนำให้เกิดความหนาแน่นของมวลกระดูก[48]
3. การทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน ในหนูแฮมสเตอร์ (ที่ได้รับ STZ)
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ Black
Seed Oil (NSO)
มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการผลิตอินซูลินในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 – และในรูปแบบที่เหมือนกัน Fararh
และคนอื่น ๆ ได้ทดลองให้การรักษาด้วย Black Seed Oil แก่หนูแฮมสเตอร์ที่ป่วยเป็นเบาหวาน (จากการได้รับ STZ) ในช่วงเวลาหลังจากหนูเป็นเบาหวานแล้ว 6 สัปดาห์ โดยให้ black seed oil ในขนาด
(400 มก./กก. ทางปาก ผ่านหลอดลำเลียงส่งไปยังกระเพาะอาหาร)
หลังจากหนูได้รับการรักษา ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงทุกวันจาก 391
3.0 mg/dl ก่อนการรักษา เป็นระดับ 325 4.7, 246 5.9, 208 2.5 และ 179 3.1 mg/dl หลังจากได้รับการรักษาในสัปดาห์แรก,
ที่ 2, 3, และ 4 ตามลำดับ การผลิตน้ำตาลกลูโคสในตับจาก gluconeogenic precursors (alanine, glycerol and lactate) มีค่าที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการให้การรักษาหนูแฮมสเตอร์ ได้ชี้ให้เห็นว่า
มีการลดลงของ gluconeogenesis ในตับ[49] ประสิทธิผลที่คล้ายกันได้ถูกตั้งข้อสังเกต โดยการให้ Thymoquinone ในขนาด (50 มก./กก. ทุกวัน) แก่หนูแฮมสเตอร์เบาหวาน (ที่ได้รับ STZ
เหนี่ยวนำให้เกิดโรคเบาหวาน)
4 สัปดาห์หลังจากที่หนูเป็นเบาหวาน ภายในเวลา 30 วันหลังให้การรักษาด้วย TQ, เซลล์เนื้อเยื่อของตับ
(hepatocytes) ได้ถูกแยกออก เพื่อตรวจสอบการผลิตกลูโคสในตับ ผลการตรวจวัดพบว่า
ผลผลิตกลูโคสหลังจากการบ่มเพาะ hepatocytes และขบวนการ
gluconeogenic เป็นเวลา 2 ชั่วโมง มีค่านัยสำคัญลดลง ในหนูแฮมสเตอร์ที่รักษาด้วย Thymoquinone[50] ผลลัพธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า
กลไกการป้องกันโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ Thymoquinone อย่างน้อยที่สุด
มีบางส่วนที่มีการลดลงของ gluconeogenesis ในตับ และในการทดลองอื่น เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดร่วมกับการเพิ่มระดับเซรั่มอินซูลิน
ของหนูแฮมสเตอร์เบาหวาน ภายหลังให้การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ จาการสังเกตการทำงานของอินซูลินในตับอ่อน พบว่า
พื้นที่ส่วนใหญ่มีปฏิกิริยาต่อภูมิคุ้มกันที่เป็นบวก ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย
black seed oil เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา
โดยใช้เทคนิค immunohistochemistry ในการตรวจวัด [51] จึงชี้ให้เห็นว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black
seed oil ช่วยให้ฟื้นฟูการสร้างเบต้าเซลล์ และช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในเบต้าเซลล์
4. การป้องกันโรคเบาหวานใน Cadmium/HAART (ยาต้านไวรัส) ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa)
ช่วยลดความเสียหายของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน ที่ได้สัมผัสกับสารพิษ
เช่นแคดเมียม โดย Cadmium chloride
ขนาด (0.49 มก./กก.
