หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

การป้องกับโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed)


Antidiabetic Properties of a Spice Plant Nigella sativa
โดย : Murli L. Mathur*, b, Jyoti Gaur, Ruchika Sharma, Kripa Ram Haldiya
         Desert Medicine Research Center (Indian Council of Medical Research), India
From : Journal of Endocrinology and Metabolism, Vol. 1, No. 1, Apr 2011
-------------------------------
บทคัดย่อ (Abstract) :
เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ Nigella sativa (ยี่หร่าดำ/Kalonji) ที่เรานิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรสในผักดองนั้น ได้ถูกนำมาใช้สืบเนื่องกันมาแต่โบราณ  เพื่อการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างมากมาย รวมทั้งโรคเบาหวาน และความดันโลหิต  ในจำนวนบทบาทและศักยภาพที่หลากหลายของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) รวมทั้งองค์ประกอบของสารอาหารที่อยู่ในเมล็ด ซึ่งแสดงออกให้เห็นผลลัพธ์จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองนั้น เรื่องการป้องกันโรคเบาหวานเป็นบทบาทที่สำคัญที่สุด  โดย Thymoquinone (TQ) หรือน้ำมันหอมระเหย เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่มีบทบาทเป็นอย่างมาก แต่ในการป้องกันโรคเบาหวานนั้น บทบาทของมันได้ถูกแสดงออกทั้งจากสารสกัดที่เป็นน้ำและสารสกัดที่ปราศจากไขมัน  ฮับบาตุซเซาดะฮ์อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่มีอาการแพ้น้ำตาลกลูโคส โดยมันจะช่วยลดความอยากอาหาร, ลดการดูดซึมกลูโคสในลำไส้, ลดการย่อยสลายกลูโคสในตับ (hepatic gluconeogenesis), ลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด, ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์, ลดน้ำหนักตัว และการกระตุ้นกลูโคสให้เกิดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อน  รวมทั้งช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพความทนทานต่อกลูโคสเช่นเดียวกับยารักษาเบาหวานเบื้องต้น (metformin) ซึ่งยังไม่เคยมีรายงานผลกระทบที่มีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีความเป็นพิษที่ต่ำมาก  Streptozotocin (STZ) หรือสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นพิษต่อการผลิตอินซูลินของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน และเป็นสาเหตุที่ทำให้หนูเป็นเบาหวานนั้น มันมีการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปขึ้นมาในเบต้าเซลล์ของตับอ่อน โดยเพิ่มความเข้มข้นของระดับอินซูลินที่ต่ำลง และลดค่าของระดับน้ำตาลกลูโคส  ดังนั้น ฮับบาตุซเซาดะฮ์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีบทบาทในการป้องกันโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 จึงเกิดขึ้นได้โดยผ่านการยับยั้งของ Thymoquinone ต่อพัฒนาการของเบาหวาน ชนิดที่  1 นั่นเอง นอกจากนี้ มันยังช่วยลดปฏิบัติกิริยาความไวของอินซูลินที่มีในเซลล์ตับ  ดังนั้น เมล็ดพันธุ์ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อการบริโภคของป่วยในหลาย ๆ การทดลองทางคลินิก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำมาใช้เพื่อการป้องกันโรคเบาหวานก็ตาม  และการศึกษาในอนาคตอาจจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed), องค์ประกอบของสารอาหาร หรือสารสังเคราะห์ ในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวานก็เป็นได้

บทนำ :
โรคเบาหวาน (DM) เป็นโรคสามัญที่พบได้มากที่สุดวิถีชีวิตของผู้คน ในปี 2000 ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ทั่วโลกมีความชุกประมาณ 2.8% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ในปี 2030 [1]  ดังนั้น การป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน จึงเป็นข้อเรียกร้องที่สำคัญต่อการกำหนดรูปแบบในการดำเนินชีวิต ด้วยการมีกิจกรรมทางกายภาพ หรือมีการออกกำลังกายที่มากขึ้น การบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่น้อย และหลีกเลี่ยงนิสัยที่ทำอยู่เป็นประจำ  อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า มันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขา และมองหาทางเลือกที่ยุ่งยากน้อยกว่า  ดังเช่นในวัฒนธรรมของการประกอบของอาหารแบบดั้งเดิม ซึ่งสามารถลดความอยากอาหาร, ลดการดูดซึมกลูโคสในลำไส้, ลดการย่อยสลายกลูโคสในตับ (hepatic gluconeogenesis), ลดระดับน้ำตาลในเลือด, ควบคุมน้ำหนัก เพื่อที่จะสามารถกระตุ้นกลูโคสให้ลดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อน อาจได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นประโยชน์ต่อการควบคุมและป้องกันโรคเบาหวาน  ซึ่งส่วนใหญ่ของการกระทำเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) และส่วนประกอบของมันในเวลาเดียวกัน ด้วยผลการทดลองจากสัตว์ โดยยังไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ  การนำเสนอผลการวิจัยในครั้งนี้ จึงพยายามที่จะหาข้อสรุปในคุณสมบัติของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) และส่วนประกอบของมัน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงประโยชน์ในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน


ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) เป็นพืชสมุนไพร หรือเครื่องเทศในตระกูลดอกดาวเรือง (Ranunculacea) มีชื่อที่รู้จักกันทั่วไปว่า ยี่หร่าดำ (black cumin) หรือเมล็ดสีดำ (black seed)  มันเป็นพืชทรงสูงที่ชอบอยู่กลางแจ้ง มีลำต้นอ่อนและประกอบด้วยต้นเล็ก ๆ  มันจะเติบโตในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน เอเชีย รวมทั้งอินเดีย, ปากีสถาน, อินโดนีเซีย, อิตาลี และอัฟกานิสถาน  ในประเทศอินเดียเรียกว่า Kalonji หรือ kalajeera  ในขณะที่ประเทศจีนเรียกว่าเป็น Hak Jung Chou เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์นี้ คนอินเดียจะใส่ในผักดองเป็นเครื่องเทศและสารกันบูด และในอียิปต์ได้ใช้เป็นยาขับลมในกระเพาะอาหาร และเป็นเครื่องปรุงกลิ่นโรยบนขนมปัง  ดังนั้น น้ำมันของเมล็ดยี่หร่าดำจึงได้ถูกดึงออกมาใช้ โดยการบีบอัดเมล็ดพันธุ์แล้วมาใช้ปรุงอาหาร  นับเป็นเวลากว่าศตวรรษมาแล้วที่เมล็ดของมันได้ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเป็นยารักษาโรค ในละตินโบราณจะเรียกว่าเป็น Panacea ซึ่งมีความหมายว่ารักษาทุกโรค (cure all) และในทางอายุรเวทมีความชื่นชอบในคุณสมบัติที่หลากหลายของมัน : ขม, ร้อน, กระตุ้นทางธรรมชาติ และได้นำฮับบาตุซเซาดะฮ์มาใช้รักษาโรคและความเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร, โรคตับ, โรคท้องร่วง, มีไข้, ไอ และโรคพยาธิตัวตืด นี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างเพียงไม่กี่โรคเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้นำมาใช้เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

การทบทวนงานวิจัยและอภิปราย :
ในเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮฺ (Negilla sativa) ประกอบด้วยน้ำมันคงที่ (fix oil) และน้ำมันหอมระเหย (essential oils), โปรตีน, อัลคาลอยด์ และซาโปนิน  มันประกอบด้วยน้ำมันคงที่มากกว่า 30%  ส่วนของน้ำมันหอมระเหย 0.40-0.45% (w/w) มีกรดไขมัน 8 ชนิด และองค์ประกอบอีก 32 ชนิด ที่ระบุไว้ในน้ำมันคงที่และน้ำมันหอมระเหย ตามลำดับ กรดไขมันหลักของน้ำมันคงที่ คือ กรดไลโนเลอิก, กรดโอเลอิก, และกรด palmitic  โดยส่วนประกอบหลักที่สำคัญของน้ำมันหอมระเหย คือ thymoquinone (TQ), trans-anethole, p-cymene, alpha pinene, limonene, and carvone[ 2 - 4 ] นอกเหนือไปจากเมล็ด, ราก และใบแล้ว มีสารประกอบฟีนอลิก (phenolic) ที่เหมือนกับ vanilic acid[ 5 ] ส่วนใหญ่แล้วกิจกรรมทางชีวภาพของเมล็ด จะถูกแสดงโดยบทบาทของ thymoquinone (2-isopropyl-5-methyl-1 ,4-benzoquinone) ซึ่งมีโครงสร้างทางเคมี คือ C 10 H 12 O 2  และสารสกัด Nigellone เป็น carbonyl polymer ของ TQ ที่แยกออกมาจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์  แม้ว่าสารพอลิเมอร์ (polymer) จะยังอยู่ห่างไกลจากความไม่เป็นพิษ แต่ยังคงรักษาคุณค่าทางเภสัชวิทยาไว้เป็นอย่างมากในคุณสมบัติของ TQ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของสารอาหารในฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed)  การออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของฮับบาตุซเซาดะฮ์และองค์ประกอบของมันได้ถูกรวบรวมรายงานไว้ในเรื่องการป้องสารพิษในไต, ตับ และโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ รวมทั้งสารเคมี[ 6 - 14 ] เมล็ด/น้ำมันของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) มีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบ [ 15 ], เป็นยาแก้ปวด[ 4 ] ลดไข้[ 16 ], ลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ [ 17 ], ขยายหลอดลม[ 17 ], ยับยั้งการผลิตฮิสตามีน[ 18 ],   ลดภาวะความดันโลหิตสูง[ 19 ], ป้องกันเนื้องอก (anti-tumor)[ 20 ], มีสารต้านอนุมูลอิสระ[ 18 ], ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกหรือเซลล์มะเร็ง (antineoplastic)[ 9 , 21 , 22 ], คุมกำเนิด (antifertility)[ 23 ],ป้องกันแบคทีเรีย (antibacterial)[ 24 ], ป้องกันเชื้อรา (antifungal)[ 25 ], ป้องกันเชื้อโปรโตซัว เช่น เชื้อมาลาเลีย(antiprotozoal)[ 26 ], เป็นยาขับถ่ายพยาธิ[ 27 ] เป็นยาฆ่าแมลง[ 28] และในเรื่องอื่น ๆ

