Q 10 : โรคเบาหวานมีกี่ชนิด หรือกี่ประเภท??
A 10 : ใช้ตามองค์การอนามัยโลก คศ.1985 ซึ่งแบ่งตามลักษณะคลินิก ได้แก่ โรค
เบาหวานชนิดที่พึ่งอินซูลิน (IDDM), โรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (NIDDM), โรค
เบาหวานที่เกี่ยวข้องกับภาวะทางโภชนาการ (MRDM), และโรคเบาหวานที่มีสาเหตุ
อื่น ๆ ซึ่งการจำแนกดังกล่าวพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ หรือไม่สามารถแยกกันได้ชัดเจน ในแง่ของพยาธิสรีรวิทยาในการเกิดโรค การดำเนินโรค, การตอบสนองต่อการรักษา, และการป้องกันโรค ดังนั้น สหพันธ์โรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา ค.ศ.1997 และองค์การอนามัยโลก ค.ศ.1998 จึงได้มีการจำแนกประเภทของโรคเบาหวานใหม่ ได้แก่
1. โรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 (Type 1 DM) เป็นเบาหวานที่พบได้น้อย (ประมาณร้อยละ 10) แต่มีความรุนและอันตรายสูง มักพบในเด็กและคนอายุต่ำกว่า 25 ปี แต่ก็อาจพบในคนสูงอายุได้บ้าง
มีสาเหตุมาจาก ตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้จะสร้างอินซูลินไม่ได้เลย หรือได้น้อยมาก
การรักษาผู้ป่วยจำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนในร่างกายทุกวัน จึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ และพบว่ามีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
การรักษาผู้ป่วยจำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนในร่างกายทุกวัน จึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ และพบว่ามีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
มีสาเหตุมาจาก ร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับความผิดปกติในการหลั่งอินซูลินของตับอ่อน ทำให้การหลั่งอินซูลินลดลง ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จึงทำให้มีน้ำตาลที่เหลือใช้ กลายเป็นเบาหวานได้ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะอ้วน ทำให้ดื้อต่ออินซูลิน แต่ในรายที่ไม่อ้วน มักจะมีไขมันที่พุงมาก เบาหวานชนิดนี้มักพบว่า มีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมมากกว่าโรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 แต่มีรายละเอียดทางพันธุกรรมที่ซับซ้อน และไม่ชัดเจน
การรักษา ใช้การควบคุมอาหาร ควบคู่ไปกับการใช้ยาเบาหวานชนิดรับประทาน จะได้ผลในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติได้ บางครั้งถ้าระดับน้ำตาลสูงมาก ๆ ก็อาจต้องใช้อินซูลิน ฉีดเป็นครั้งคราว แต่ไม่ต้องใช้อินซูลินตลอดไป จึงเรียกว่าเป็นเบาหวานชนิดไม่ต้องพึ่งอินซูลิน
ปัญหาที่สำคัญ คือ ผู้ป่วยมักไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก เนื่องจากส่วนใหญ่ยังไม่มีอาการผิดปกติ
3. โรคเบาหวานชนิดอื่น ได้แก่ โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบชนิดที่ชัดเจน หรือมีสาเหตุมาโรคของตับอ่อน ความผิดปกติของฮอร์โมน การใช้ยาสเตียรอยด์ หรือสารเคมี และอื่น ๆ
4. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) หมายถึง โรคเบาหวานที่มีความผิดปกติของความทนต่อกลูโคส ที่ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกขณะตั้งครรภ์ พบว่ามีประมาณร้อยละ 4 ของหญิงมีครรภ์ เป็นสาเหตุให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในการพัฒนาทั้งแม่และลูกน้อย
Q 11 : ทำไมถึงเกิดโรคแทรกซ้อนเรื้องรังในผู้ป่วยโรคเบาหวาน??