/วัน) ได้ถูกฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
ก่อให้เกิดจากการเสื่อมสภาพ,เนื้อร้าย, และทำให้เกิดความอ่อนแอของ degranulation
ในกลุ่มฮอร์โมนที่อยู่ในเบต้าเซลล์ของตับอ่อนของหนู
สามวันก่อนที่หนูจะได้รับแคดเมี่ยมคลอไรด์
(CdCl 2) ได้มีการฉีดฮับบาตุซเซาดะฮ์เข้าในช่องท้องของหนูเป็นประจำวันทุกวัน
เพื่อลดความเสื่อมของเนื้อร้ายที่เกิดจากการได้รับแคดเมียมและลดการเกิด degranulation
ในกลุ่มฮอร์โมนที่อยู่ในเบต้าเซลล์ของตับอ่อน
และการเพิ่มขึ้นของระดับอินซูลินที่ลดต่ำลง[52] การรวมตัวของเชื้อ
HIV-1 ต่อการใช้ยาต้านไวรัสระดับสูง (HAART)
เชื่อมโยงไปสู่การเหนี่ยวนำให้เกิดความต้านทานต่ออินซูลิน
การใช้ยาต้านไวรัส (HAART) ในระยะยาวของผู้ป่วย HIV-1-positive ทำให้เกิดความต้านทานต่ออินซูลิน ซึ่งสามารถป้องกันได้
ด้วยการให้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในขนาด (400
micolitres/kg ของน้ำหนักตัว) โดยแสดงให้เห็นถึงการป้องกันการเพิ่มขึ้นของระดับอินซูลินและ c-peptide ในหนู Sprague Dawley- ซึ่งได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (HAART) เป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องเป็นเวลา 7 เดือน[53] การสัมผัสกับยาฆ่าเชื้อไวรัส
ที่แตกต่างกันหลายชนิด ได้แก่ Nelfinavir, saquinavir และ atazanavir ทำให้การกระตุ้นการหลั่งอินซูลินกลูโคสจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อนของหนูลดลง-
เป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของปฏิกิริยา reactive oxygen species (ROS) ทั้ง Thymoquinone และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์
(Black Seed Oil) ทำให้การกระตุ้นการหลั่งอินซูลินกลูโคสเพิ่มขึ้น
และช่วยเยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการใช้ยา Nelfinavir[54]
5. กลไกที่มีความเป็นไปได้ในการป้องกันโรคเบาหวาน
กลไกในการป้องกันโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) เกิดจากความสามารถที่หลากหลายทางเภสัชกรรมของมัน
โดย Rchid และเพื่อนร่วมงาน ได้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดส่วนที่ไม่ได้เป็นน้ำมัน
(defatted extract) ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ สามารถเพิ่มระดับกลูโคสเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งอินซูลินในกลุ่มเซลล์ตับอ่อนของหนู-ในระดับของความเข้มข้นที่ขึ้นอยู่กับการควบคุม[39] นอกเหนือจากการกระตุ้น การหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนแล้ว
ฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด (antihyperglycemic) ของฮับบาตุซเซาดะฮ์
อาจเกิดขึ้นจากภายนอกตับอ่อน เช่น เลือด-ประสิทธิผลในการลดระดับกลูโคสของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์
(Black Seed Oil) ไม่ได้เหมือนกับการกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
ของ black seed oil, nigellone หรือ thymoquinone ในหนูเบาหวานที่ได้รับ
STZ[55] ไนตริกออกไซด์มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำลายเบต้าเซลล์ในระหว่างการเกิดโรคเบาหวาน
ชนิดที่ 1 จากการได้รับ STZ โดยมี STZ เป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดโรคเบาหวาน , เซรั่มและไนไตรต์ในตับอ่อนเพิ่มขึ้น เมื่อให้หนูเหล่านี้ได้รับ Thymoquinone ซีรั่มและไนไตรต์ในตับอ่อนลดลงภายใน 3 วัน และพบว่า Thymoquinone ไม่มีผลกระทบต่อความเสื่อมโทรมของ
IKB หรือการกระตุ้นของ kB ถึงแม้ว่าจะมีนัยสำคัญในการยับยั้งทั้ง
p44/42 และ p38 mitogen-การกระตุ้นโปรตีนไคเนส (MAPKs)
ซึ่งนำไปสู่ขบวนการกระตุ้น nitric oxide synthase การผลิตไนตริกออกไซด์ ข้อมูลเหล่านี้เน้นบทบาทในการปกป้องกันของ
Thymoquinone ต่อการต่อต้านการพัฒนาการของโรคเบาหวาน
ชนิดที่ 1 โดยผ่านเส้นทางของการยับยั้งไนตริกออกไซด์[56] Thymoquinone ดูเหมือนจะย้อนกลับไปทำให้ไนไตรท์สูงขึ้นในหลอดทดลอง[57] มันเป็นที่รู้จักดีในบทบาทของการปราบปรามการแสดงออกของ
nitric oxide synthase ที่ถูกกระตุ้นในเม็ดเลือดขาวของหนู[58] ในโรคเบาหวาน ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ป้องกันการย่อยสลายไขมัน
(lipid peroxidation) และสร้างระบบในการป้องกันตนเองและการต่อต้านอนุมูลอิสระ
Meral และคนอื่น, ได้ทำให้กระต่ายเป็นเบาหวาน โดยใช้ Alloxan
10% ในขนาด 150 มก./กก.