การรักษาหนูด้วยสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในรายงานที่ได้รับถูกบันทึกไว้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของผลเลือด (hemogram) ซึ่งรวมถึงการเพิ่มขึ้นของระดับเฮโมโกบินในเซลล์[29 ] และลดปริมาณความเข้มข้นของพลาสมาในคอเลสเตอรอล,ไตรกลีเซอไรด์ และกลูโคส [ 30 ] เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) มีคุณสมบัติที่แห่งโดดเด่นในเรื่องของการให้ความเป็นพิษ (toxic) ในระดับที่ต่ำมาก การนำมาใช้งานของทั้งสารสกัดจากเมล็ดหรือน้ำมันที่ได้ แสดงให้เห็นว่าไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบของตับและไต[ 31 ] ในการตรวจสอบการให้ยา LD50 (สารพิษที่ใช้ในการทดลอง) ในหนูที่ได้รับสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ จากการสังเกตพบว่า การไม่ตายจะเกิดขึ้น เมื่อมีการให้น้ำ,เมทานอล, และสารสกัดจากคลอโรฟอร์มทางปาก ในปริมาณที่สูงถึง 21 กรัม/กิโลกรัม และในปริมาณสูงมากถึง 6 กรัม/กก./วัน ทางปาก เป็นเวลาติดต่อกัน 14 วัน พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เสื่อมลงในเซลล์ตับ ตามที่ได้ถูกตั้งข้อสังเกตไว้  ด้วยการให้เพียงสารสกัดที่เป็นน้ำจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ โดยไม่ได้มีการให้เมทานอล และสารสกัดคลอโรฟอร์ม [ 32 ] สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงขอบเขตที่กว้างขวางในเรื่องของความปลอดภัย จากการได้สารอาหารจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ด้วยน้ำมันคงที่ 4% หรือน้ำมันหอมระเหย 0.3% พบว่า หนูปลอดภัยจากดัชนีชี้วัดภูมิคุ้มกัน เช่น ในตับ และการทดสอบการทำงานของไต, serum protein profile, ระดับการเต้นของหัวใจ, ความสมดุลของอิเล็กโทรไลท์ (electrolytes balance), เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว มีค่าอยู่ในช่วงปกติ ถึงแม้เวลาจะผ่านมาถึง 56 วัน[ 33 ] ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ปกติ  ถึงแม้ว่า TQ จะทำหน้าที่ยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง[ 34 ]  ดังนั้น ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) อาจจะเป็นประโยชน์ในการรักษาในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่มีอาการแพ้น้ำตาลกลูโคส  ดังเช่นการได้รับน้ำตาลกลูโคสมากขึ้น-นำไปสู่การเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งของอินซูลิน โดยที่ไม่มีผลกระทบในทางลบ (negative) ต่อการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสจากเยื่อเมือกของลำไส้[ 35 ]
1. การป้องกันโรคเบาหวานในหนูปกติ
ในการทดลองให้สารสกัดที่เป็นน้ำจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) กับหนูปกติ ในขนาด (10 มล./กก./ วัน) ทางปาก เป็นเวลา 7 ถึง 14 วัน สามารถเพิ่มเซรั่มอินซูลิน และลด
ระดับเซรั่มกลูโคส อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อของตับอย่างเห็นได้เด่นชัด แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของเซรั่ม SGPT [คือ เซรั่มที่อยู่ในตับตามปกติ แต่จะถูกหลั่งออกมาในเลือดเมื่อตับได้รับความเสียหาย] และมีความเข้มข้นของเซรั่ม GGTP[เอนไซม์ที่พบในตับ ซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดผลของการรักษา] จะถูกตั้งข้อสังเกต[ 36 ]
ในการทดลองอีกชิ้นงานหนึ่ง คือ การรักษาด้วยการให้สารสกัดที่เป็นน้ำจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) ทางปากแก่หนูปกติ ในขนาด (2 กรัม/กก.ทุกวัน) เป็นเวลา 6 สัปดาห์ สามารถเพิ่มความทนทานต่อกลูโคสได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการใช้ยา metformin (300 mg/kg ทุกวัน) นอกจากนี้ ยังสามารถลดลงน้ำหนักของร่างกาย  โดยปราศจากผลกระทบที่เป็นพิษ[37]
และงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง คือ การให้สารสกัด petroleum ether จากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) แก่หนูปกติ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เป็นเหตุให้มีการบริโภคอาหารลดลง 25% นำมาซึ่งการลดลงของน้ำหนักชั่วคราว โดยไม่มีสัญญาณของความเป็นพิษใด ๆ เกิดขึ้น เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการรักษา มีระดับพลาสมาอินซูลินและไตรกลีเซอไรด์ต่ำลง ในขณะที่ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ตลอดระยะของการรักษา[ 38 ]  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การให้สารสกัดจากฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ในช่วง 2 สัปดาห์แรก มีการเพิ่มของเซรั่ม อินซูลิน โดยอาจเป็นผลของการกระตุ้นกลูโคสไปเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งอินซูลินจากเบต้าเซลล์ [ 39 ] และเมื่อการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานระดับเซรั่มอินซูลินลดลง เหมือนกับว่าเซรั่มกลูโคสไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดการหลั่งอินซูลินเพิ่ม ทั้งนี้ ผลจากการเบื่ออาหาร อาจจะมีประโยชน์สำหรับการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป (หรือโรคอ้วน)
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน (antidiabetic) ในการศึกษาทดลองด้วยการให้น้ำมันคงที่ (fix oil) ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ แก่หนูปกติในปริมาณ (1 ml/kg) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ระดับน้ำตาลในเลือด,
คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ลดลง 16.5%, 15.5%, 22% ตามลำดับ  เมื่อเทียบกับค่าที่จะต้องควบคุม ซึ่งคู่ขนานไปกับน้ำหนักตัวที่ลดลง อย่างมีนัยสำคัญ  เมื่อเปรียบเทียบกับการให้การรักษาในสัตว์ด้วย Black Seed Oil ในกลุ่มที่มีการควบคุม[ 30 ]  นอกจากนี้ สารสกัดที่ไม่ได้เป็นไขมัน (defatted extract) จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยังเพิ่มกลูโคสเหนี่ยวนำให้เกิดการปลดปล่อยอินซูลินในตับอ่อนของหนู ในความเข้มข้นขึ้นที่อยู่ระดับที่ควบคุม[ 39
2. การทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน ด้วยการให้สาร STZ เพื่อให้หนูเป็นเบาหวาน