A 11 : ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นระยะเวลานาน จะเป็นพิษต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบหลอดเลือด ซึ่งเป็นเสมือนท่อส่งน้ำเลี้ยงของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ดีจะมีความผิดปกติของระดับไขมันในเลือดด้วย โดยจะมีไขมันในเลือด และความดันโลหิตสูงกว่าปกติ ทั้งระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด และความดันโลหิตที่สูงมีผลต่อผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ มีการอักเสบ และมีการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดทำให้ตีบ แคบลง หรืออาจตันไปในที่สุด เลือดไม่สามารถผ่านไปยังอวัยวะต่างๆ ได้ จึงเกิดภาวะขาดเลือด ขาดสารอาหาร ขาดออกซิเจน ทำให้อวัยวะนั้น ๆ เสียหาย เช่น ถ้าเกิดกับหลอดเลือดหัวใจ ผู้ป่วยก็จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย ถ้าเกิดกับเส้นเลือดในสมอง ก็จะเกิดอาหารอัมพาต ถ้าเกิดกับเส้นประสาท ก็จะทำให้เส้นประสาทเสื่อม โดยเฉพาะที่บริเวณเท้า ถ้าเกิดกับจอประสาทตาทำให้จอประสาทตาเสื่อม มีเลือดออก จอประสาทตาหลุดลอก ทำให้ตาบอด ถ้าเกิดกับเส้นเลือดที่ไต ทำให้ไตขาดเลือด ไตเสื่อม เป็นโรคไตวายในที่สุด
Q 12 : โรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน มีกี่ประเภท??
A 12 : โรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน มี 2 ประเภท ดังนี้Q 12 : โรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน มีกี่ประเภท??
1. โรคแทรกซ้อนเฉียบพลัน ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมาก และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
1.1 ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มากกว่า 250 mg/dl ทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดในผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 1 ผู้ป่วยจะมีอาการหิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย หอบลึก ซึม หมดสติ ส่วนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จะเกิดอาการชักกระตุกเฉพาะที่ ซึมหมดสติได้ โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่า 600 mg/dl
วิธีป้องกันภาวะน้ำตาลในสูง- ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ระมัดระวังอาหารหวานจัด เมื่อมีอาการหิวน้ำบ่อย คอแห้ง ปัสสาวะบ่อยให้สงสัยว่าน้ำตาลในเลือดสูง ให้เจาะเลือดดูระดับน้ำตาล และไม่ดื่มน้ำหวานแก้อาการคอแห้ง
- หากมีอาการ หิวน้ำบ่อย คอแห้ง ปัสสาวะบ่อย ให้ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ
- ไม่ควรขาดยาเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ห้ามขาดยาฉีดอินซูลิน เพราะขาดยาแม้เพียง 1 มื้อก็อาจเกิด ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เลือดเป็นกรดได้
1.2 ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 mg/dl อาการขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดลดลงรวดเร็ว หรือไม่? ผู้ป่วยจะมีอาการตัวสั่น มือสั่น เหงื่อออก หวิวปวดศีรษะ มึนงง หมดสติได้ หากมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ ผู้ป่วยอาจหมดสติโดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้าได้
วิธีป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ- ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รับประทานอาหารสม่ำเสมอและตรงเวลา ไม่ควรรับประทานอาหารช้า โดยเฉพาะผู้ที่ฉีดยาอินซูลิน
- หากมีอาการตัวสั่น มือสั่น เหงื่อออก หวิวปวดศีรษะ มึนงง ให้เจาะเลือดดูระดับน้ำตาล หากน้อยกว่า 70 mg/dl ให้รับประทานน้ำหวานเฮลท์บลูบอย 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 แก้ว หรือท็อฟฟี่ 3 เม็ด หรือส้ม 1 ผล ใดอย่างหนึ่ง ตามด้วยการรับประทานข้าว 1ทัพพี แต่ถ้าไม่มีเครื่องเจาะน้ำตาลอยู่ใกล้ตัว ก็สามารถแก้อาการน้ำตาลต่ำดังกล่าวไปก่อนด้วยวิธีข้างต้น
- ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุอื่นที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