และให้การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ ทางปากแก่กระต่าย เป็นเวลา 2
เดือน และพบว่าระดับกลูโคสสูงขึ้น และความเข้มข้นของ malondialdehyde (MDA) ลดลง,
เพิ่มการลดระดับของกลูตาไธโอน (GSH) และความเข้มข้น ceruloplasmin, และป้องกันการย่อยสลายไขมัน (lipid peroxidation)- ซึ่งเป็นตัวชักนำให้เกิดอันตรายต่อตับในกระต่ายเบาหวาน[59] กลไกในการป้องกันโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) อย่างน้อยที่สุดส่วนหนึ่งผ่านมาจากการลดลงของขบวนการเผาผลาญสารอาหาร
(gluconeogenesis) ในตับ[60]
Fararh แสดงให้เห็นว่า การผลิตกลูโคสในตับ gluconeogenic precursors
(alanine, glycerol and lactate) มีค่านัยสำคัญที่ลดลง
ในการรักษาหนูแฮมสเตอร์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า มันมีความสามารถในการลด hepatic
gluconeogenesis [ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ][49]
Le และคนอื่น, แสดงให้เห็นว่า การรักษาร่างกายด้วยสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากฮับบาตุซเซาดะฮ์
(N. sativa), ได้ผลในขนาดโดสที่สูงกว่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการทำงานของ MAPK
p44/42erk และ PKB ในการตอบสนองต่ออินซูลินในเซลล์ตับ (hepatocytes)
ซึ่งเขาให้ความเห็นว่า ในการรักษาร่างกายด้วยสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ช่วยลดความไวของอินซูลิน โดยการเสริมสร้างการทำงานของเส้นทางการส่งสัญญาณภายในเซลล์ (intracellular
signal transduction) ของตัวรับฮอร์โมน[38] การดูดซึมของกลูโคสในลำไส้ถูกทำให้ลดลงด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ซึ่งจะเห็นจากข้อเท็จจริงที่ว่า สารสกัดที่เป็นน้ำของฮับบาตุซเซาดะฮ์
(N. sativa) ขนาด (0.1 pg/ml - 100 ng/ml) เป็นขนาดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งโซเดียม
และการขนส่งกลูโคสไปยังหนูขาว (rat jejunum)[37] ทั้งหมดนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
กลไกในการป้องกันโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed (N.sativa) สามารถแก้ปัญหาผ่านทางกลไกการทำงานที่หลากหลายรูปแบบ[61]
6. การศึกษาทางคลินิกในมนุษย์
ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) ได้ถูกนำมาใช้สืบเนื่องกันมาอย่างยาวนาน เพื่อการรักษาโรคเบาหวานและความดันโลหิต ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงใต้และโมร็อกโก[62] และจอร์แดน ในการสำรวจผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวน ในประเทศจอร์แดน จำนวน 310 ราย ได้รับการเปิดเผยว่า 7.3% ของพวกเขา ได้ใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในการรักษาโรคเบาหวาน[63] ฮับบาตุซเซาดะฮ์มีความปลอดภัย สำหรับการนำมาใช้ในการรักษาทางคลินิกในผู้ป่วย (human patients)
ในประเทศอินโดนีเซีย, ได้มีการศึกษาทดลองแบบ
double blinded ในผู้ป่วยที่ถูกนำมาควบคุม และทำการทดลองทางคลินิก
ด้วยการให้ยาหลอก โดยคัดเลือกจากผู้ป่วยชาย ที่เป็นผู้ใหญ่และมีโรคอ้วน
(อ้วนลงพุง) โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึงประสิทธิภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์(Nigella sativa) ในศูนย์กลางของความเป็นอิสระของเซรั่มฮอร์โมนเพศชาย (central on serum free testosterone), น้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว,