Kanter  และเพื่อนร่วมงาน ได้ศึกษาถึง
ประสิทธิผลของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ที่มีต่อ streptozotocin หรือ STZ [คือ สารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในร่างกาย และเป็นพิษต่อการผลิตอินซูลินในเบต้าเซลล์ของตับอ่อน]  ซึ่งทำให้เกิดทำให้เกิดโรคเบาหวานในหนู  โดยได้ทำการทดลองด้วยวิธีการฉีดสาร STZ (50 มล./กก.) เข้าที่ช่องท้องของหนู ซึ่งจะทำให้หนูกลายเป็นโรค
เบาหวานภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงฉีดน้ำมันหอมระเหยจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์
เข้าที่ช่องท้องของหนูเบาหวานในขนาด 0.20 มล./กก. เป็นเวลา 30 วัน เพื่อเป็นการฟื้นฟูเบต้าเซลล์ของตับอ่อน โดยการลดระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น และเพิ่มความเข้มข้นของระดับอินซูลินที่ต่ำลงให้สูงขึ้น[40] และเช่นเดียวกัน ผลจาก STZ ที่ทำให้หนูเป็นเบาหวาน ได้ถูกตั้งข้อสังเกตด้วยการให้การรักษาด้วยน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ในขนาด (300 - 400 มก./กก.ของน้ำหนักตัว ) หรือให้สารสกัด thymoquinone ในขนาด (50 มก./กก. ของน้ำหนักตัว ) ทางปากวันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 12 สัปดาห์ [41 , 42]

และในกรณีที่คล้ายคลึงกัน ได้มีการให้สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ที่เป็นผง ในขนาด (10 กรัม/กก./ วัน) ทางปากเป็นเวลา 21 วัน ในหนูที่ถูกให้ STZ  โดยการทดลองของ Khanam และ Dewan[ 43 ]  ผลการศึกษาทั้งหลาย ให้ผลเช่นเดียวกับการให้สารสกัดจาก n-Hexane จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ในปริมาณโดซที่เหมือนกัน และดูเหมือนว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ และ Black Seed Oil จะช่วยปกป้องเบต้าเซลล์และต่อต้านความเครียดที่เกิดจากขบวนการ oxidation  โดย STZ ก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของ lipid peroxidation [จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารพิษ] และเซรั่มไนตริกออกไซด์ (NO) ที่เข้มข้น และลดปฏิกิริยาของเอนไซม์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระของหนู  กลุ่มของเซลล์ที่ผลิตฮอร์โมนในตับอ่อน (islet cell) เสื่อมสภาพและอ่อนแอในหนูที่ได้รับ STZ ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ซึ่งสังเกตและตรวจวัดได้จากวิธีการทางเคมี (Immunohistochemical) ความเข้มที่เพิ่มขึ้นจากการย้อมสีของอินซูลินและการเก็บรักษาจำนวนของเบต้าเซลล์ beta-cell ได้เป็นที่ประจักษ์ชัด โดยการรักษาด้วยการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ในหนูเบาหวาน  การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นการรักษาที่ช่วยป้องกันผลกระทบจากการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ด้วยการลดความเครียดจากการ oxidation และรักษาความสมบูรณ์ของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน จากการได้รับ STZ ที่ทำให้หนูเป็นโรคเบาหวาน[ 44 ]

Pari และ Sankaranarayanan ได้ให้ Thymoquinone 20 – 80 มก./กก. เป็นเวลา 45 วัน ในหนูเบาหวานที่ได้รับ STZ-NICOTINAMIDE แล้วสังเกตฤทธิ์ของการลดระดับน้ำตาลในเลือดที่ชัดเจน จากการลดลงของน้ำตาลกลูโคสเช่นเดียวกับระดับ HBA (1C)[ 45 ] นอกจากนี้ Tymoquinone ยังเป็นการรักษาที่ทำให้เกิดการปรับปรุงโครงสร้างและระบบการทำงานของไต หลังจากที่หนูได้รับ STZ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเบาหวาน เมื่อให้ Thymoquinone ในขนาด (50 มก./กก./วัน) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ สามวันหลังจากหนูเกิดโรคเบาหวานจะทำให้ลดขนาดการกรองของไต และขยายโครงข่ายเส้นเลือดและท่อลำเลียงของไตเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับการรักษา[46]  ในระหว่างตั้งครรภ์ของหนูเบาหวาน (ที่ได้รับ STZ) การรักษาด้วย Thymoquinone ช่วยยับยั้งความผิดปกติของตัวอ่อนโดยการลดอนุมูลอิสระ นอกเหนือจากนี้ยังช่วยเพิ่มขนาดและการเจริญเติบโตของตัวอ่อน [47]  

โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญในผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ต้องพึ่งพาอินซูลิน กลไกความแข็งแรงของกระดูกโคนขาและกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้นได้ด้วยการให้ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (hPTH) ในการรักษา โดยการรักษาร่วมกับการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีประสิทธิภาพมากกว่า การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือการให้การรักษาด้วย hPTH เพียงอย่างเดียว เพื่อปรับปรุงมวลกระดูก, การเชื่อมต่อ และพฤติกรรมทางชีวกลศาสตร์ในอินซูลิน ของหนูเบาหวานที่ได้รับ STZ ซึ่งจะช่วยเหนี่ยวนำให้เกิดความหนาแน่นของมวลกระดูก[48]

3. การทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน ในหนูแฮมสเตอร์ (ที่ได้รับ STZ)
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ Black Seed Oil (NSO) มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการผลิตอินซูลินในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 – และในรูปแบบที่เหมือนกัน  Fararh และคนอื่น ๆ  ได้ทดลองให้การรักษาด้วย Black Seed Oil แก่หนูแฮมสเตอร์ที่ป่วยเป็นเบาหวาน (จากการได้รับ STZ) ในช่วงเวลาหลังจากหนูเป็นเบาหวานแล้ว 6 สัปดาห์  โดยให้ black seed oil ในขนาด  (400 มก./กก. ทางปาก ผ่านหลอดลำเลียงส่งไปยังกระเพาะอาหาร) หลังจากหนูได้รับการรักษา ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงทุกวันจาก 391 3.0 mg/dl ก่อนการรักษา เป็นระดับ 325 4.7, 246 5.9, 208 2.5 และ 179 3.1 mg/dl หลังจากได้รับการรักษาในสัปดาห์แรก, ที่ 2, 3, และ 4 ตามลำดับ  การผลิตน้ำตาลกลูโคสในตับจาก gluconeogenic precursors (alanine, glycerol and lactate) มีค่าที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการให้การรักษาหนูแฮมสเตอร์ ได้ชี้ให้เห็นว่า มีการลดลงของ gluconeogenesis ในตับ[49]  ประสิทธิผลที่คล้ายกันได้ถูกตั้งข้อสังเกต โดยการให้ Thymoquinone ในขนาด (50 มก./กก. ทุกวัน) แก่หนูแฮมสเตอร์เบาหวาน (ที่ได้รับ STZ เหนี่ยวนำให้เกิดโรคเบาหวาน)  4 สัปดาห์หลังจากที่หนูเป็นเบาหวาน  ภายในเวลา 30 วันหลังให้การรักษาด้วย TQ, เซลล์เนื้อเยื่อของตับ (hepatocytes) ได้ถูกแยกออก เพื่อตรวจสอบการผลิตกลูโคสในตับ ผลการตรวจวัดพบว่า ผลผลิตกลูโคสหลังจากการบ่มเพาะ hepatocytes และขบวนการ gluconeogenic เป็นเวลา 2 ชั่วโมง มีค่านัยสำคัญลดลง ในหนูแฮมสเตอร์ที่รักษาด้วย Thymoquinone[50] ผลลัพธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า กลไกการป้องกันโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ Thymoquinone อย่างน้อยที่สุด มีบางส่วนที่มีการลดลงของ gluconeogenesis ในตับ และในการทดลองอื่น เพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดร่วมกับการเพิ่มระดับเซรั่มอินซูลิน ของหนูแฮมสเตอร์เบาหวาน ภายหลังให้การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ จาการสังเกตการทำงานของอินซูลินในตับอ่อน พบว่า พื้นที่ส่วนใหญ่มีปฏิกิริยาต่อภูมิคุ้มกันที่เป็นบวก ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย black seed oil เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษา โดยใช้เทคนิค immunohistochemistry ในการตรวจวัด [51]  จึงชี้ให้เห็นว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ black seed oil ช่วยให้ฟื้นฟูการสร้างเบต้าเซลล์ และช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในเบต้าเซลล์
4. การป้องกันโรคเบาหวานใน Cadmium/HAART (ยาต้านไวรัส) ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) ช่วยลดความเสียหายของเบต้าเซลล์ในตับอ่อน ที่ได้สัมผัสกับสารพิษ เช่นแคดเมียม  โดย Cadmium chloride ขนาด (0.49 มก./กก. /วัน) ได้ถูกฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ก่อให้เกิดจากการเสื่อมสภาพ,เนื้อร้าย, และทำให้เกิดความอ่อนแอของ degranulation ในกลุ่มฮอร์โมนที่อยู่ในเบต้าเซลล์ของตับอ่อนของหนู  สามวันก่อนที่หนูจะได้รับแคดเมี่ยมคลอไรด์ (CdCl 2) ได้มีการฉีดฮับบาตุซเซาดะฮ์เข้าในช่องท้องของหนูเป็นประจำวันทุกวัน  เพื่อลดความเสื่อมของเนื้อร้ายที่เกิดจากการได้รับแคดเมียมและลดการเกิด degranulation ในกลุ่มฮอร์โมนที่อยู่ในเบต้าเซลล์ของตับอ่อน และการเพิ่มขึ้นของระดับอินซูลินที่ลดต่ำลง[52]  การรวมตัวของเชื้อ HIV-1 ต่อการใช้ยาต้านไวรัสระดับสูง (HAART) เชื่อมโยงไปสู่การเหนี่ยวนำให้เกิดความต้านทานต่ออินซูลิน การใช้ยาต้านไวรัส (HAART) ในระยะยาวของผู้ป่วย HIV-1-positive ทำให้เกิดความต้านทานต่ออินซูลิน  ซึ่งสามารถป้องกันได้ ด้วยการให้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในขนาด (400 micolitres/kg ของน้ำหนักตัว) โดยแสดงให้เห็นถึงการป้องกันการเพิ่มขึ้นของระดับอินซูลินและ c-peptide ในหนู Sprague Dawley- ซึ่งได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (HAART) เป็นประจำทุกวัน ต่อเนื่องเป็นเวลา 7 เดือน[53]  การสัมผัสกับยาฆ่าเชื้อไวรัส ที่แตกต่างกันหลายชนิด ได้แก่ Nelfinavir, saquinavir และ atazanavir ทำให้การกระตุ้นการหลั่งอินซูลินกลูโคสจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อนของหนูลดลง- เป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของปฏิกิริยา reactive oxygen species (ROS)  ทั้ง Thymoquinone และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ทำให้การกระตุ้นการหลั่งอินซูลินกลูโคสเพิ่มขึ้น และช่วยเยียวยาผลกระทบที่เกิดจากการใช้ยา Nelfinavir[54]