2. โรคแทรกซ้อนชนิดเรื้อรัง เกิดจากการควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี เป็นระยะเวลานาน ๆ จนทำให้หลอดเลือดหนาตัว ทำให้เส้นเลือดตีบ และเกิดโรคร้ายแรงตามมา จากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากหลอดเลือดแดงขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ได้แก่
2.1 ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา (Diabetic retinopathy) เกิดหลอดเลือดที่ตาตีบลง จอประสาทตาขาดเลือด ร่างกายพยายามสร้างหลอดเลือดใหม่ทดแทน ซึ่งเส้นเลือดเหล่านี้เปราะแตกง่าย ทำให้ผู้ป่วยตาบอดโดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า
2.2 ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy) เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่ไตมีความเปลี่ยนแปลงหนาตัวขึ้นและมีโปรตีนรั่วออกมา ทำให้ไตเสื่อมลงในที่สุด จนอาจนำไปสู่โรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยมักเสียชีวิตภายใน 3 ปี นับจากแรกเริ่มมีอาการ
2.3 โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary vascular disease) เมื่อเกิดการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจเสื่อมสภาพ ประกอบกับการมีไขมันในเลือดสูง ก็จะส่งผลให้มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด แต่หากเกิดอาการหลอดเลือดอุดตัน ก็จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย ในผู้ป่วยเบาหวานบางราย ที่กล้ามเนื้อหัวใจมีการทำงานน้อยกว่าปกติ คือ มีการบีบตัวน้อยกว่าปกติอันเนื่องมาจาก เส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ ซึ่งจะทำการรักษาทำได้ยาก การรักษาที่ดีที่สุด คือ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ปัญหาที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง คือ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจจะไม่แสดงอาการผิดปกติ ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นโรคหัวใจให้เห็นก่อน เช่น อาการเจ็บหน้าอก อันเป็นอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไป โดยที่บางรายอาจจะแสดงอาการครั้งแรกด้วยอาการที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจล้มเหลว ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติ
2.4 โรคหลอดเลือดในสมอง (Cerebrovascular disease) ผู้ป่วยเบาหวาน จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดอัมพาตชนิดหลอดเลือดตีบได้สูง เพราะเบาหวานทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ง่าย โดยจะมีหลอดเลือดแข็งทั่งร่างกาย และถ้าเป็นที่หลอดเลือดของสมองก็จะเกิดอัมพาตขึ้น โดยอัตราเสี่ยงของผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีโอกาสเสี่ยงเป็นอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติ 2-4 เท่า อาการเบื้องต้นสังเกตได้จาก กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกอย่างทันทีทันใด หรือเป็นครั้งคราว ใบหน้าชาครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง พูดกระตุกกระตัก สับสนหรือพูดไม่ได้เป็นครั้งคราว ตาพร่าหรือมืดมองไม่เห็นไปชั่วครู่ เห็นแสงผิดปกติ วิงเวียน เดินเซไม่สามารถทรงตัวได้ กลืนอาหารแล้วสำลัก บ่อย ๆ มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยอาการปวดมักจะเกิดในขณะที่เคร่งเครียด หรือมีอารมณ์รุนแรง
2.5 โรคของหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (Peripheral vascular disease) เกิดขึ้นจากผนังหลอดเลือดด้านในมีความเสื่อม และหนาตัวขึ้นจากการเกิดคราบไขมันและหินปูน ที่ไปเกาะที่หลอดเลือด ทำให้รูของหลอดเลือดแดงแคบลง ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดเป็นไปอย่างลำบาก อาการขึ้นอยู่กับว่ามีการอุดตันที่ตำแหน่งใด และมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด หากเป็นในระยะแรก อาจมีอาการปวดน่อง ขา เวลาเดินไกลๆ