น้ำตาลในเลือด, ไขมัน, กรดยูริค
, adiponectin (โปรตีนที่มีส่วนในการควบคุมกลูโคส),
hs-CRP (ความไวของโปรตีนที่ตอบสนองในเลือดต่อการอักเสบ), และผลข้างเคียง[64] โดยให้การรักษาด้วยการให้ผงของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
(Kalonji) ในปริมาณ 1.5 กรัม (สองแคปซูล) รับวันละ 2 ครั้ง
เป็นเวลา 3 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้ปรากฏว่า มีค่านัยสำคัญที่สูงมาก
ในการลดลงของน้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว, และความดันโลหิตตัวบน
(systolic blood pressure) อย่างไรก็ดี การลดลงของระดับน้ำตาลในเลือดในขณะอดอาหาร,
ฮอร์โมนเพศชาย (serum free testosterone), ความดันโลหิต
(ค่าตัวล่างที่วัดได้), ไตรกลีเซอไรด์, และคอเลสเตอรอล-HDL, SGOT, SGPT, กรดยูริค และ hs-CRP ไม่มีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเพราะการได้รับฮับบาตุซเซาดะฮ์ในปริมาณโดสที่มีขนาดเล็กกว่าที่ควรจะเป็น
และพบว่าไม่มีผลข้างเคียงในกลุ่มที่ให้การรักษา[65] นอกจากนี้
ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ยังมีความปลอดภัยในการนำมาใช้แก่ผู้ป่วย
(human patients) ในการทดลองทางคลินิกอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการรักษาโรคเบาหวาน
ในการทดลองทางคลินิก ด้วยการให้สารสสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์
ทางปากในปริมาณ 100 และ 200 มก. วันละ
2 ครั้ง ในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่รุนแรง เป็นเวลา
8 สัปดาห์ พบว่า
มีการลดลงของความดันโลหิต (ทั้งค่าตัวบน systolic และค่าตัวล่าง
diastolic) ในขณะเดียวกันสารสกัดที่ได้รับ ทำให้มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในระดับของไลโปโปรตีน (ไขมันรวม) และLDL-คอเลสเตอรอล[10]
นอกจากนี้ ในการทดลองทางคลินิกอื่นก็เช่นกัน ได้มีการทดลองให้การรักษาเสริม
ด้วยการให้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black
Seed Oil) ในประมาณ 2.5 มล. วันละ 2 ครั้ง ร่วมกับการที่ผู้ป่วยรักษาด้วยยา Atorvastatin
10มก./วัน [เป็นเกลือแคลเซียม
หรือยากลุ่ม statin ที่ใช้ลดคอเลสเตอรอลในเลือด] และ Metformin 500 มก. วันละ 2 ครั้ง [เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2
ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน และมีไตทำงานผิดปกติ] ผลการรักษาสรุปได้ว่า
มีนัยสำคัญในทางพัฒนาการที่ดีขึ้นของ ค่าคอเลสเตอรอลรวม. LDL-คอเลสเตอรอล, และระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร[65] ให้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ครั้งเดียวในปริมาณ
40 มก./กก. หรือในปริมาณที่เทียบเท่ากับการให้สารสกัด
(ethanolic extract) ที่ให้แก่เด็กที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการมีพยาธิตัวตืด
พบว่ามีการลดลงของไข่พยาธิในอุจจาระต่อกรัม เมื่อตรวจนับในวันที่ 7 และ 15 และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ
ที่ไม่พึงประสงค์[66] การให้สารสกัดฮับบาตุซเซาดะฮ์
ที่ถูกทำให้ร้อนแล้ว 50% ในขนาด (0.375มล./กก.) ทางปาก แก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม ส่งผลให้มีการปรับปรุงทางคลินิกของระบบทางเดินหายใจ
และการทดสอบสมรรถภาพปอด[67] ในการทดลองอื่น