5. กลไกที่มีความเป็นไปได้ในการป้องกันโรคเบาหวาน
กลไกในการป้องกันโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N.sativa) เกิดจากความสามารถที่หลากหลายทางเภสัชกรรมของมัน  โดย Rchid และเพื่อนร่วมงาน ได้แสดงให้เห็นว่าสารสกัดส่วนที่ไม่ได้เป็นน้ำมัน (defatted extract) ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ สามารถเพิ่มระดับกลูโคสเหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งอินซูลินในกลุ่มเซลล์ตับอ่อนของหนู-ในระดับของความเข้มข้นที่ขึ้นอยู่กับการควบคุม[39] นอกเหนือจากการกระตุ้น การหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนแล้ว ฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด (antihyperglycemic) ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ อาจเกิดขึ้นจากภายนอกตับอ่อน เช่น เลือด-ประสิทธิผลในการลดระดับกลูโคสของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ไม่ได้เหมือนกับการกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ของ black seed oil, nigellone หรือ thymoquinone ในหนูเบาหวานที่ได้รับ STZ[55]  ไนตริกออกไซด์มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำลายเบต้าเซลล์ในระหว่างการเกิดโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 จากการได้รับ STZ   โดยมี STZ เป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดโรคเบาหวาน , เซรั่มและไนไตรต์ในตับอ่อนเพิ่มขึ้น  เมื่อให้หนูเหล่านี้ได้รับ Thymoquinone ซีรั่มและไนไตรต์ในตับอ่อนลดลงภายใน 3 วัน  และพบว่า Thymoquinone ไม่มีผลกระทบต่อความเสื่อมโทรมของ IKB หรือการกระตุ้นของ kB  ถึงแม้ว่าจะมีนัยสำคัญในการยับยั้งทั้ง p44/42 และ p38 mitogen-การกระตุ้นโปรตีนไคเนส (MAPKs) ซึ่งนำไปสู่ขบวนการกระตุ้น nitric oxide synthase การผลิตไนตริกออกไซด์  ข้อมูลเหล่านี้เน้นบทบาทในการปกป้องกันของ Thymoquinone ต่อการต่อต้านการพัฒนาการของโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 โดยผ่านเส้นทางของการยับยั้งไนตริกออกไซด์[56]  Thymoquinone ดูเหมือนจะย้อนกลับไปทำให้ไนไตรท์สูงขึ้นในหลอดทดลอง[57] มันเป็นที่รู้จักดีในบทบาทของการปราบปรามการแสดงออกของ nitric oxide synthase ที่ถูกกระตุ้นในเม็ดเลือดขาวของหนู[58]  ในโรคเบาหวาน ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ป้องกันการย่อยสลายไขมัน (lipid peroxidation) และสร้างระบบในการป้องกันตนเองและการต่อต้านอนุมูลอิสระ
Meral และคนอื่น, ได้ทำให้กระต่ายเป็นเบาหวาน โดยใช้ Alloxan 10% ในขนาด 150 มก./กก. และให้การรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ ทางปากแก่กระต่าย เป็นเวลา 2 เดือน และพบว่าระดับกลูโคสสูงขึ้น และความเข้มข้นของ malondialdehyde (MDA) ลดลง, เพิ่มการลดระดับของกลูตาไธโอน (GSH) และความเข้มข้น ceruloplasmin, และป้องกันการย่อยสลายไขมัน (lipid peroxidation)- ซึ่งเป็นตัวชักนำให้เกิดอันตรายต่อตับในกระต่ายเบาหวาน[59]  กลไกในการป้องกันโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) อย่างน้อยที่สุดส่วนหนึ่งผ่านมาจากการลดลงของขบวนการเผาผลาญสารอาหาร (gluconeogenesis) ในตับ[60]
Fararh แสดงให้เห็นว่า การผลิตกลูโคสในตับ gluconeogenic precursors (alanine, glycerol and lactate) มีค่านัยสำคัญที่ลดลง ในการรักษาหนูแฮมสเตอร์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า มันมีความสามารถในการลด hepatic gluconeogenesis [ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ][49]  
Le และคนอื่น, แสดงให้เห็นว่า การรักษาร่างกายด้วยสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa), ได้ผลในขนาดโดสที่สูงกว่า  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการทำงานของ MAPK p44/42erk และ PKB  ในการตอบสนองต่ออินซูลินในเซลล์ตับ (hepatocytes) ซึ่งเขาให้ความเห็นว่า ในการรักษาร่างกายด้วยสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ช่วยลดความไวของอินซูลิน โดยการเสริมสร้างการทำงานของเส้นทางการส่งสัญญาณภายในเซลล์ (intracellular signal transduction) ของตัวรับฮอร์โมน[38] การดูดซึมของกลูโคสในลำไส้ถูกทำให้ลดลงด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ซึ่งจะเห็นจากข้อเท็จจริงที่ว่า สารสกัดที่เป็นน้ำของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ขนาด (0.1 pg/ml - 100 ng/ml) เป็นขนาดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งโซเดียม และการขนส่งกลูโคสไปยังหนูขาว (rat jejunum)[37]  ทั้งหมดนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลไกในการป้องกันโรคเบาหวานของฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed (N.sativa) สามารถแก้ปัญหาผ่านทางกลไกการทำงานที่หลากหลายรูปแบบ[61]