2.5 โรคของหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (Peripheral vascular disease) เกิดขึ้นจากผนังหลอดเลือดด้านในมีความเสื่อม และหนาตัวขึ้นจากการเกิดคราบไขมันและหินปูน ที่ไปเกาะที่หลอดเลือด ทำให้รูของหลอดเลือดแดงแคบลง ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดเป็นไปอย่างลำบาก อาการขึ้นอยู่กับว่ามีการอุดตันที่ตำแหน่งใด และมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด หากเป็นในระยะแรก อาจมีอาการปวดน่อง ขา เวลาเดินไกลๆ
(Claudication) แต่ถ้ามีการอุดตันอย่างรุนแรงก็จะมีอาการปวดแม้ขณะนั่งอยู่เฉย ๆ นอกจากนี้ยังอาจพบปลายเท้าเย็น สีผิวหนังเปลี่ยนแปลงไป เช่นเป็นสีขาว ๆ ซีด ๆ บางครั้งกลายเป็นสีม่วงคล้ำ และหากเกิดบาดแผลที่เท้าจะเป็นแผลเรื้อรัง หายยาก มีโอกาสที่ต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้ง เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงและทำให้เกิดเนื้อตาย พบว่ามีเพียง 1 ใน 3 ของคนที่เป็นโรคนี้ ที่มีอาการชัดเจนจากการศึกษา ในคน 6,417 รายที่มีความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงอุดตัน ได้แก่ อายุมากกว่า 70 ปี, คนเป็นเบาหวานที่อายุ 50-60 ปี, คนที่สูบบุหรี่มากกว่า 10 ซองต่อปี
2.6 แผลเรื้อรังที่เท้าจากเบาหวาน (Diabetic ulcer) สาเหตุเกิดจากปลายประสาทเสื่อม มีการแข็งตัวและตีบตันของหลอดเลือด ทำให้เส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย ไม่สามารถส่งออกซิเจนมาตามกระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้ รวมถึงการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่บริเวณเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง การรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ลดลง โดยเฉพาะบริเวณปลายมือปลายเท้า จะเกิดอาการชา เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก ทำให้เกิดแผลได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัว รวมทั้งมีภาวะติดเชื้อร่วมด้วย นอกจากผู้ป่วยเบาหวานชายที่มีอาการปลายประสาทเสื่อมเป็นระยะเวลานาน มักพบปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศร่วมด้วย
2.6 แผลเรื้อรังที่เท้าจากเบาหวาน (Diabetic ulcer) สาเหตุเกิดจากปลายประสาทเสื่อม มีการแข็งตัวและตีบตันของหลอดเลือด ทำให้เส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย ไม่สามารถส่งออกซิเจนมาตามกระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้ รวมถึงการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่บริเวณเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง การรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ลดลง โดยเฉพาะบริเวณปลายมือปลายเท้า จะเกิดอาการชา เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก ทำให้เกิดแผลได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัว รวมทั้งมีภาวะติดเชื้อร่วมด้วย นอกจากผู้ป่วยเบาหวานชายที่มีอาการปลายประสาทเสื่อมเป็นระยะเวลานาน มักพบปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศร่วมด้วย
การดูแลเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- ควรแช่เท้าในน้ำอุ่นอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 15-30 นาที เพื่อกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัวเพื่อไปเลี้ยงปลายเท้า
- ควรใช้โลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังทาเท้าทุกวัน เพื่อทำให้เท้าชุ่มชื้นอยู่เป็นประจำ ไม่ทำให้เกิดการแห้งแตก อันเป็นที่มาของแผลต่าง ๆ
- ควรสวมถุงเท้าเป็นประจำ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้แก่เท้า และป้องกันแผลที่เกิดจากการขีดข่วนต่าง ๆ
- ควรหมั่นตรวจเท้าทุกวัน เพื่อดูแลความสะอาด ล้างเท้า และซอกนิ้ว ให้สะอาดด้วยสบู่ และซับให้แห้ง
- การตัดเล็บ ควรตัดด้วยความระมัดระวัง เพื่อป้องกันมิให้เกิดเล็บขบ ควรตัดเล็บในแนวตรง ๆ และอย่าให้สั้นชิดผิวหนังจนเกินไป ไม่ควรใช้วัตถุแข็งแคะซอกเล็บ
- หลีกเลี่ยงการตัด ดึง หรือแกะหนังแข็ง ๆ หรือตาปลาที่ฝ่าเท้า
Q 13 : หลักโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน มีอะไรบ้าง??