พบว่าฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคหอบหืด
จากประสิทธิผลที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย, ป้องกันอาการกระตุกของกล้ามเนื้อเรียบ
(anticholinergic), ป้องกันหรือยับยั้งการเกิดฮิสตามิน (antihistaminic)[68] เนื่องจากคุณสมบัติของฮับบาตุซเซาดะฮ์ในการต่อต้านฮิสตามีน
(antihistaminic), เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
(antioxidant), ป้องกันการติดเชื้อ (antiinflamatory) และต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย (antibacterial) จึงพบว่ามีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเฉียบพลันในช่องปาก
(acute tonsillopharyngitis)
ในการสุ่มตรวจควบคู่กับการใช้ยาหลอกในการทดลองทางคลินิก[69] ในยาแผนโบราณ, ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการป้องกันโรคลมชัก, อาการชัก (anticonvulsant) ในการศึกษาทางคลินิกแบบ
(double-blinded) ด้วยการให้สารสกัดที่เป็นน้ำจากฮับบาตุซเซาดะฮ์
ในขนาด (40 มก,/กก./8 ชั่วโมง) มีความปลอดภัยในการใช้เป็นยารักษาแบบเสริมให้กับเด็กที่มีอาการของโรคลมชักดื้อยา
[70 ] การให้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black
Seed Oil) ชนิดแคปซูลในขนาด (40 - 80 มก./กก./วัน) แก่ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ไม่พบว่ามีอาการข้างเคียงที่ได้รับรายงาน[71] เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผงของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
มีความปลอดภัยในการใช้ในการทดลองกับมนุษย์
ซึ่งไม่ได้ให้ผลสรุปที่ถูกต้องทางสถิติ ในความต้องการของขนาดตัวอย่างที่เหมาะสม[72] ผลกระทบหรือพิษของฮับบาตุซเซาดะฮ์
ที่มีนัยสำคัญไม่ได้มีการตั้งข้อสังเกตไว้ในการศึกษาเหล่านี้
สรุปได้ว่า : มันมีความปลอดภัยทั้งการใช้จากส่วนที่เป็นเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ในกิจกรรมหรือกระบวนการที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวาน
ซึ่งอย่างน้อยที่สุด มันเป็นสื่อนำที่ช่วยกระตุ้นกลูโคสให้เกิดการปลดปล่อยอินซูลินในเบต้าเซลล์,
ช่วยลด gluconeogenesis ในตับ, มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และลดการดูดซึมกลูโคสจากลำไส้
การทดลองในสัตว์พบว่า
มีการใช้เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์, น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) และส่วนประกอบ รวมทั้ง Thymoquinone
อย่างปลอดภัยในปริมาณที่เหมาะสม เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ถูกนำมาใช้ในการทดลองทางคลินิกสำหรับโรคอื่น ๆ มากกว่าโรคเบาหวาน และอาจจะต้องมีการศึกษาถึงปริมาณการใช้ที่ปลอดภัยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน (DM)
โดยผ่านการออกแบบการทดลองทางคลินิกที่ดี คำเตือนยังคงมีความจำเป็น
หากว่าในการรักษาในระยะยาวได้ถูกวางแผนไว้
Tennekoon
และเพื่อนร่วมงาน [73] ได้สาธิตให้เห็นว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ SGPT [เอนไซม์ที่ถูกปล่อยสู่กระแสเลือด
เมื่อการการบาดเจ็บหรือเสียหายในตับ] และการเพิ่มปฏิบัติการณ์ของเซรั่มกลูตาเมต
serum glutamate oxaloacetic transaminase (SGOT : คือค่าเอนไซม์หรือโปรตีนในตับ
ถ้าตัวเลขสูงแสดงว่าตับทำงานผิดปกติ) ในหนูที่ได้รับเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