6. การศึกษาทางคลินิกในมนุษย์
ฮับบาตุซเซาดะฮ์  (N.sativa) ได้ถูกนำมาใช้สืบเนื่องกันมาอย่างยาวนาน เพื่อการรักษาโรคเบาหวานและความดันโลหิต ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงใต้และโมร็อกโก[62] และจอร์แดน  ในการสำรวจผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวน ในประเทศจอร์แดน จำนวน 310 ราย ได้รับการเปิดเผยว่า 7.3% ของพวกเขา ได้ใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในการรักษาโรคเบาหวาน[63]  ฮับบาตุซเซาดะฮ์มีความปลอดภัย สำหรับการนำมาใช้ในการรักษาทางคลินิกในผู้ป่วย (human patients)  


ในประเทศอินโดนีเซีย, ได้มีการศึกษาทดลองแบบ double blinded ในผู้ป่วยที่ถูกนำมาควบคุม และทำการทดลองทางคลินิก ด้วยการให้ยาหลอก โดยคัดเลือกจากผู้ป่วยชาย ที่เป็นผู้ใหญ่และมีโรคอ้วน (อ้วนลงพุง) โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึงประสิทธิภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์(Nigella sativa) ในศูนย์กลางของความเป็นอิสระของเซรั่มฮอร์โมนเพศชาย (central on serum free testosterone), น้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว, น้ำตาลในเลือด, ไขมัน, กรดยูริค , adiponectin (โปรตีนที่มีส่วนในการควบคุมกลูโคส), hs-CRP (ความไวของโปรตีนที่ตอบสนองในเลือดต่อการอักเสบ), และผลข้างเคียง[64] โดยให้การรักษาด้วยการให้ผงของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Kalonji) ในปริมาณ 1.5 กรัม (สองแคปซูล) รับวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้ปรากฏว่า มีค่านัยสำคัญที่สูงมาก ในการลดลงของน้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว, และความดันโลหิตตัวบน (systolic blood pressure)  อย่างไรก็ดี การลดลงของระดับน้ำตาลในเลือดในขณะอดอาหาร, ฮอร์โมนเพศชาย (serum free testosterone), ความดันโลหิต (ค่าตัวล่างที่วัดได้), ไตรกลีเซอไรด์, และคอเลสเตอรอล-HDL, SGOT, SGPT, กรดยูริค และ hs-CRP ไม่มีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเพราะการได้รับฮับบาตุซเซาดะฮ์ในปริมาณโดสที่มีขนาดเล็กกว่าที่ควรจะเป็น และพบว่าไม่มีผลข้างเคียงในกลุ่มที่ให้การรักษา[65]  นอกจากนี้ ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) ยังมีความปลอดภัยในการนำมาใช้แก่ผู้ป่วย (human patients) ในการทดลองทางคลินิกอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการรักษาโรคเบาหวาน 

ในการทดลองทางคลินิก ด้วยการให้สารสสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ทางปากในปริมาณ 100 และ 200 มก. วันละ 2 ครั้ง ในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่รุนแรง เป็นเวลา 8 สัปดาห์  พบว่า มีการลดลงของความดันโลหิต (ทั้งค่าตัวบน systolic และค่าตัวล่าง diastolic) ในขณะเดียวกันสารสกัดที่ได้รับ ทำให้มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในระดับของไลโปโปรตีน (ไขมันรวม) และLDL-คอเลสเตอรอล[10] 

นอกจากนี้ ในการทดลองทางคลินิกอื่นก็เช่นกัน ได้มีการทดลองให้การรักษาเสริม ด้วยการให้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ในประมาณ 2.5 มล. วันละ 2 ครั้ง ร่วมกับการที่ผู้ป่วยรักษาด้วยยา Atorvastatin 10มก./วัน [เป็นเกลือแคลเซียม หรือยากลุ่ม statin ที่ใช้ลดคอเลสเตอรอลในเลือด] และ Metformin 500 มก. วันละ 2 ครั้ง [เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน และมีไตทำงานผิดปกติ]  ผลการรักษาสรุปได้ว่า มีนัยสำคัญในทางพัฒนาการที่ดีขึ้นของ ค่าคอเลสเตอรอลรวม. LDL-คอเลสเตอรอล, และระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร[65]  ให้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ครั้งเดียวในปริมาณ 40 มก./กก. หรือในปริมาณที่เทียบเท่ากับการให้สารสกัด (ethanolic extract) ที่ให้แก่เด็กที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการมีพยาธิตัวตืด พบว่ามีการลดลงของไข่พยาธิในอุจจาระต่อกรัม เมื่อตรวจนับในวันที่ 7 และ 15 และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ที่ไม่พึงประสงค์[66]  การให้สารสกัดฮับบาตุซเซาดะฮ์ ที่ถูกทำให้ร้อนแล้ว 50% ในขนาด (0.375มล./กก.) ทางปาก แก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของสงคราม ส่งผลให้มีการปรับปรุงทางคลินิกของระบบทางเดินหายใจ และการทดสอบสมรรถภาพปอด[67]  ในการทดลองอื่น พบว่าฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคหอบหืด จากประสิทธิผลที่ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย, ป้องกันอาการกระตุกของกล้ามเนื้อเรียบ (anticholinergic), ป้องกันหรือยับยั้งการเกิดฮิสตามิน (antihistaminic)[68] เนื่องจากคุณสมบัติของฮับบาตุซเซาดะฮ์ในการต่อต้านฮิสตามีน (antihistaminic), เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant), ป้องกันการติดเชื้อ (antiinflamatory) และต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย (antibacterial) จึงพบว่ามีประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเฉียบพลันในช่องปาก (acute tonsillopharyngitis) ในการสุ่มตรวจควบคู่กับการใช้ยาหลอกในการทดลองทางคลินิก[69]  ในยาแผนโบราณ, ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการป้องกันโรคลมชัก, อาการชัก (anticonvulsant) ในการศึกษาทางคลินิกแบบ (double-blinded) ด้วยการให้สารสกัดที่เป็นน้ำจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในขนาด (40 มก,/กก./8 ชั่วโมง) มีความปลอดภัยในการใช้เป็นยารักษาแบบเสริมให้กับเด็กที่มีอาการของโรคลมชักดื้อยา [70 ]  การให้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ชนิดแคปซูลในขนาด (40 - 80 มก./กก./วัน) แก่ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ไม่พบว่ามีอาการข้างเคียงที่ได้รับรายงาน[71] เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผงของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ มีความปลอดภัยในการใช้ในการทดลองกับมนุษย์ ซึ่งไม่ได้ให้ผลสรุปที่ถูกต้องทางสถิติ ในความต้องการของขนาดตัวอย่างที่เหมาะสม[72] ผลกระทบหรือพิษของฮับบาตุซเซาดะฮ์ ที่มีนัยสำคัญไม่ได้มีการตั้งข้อสังเกตไว้ในการศึกษาเหล่านี้  