A 13 : การบริโภคอาหารชนิดใดก็ตาม หลักสำคัญ คือ ต้องคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรท และกระจายการกินคาร์โบไฮเดรตออกไปตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันระดับน้ำตาลแกว่ง โดยยึดหลักดังนี้
- กินมื้อหลักเป็นเวลา 3 มื้อทุกวัน อาหารว่างมีได้แต่ต้องมีปริมาณน้อย ๆ
- ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง
- เพิ่มใยอาหารโดยเลือกรับประทานผัก ผลไม้ที่หลากหลาย
- เลือกอาหารที่เพิ่มระดับน้ำตาลน้อย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง เป็นต้น
- จำกัดอาหารที่มีน้ำตาลสูง ไม่เกิน 2 - 3 ครั้งต่อสัปดาห์ (เค้ก, คุกกี้, โดนัท, ไอศรีม ฯลฯ)
- ลดอาหารประเภทไขมัน โดยใช้วิธีการต้ม ตุ๋น นึ่ง ย่าง อบ ยำ เลี่ยงไขมันอิ่มตัว
- ควบคุมปริมาณของมื้ออาหาร ที่มีไขมัน และเนื้อสัตว์
- จำกัดเนื้อสัตว์ มื้อละไม่เกิน 3 ส่วน (6 ช้อนโต๊ะ หรือ 90 กรัม)
- ศึกษาข้อมูลโภชนาการ การอ่านข้อมูลโภชนาการช่วยให้ผู้ที่เป็นเบาหวานสามารถแลกเปลี่ยนโควต้าคาร์โบไฮเดรตที่จะต้องบริโภคกับขนมหวาน หรืออาหารต้องห้ามในอดีตของผู้เป็นเบาหวาน หรือการหาสัดส่วนของปริมาณอินซูลินกับปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสมในการควบคุมระดับน้ำตาลให้ได้ตามเป้าหมาย
- เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น
Q 14 : เบาหวานแฝง คืออะไร??
A 14 : ผู้ที่เป็นเบาหวานแฝงคือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหารเช้าผิดปกติ คือ มีระดับน้ำตาลก่อนรับประทานอาหารเช้า 100 -125 มล./ดล. ซึ่งยังไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยเบาหวาน การเจาะเลือดควรเจาะเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง คนกลุ่มนี้มีบางส่วนที่เป็นเบาหวานแล้ว เพราะน้ำตาลหลังรับประทานอาหารจะสูง ก่อนที่ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหารจะผิดปกติ ดังนั้น แนะนำว่าควรทำการตรวจความทนต่อน้ำตาลกลูโคส (OGTT) ในคนกลุ่มนี้ เพื่อดูว่าเป็นเบาหวานไปแล้วหรือยัง ข้อมูลของประเทศสหรัฐอเมริกาโดย the third National Health and Nutrition Examination Survey (NHNESIII) รายงานว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกิน อายุระหว่าง 45-74 ปี ประมาณ 12 ล้านคน มีภาวะเบาหวานแฝง และในอีก 5-6 ปีข้างหน้า ในจำนวนนี้ผู้ที่มีระดับน้ำตาลผิดปกติแต่ไม่เป็นเบาหวาน จะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ร้อยละ 38-65 นอกจากนี้ ยังได้คาดการณ์ว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 นั้นเป็นเบาหวานแฝงมา 5 ปีก่อนได้รับการวินิจฉัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
กรุณากรอกชื่อ หรือนามแฝง หรืออีเมลล์ด้วยค่ะ