ไม่มีค่านัยสำคัญ โดย
Glutamate pyruvate transaminase (GPT) คือไซโตพลาสม่าเอนไซม์ซึ่งพบว่า
มีระดับที่เข้มข้นสูงมากในตับ, และ Glutamate oxaloacetic transaminase
(GOT) ถูกแสดงอยู่ในไซโตพลาสม่าเช่นเดียวกับใน mitochondria (และน้อยกว่าที่ระบุ ไว้ใน GPT) เป็นค่าเอนไซม์ที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสียหายของตับ
เพราะมันจะหยุดทำงานลงอย่างรวดเร็ว[74] การควบคุมและบำบัดรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) โดยการให้สารอาหารทางปาก ได้ชี้นำไปสู่เครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึง
ความมีนัยสำคัญของค่า gamma-glutamyl transpeptidase enzyme activity หรือ GGT [ค่าเอนไซม์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อของตับ
ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความมีนัยสำคัญหรือผลของการรักษาโรค] ในเลือดหลังจากวันที่ 7 และ 14 ของการรักษาในหนู ถึงแม้ว่าหลักฐานการตรวจสอบทางทางพยาธิวิทยาของตับ จะไม่ถูกสังเกตเห็น[36] ระดับความเข้มข้นของค่า gamma-glutamyl transpeptidase ในเลือดที่สูงขึ้น ถือได้ว่าให้เป็นหนึ่งในดัชนีที่สำคัญที่สุดในการชี้วัดความเสียหายของตับ[75] การเพิ่มขึ้นของ
gamma-glutamyl transpeptidase (GGT) และความเข้มข้นของ
GPT ในกรณีที่ไม่มีการเสียหายของตับ ได้ถูกตั้งข้อสังเกต
จากการติดตามผลการให้ทางปากของสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ และนี่ก็แสดงให้เห็นว่า
เอนไซม์เหล่านี้อาจได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากสาเหตุของความเสียหายที่เกิดจากตับในระดับโมเลกุล
อย่างไรก็ตาม เอนไซม์มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ซึ่งไม่สามารถวัดค่าและประเมินซ้ำ หรือการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ในระยะยาวอาจจะไม่ปลอดภัย
ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจวัดระดับเลือด
เมื่อได้มีการใช้ฮับบะตุซเซาดะฮ์ในระยะเวลาที่ยาวนาน ดังเช่นการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil (NSO) ในขนาด (1มล./
กก.) โดยให้เป็นเวลา 12 สัปดาห์
แก่หนูปกติ ทำให้มีการลดลงของจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด[30]
ในปีที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนัก
ได้มีการศึกษาจำนวนมากทำการศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยาทางเภสัชกรรมของฮับบาตุซเซาะดะฮ์
และ Thymoquinone
และในอนาคตจำเป็นที่จะต้องได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินค่าของผลประโยชน์ในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน
ทั้งก่อนการรักษาและหลังการรักษาทางคลินิก
ความพยายามที่จะแยกสารสกัดอื่น ๆ
ที่สำคัญในฮับบาตุซเซาดะฮ์ เช่น nigellamines [76] การดำเนินการสังเคราะห์อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาสารสกัดหลักที่เป็นประโยชน์ในฮับบาตุซเซาดะฮ์
อาจจะพบสารที่มีประโยชน์มากกว่า Thymoquinone และนี่อาจะเป็นส่วนที่จะต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคตก็เป็นได้.
อ้างอิง References :
(คลิ๊กจากลิงค์ในบทความได้เลยนะคะ^^)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณากรอกชื่อ หรือนามแฝง หรืออีเมลล์ด้วยค่ะ