สรุปได้ว่า : มันมีความปลอดภัยทั้งการใช้จากส่วนที่เป็นเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ในกิจกรรมหรือกระบวนการที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวาน ซึ่งอย่างน้อยที่สุด มันเป็นสื่อนำที่ช่วยกระตุ้นกลูโคสให้เกิดการปลดปล่อยอินซูลินในเบต้าเซลล์, ช่วยลด gluconeogenesis ในตับ, มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และลดการดูดซึมกลูโคสจากลำไส้

การทดลองในสัตว์พบว่า มีการใช้เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์, น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) และส่วนประกอบ รวมทั้ง Thymoquinone อย่างปลอดภัยในปริมาณที่เหมาะสม  เมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ถูกนำมาใช้ในการทดลองทางคลินิกสำหรับโรคอื่น ๆ มากกว่าโรคเบาหวาน และอาจจะต้องมีการศึกษาถึงปริมาณการใช้ที่ปลอดภัยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน (DM) โดยผ่านการออกแบบการทดลองทางคลินิกที่ดี  คำเตือนยังคงมีความจำเป็น หากว่าในการรักษาในระยะยาวได้ถูกวางแผนไว้  

Tennekoon และเพื่อนร่วมงาน [73] ได้สาธิตให้เห็นว่า การเพิ่มความเข้มข้นของ SGPT [เอนไซม์ที่ถูกปล่อยสู่กระแสเลือด เมื่อการการบาดเจ็บหรือเสียหายในตับ] และการเพิ่มปฏิบัติการณ์ของเซรั่มกลูตาเมต serum glutamate oxaloacetic transaminase (SGOT : คือค่าเอนไซม์หรือโปรตีนในตับ ถ้าตัวเลขสูงแสดงว่าตับทำงานผิดปกติ) ในหนูที่ได้รับเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ ไม่มีค่านัยสำคัญ  โดย Glutamate pyruvate transaminase (GPT) คือไซโตพลาสม่าเอนไซม์ซึ่งพบว่า มีระดับที่เข้มข้นสูงมากในตับ, และ Glutamate oxaloacetic transaminase (GOT) ถูกแสดงอยู่ในไซโตพลาสม่าเช่นเดียวกับใน mitochondria (และน้อยกว่าที่ระบุ ไว้ใน GPT) เป็นค่าเอนไซม์ที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความเสียหายของตับ เพราะมันจะหยุดทำงานลงอย่างรวดเร็ว[74]  การควบคุมและบำบัดรักษาด้วยฮับบาตุซเซาดะฮ์ (N. sativa) โดยการให้สารอาหารทางปาก ได้ชี้นำไปสู่เครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึง ความมีนัยสำคัญของค่า gamma-glutamyl transpeptidase enzyme activity หรือ GGT [ค่าเอนไซม์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อของตับ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความมีนัยสำคัญหรือผลของการรักษาโรค] ในเลือดหลังจากวันที่ 7 และ 14 ของการรักษาในหนู ถึงแม้ว่าหลักฐานการตรวจสอบทางทางพยาธิวิทยาของตับ จะไม่ถูกสังเกตเห็น[36] ระดับความเข้มข้นของค่า gamma-glutamyl transpeptidase ในเลือดที่สูงขึ้น ถือได้ว่าให้เป็นหนึ่งในดัชนีที่สำคัญที่สุดในการชี้วัดความเสียหายของตับ[75] การเพิ่มขึ้นของ gamma-glutamyl transpeptidase (GGT) และความเข้มข้นของ GPT ในกรณีที่ไม่มีการเสียหายของตับ ได้ถูกตั้งข้อสังเกต จากการติดตามผลการให้ทางปากของสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ และนี่ก็แสดงให้เห็นว่า เอนไซม์เหล่านี้อาจได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากสาเหตุของความเสียหายที่เกิดจากตับในระดับโมเลกุล  อย่างไรก็ตาม เอนไซม์มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ซึ่งไม่สามารถวัดค่าและประเมินซ้ำ หรือการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ในระยะยาวอาจจะไม่ปลอดภัย  ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจวัดระดับเลือด เมื่อได้มีการใช้ฮับบะตุซเซาดะฮ์ในระยะเวลาที่ยาวนาน ดังเช่นการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black Seed Oil (NSO) ในขนาด (1มล./ กก.) โดยให้เป็นเวลา 12 สัปดาห์ แก่หนูปกติ ทำให้มีการลดลงของจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด[30]

ในปีที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนัก ได้มีการศึกษาจำนวนมากทำการศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยาทางเภสัชกรรมของฮับบาตุซเซาะดะฮ์ และ Thymoquinone และในอนาคตจำเป็นที่จะต้องได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อประเมินค่าของผลประโยชน์ในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน ทั้งก่อนการรักษาและหลังการรักษาทางคลินิก ความพยายามที่จะแยกสารสกัดอื่น ๆ ที่สำคัญในฮับบาตุซเซาดะฮ์ เช่น nigellamines [76] การดำเนินการสังเคราะห์อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาสารสกัดหลักที่เป็นประโยชน์ในฮับบาตุซเซาดะฮ์ อาจจะพบสารที่มีประโยชน์มากกว่า Thymoquinone  และนี่อาจะเป็นส่วนที่จะต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคตก็เป็นได้.

อ้างอิง References : (คลิ๊กจากลิงค์ในบทความได้เลยนะคะ^^)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรุณากรอกชื่อ หรือนามแฝง หรืออีเมลล์ด้วยค่ะ