วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

การใช้น้ำมันเทียนดำรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คืออะไร??
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เป็นโรคเรื้อรัง ที่มีสาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายอวัยวะของตัวเอง (autoimmune) โดยส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยในหลายอวัยวะ แต่อาการที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคและเป็นปัญหาทำให้ผู้ป่วยเกิดความพิการตามมา ก็คือ การที่ข้อต่าง ๆ เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะข้อมือและข้อนิ้วมือ


สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค : ยังไม่ทราบแน่ชัด  แต่พบว่าพันธุกรรมก็เป็นสาเหตุหนึ่ง โดยพบว่า 10% ของผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์มีญาติสายตรงที่เป็นโรคนี้เช่นกัน  และยังมีสาเหตุอื่น เช่น การติดเชื้อบางชนิดที่มีอยู่ทั่วไป ทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส  หรือสาเหตุจากฮอร์โมนก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง  เนื่องจากโรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเมื่อตั้งครรภ์

ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ตาม อาการของโรคที่ปรากฏ คือ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินไป และผิดปกติ โดยเฉพาะที่ข้อต่าง ๆ เซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้น และหลั่งสารเคมีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ  ซึ่งเป็นการอักเสบแบบเรื้อรัง  จนกระทั่งส่งผลทำให้เนื้อเยื่อปกติถูกทำลายในที่สุด

อาการของโรค : พบว่า ผู้ป่วยในระยะเริ่มแรก 2 ใน 3 มักจะมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากมีอาการอ่อนเพลีย  เหนื่อยง่าย  เบื่ออาหาร  และตามมาด้วยอาการข้ออักเสบ ที่เป็นลักษณะของ “โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์”  มีผู้ป่วยส่วนน้อยที่จะเริ่มต้นด้วยอาการของข้ออักเสบเลย  นอกจากนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต และม้ามโตร่วมด้วย

อาการของข้ออักเสบรูมาตอยด์ คือ มีอาการปวดบวมตามข้อ โดยพบที่ข้อขนาดเล็ก ๆ เช่น ข้อนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อนิ้วเท้า และฝ่าเท้า มากที่สุด  ส่วนที่พบในข้ออื่นๆ ได้แก่ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อเท้า ข้อศอก ข้อสะโพก ข้อกระดูกสันหลังส่วนคอ  แต่จะไม่พบที่ข้อปลายนิ้วมือ และที่ข้อกระดูกสันหลังส่วนเอว  

ลักษณะอาการเฉพาะของโรค คือ จะมีอาการที่ตำแหน่งข้อเหมือนกัน ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา  อาการปวดจะมากขึ้นเมื่อใช้งานข้อนั้น ๆ  และเมื่อพักการใช้ข้อนาน ๆ  เช่น หลังตื่นนอนก็จะมีอาการข้อยึดแข็ง ขยับไม่ได้เป็นเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง

สาเหตุที่ข้อบวมและปวด เกิดจากมีน้ำสะสมอยู่ในข้อ  เยื่อบุข้อมีการหนาตัว มีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เข้ามาอยู่มากมาย  ทำให้มีการหลั่งสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบจากเซลล์  และสารเคมีบางตัวก็ทำให้เกิดความเจ็บปวด  นอกจากนี้ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อยู่รอบข้อก็มีการอักเสบร่วมด้วย  จนกระทั่งเมื่อการอักเสบดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี ส่งผลให้กระดูกอ่อนที่เป็นส่วนประกอบของข้อถูกทำลาย  กระดูกที่อยู่รอบข้อบางลง  และในที่สุดจะเกิดพังผืดขึ้นมาแทนที่ ดึงรั้งทำให้ข้อเสียรูปร่าง ใช้งานไม่ได้  เนื้อเยื่อรอบ ๆ ข้อที่ทำหน้าที่พยุงข้อไว้ก็จะเสียไป  เส้นเอ็นที่เกาะอยู่ที่ข้อจะถูกทำลาย  และส่งผลทำให้กล้ามเนื้อทำงานไม่ได้ตามปกติ  และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยจะไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เหมือนเดิม เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ทำอาหาร งานบ้านต่าง ๆ  ซึ่งเป็นผลกระทบที่ร้ายแรงสำหรับโรคนี้

ยาที่ใช้รักษาโรคข้อรูมาตอยด์ : จะต้องใช้ยาหลายตัวร่วมกัน ไม่มียาตัวไหนที่จะหยุดยั้งการดำเนินของโรค และทำให้หายได้ ยาที่ใช้รักษาจะเป็นได้เพียง เพื่อลดและป้องกันการปวดบวมของข้อ ลดการดำเนินของโรคให้ช้าลง และไม่ให้รุนแรงจนข้อเสียหายพิการ

งานวิจัยทางคลินิก ประสิทธิผลของน้ำมันเทียนดำ
ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานวิจัยชิ้นนี้ได้ทำการศึกษาในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เพศหญิง จำนวน 40 คน โดยช่วงแรกให้ผู้ป่วยได้รับแคปซูลยาหลอก 2 แคปซูลต่อวัน นาน 1 เดือน  ต่อจากนั้นในช่วงหลัง จึงให้รับประทานแคปซูลน้ำมันเทียนดำ (Black cumin Oil)  ขนาด 500 มก.  
วันละ
2 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน ควบคู่ไปกับการรักษาด้วยยา
methotrexate,  hydroxychloroquine,  folic acid และ diclophenac sodium

การประเมินผลการรักษา : ใช้การวัดคะแนนความรุนแรงของโรค (disease activity score, DAS-28) การตอบสนองต่อการรักษาร้อยละ 20 ตามเกณฑ์ของ American college of rheumatology (ACR20) และ European league against rheumatism (EULAR)

ผลการประเมิน : พบว่า ช่วงที่ผู้ป่วยได้รับน้ำมันเทียนดำจะมีความรุนแรงของโรค จํานวนข้อที่มีการอักเสบ  และระยะเวลาของข้อฝืดตึงในตอนเช้า (morning stiffness) ลดลง  โดยมี
ผู้ป่วย 17 ราย (42.5%) ตอบสนองต่อการรักษาตามเกณฑ์ ACR20  และผู้ป่วย 12 ราย (30%) ตอบสนองต่อการรักษาตามเกณฑ์ของ EULAR  

สรุปผลการประเมิน : แสดงให้เห็นว่า การให้น้ำมันเทียนดำ (หรือ
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ /Black Seed Oil) ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน จะช่วยเสริมประสิทธิผลในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในผู้ป่วยได้

Phytother Res 2012;26:1246-8.

ขอบคุณข้อมูล :

1. เรื่องโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ : แพทย์หญิง สลิล ศิริอุดมภาส haamor.com
2. รายงานผลการวิจัยทางคลินิก จากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำช่วยลดความดันโลหิต

มารู้จักโรคความดันโลหิตสูงกันก่อน

โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension หรือ High blood pressure) เป็นโรคพบได้บ่อยมากในผู้ใหญ่ โดยพบในผู้ชายบ่อยกว่าในผู้หญิง และผู้สูงอายุในบางประเทศ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบโรคนี้ได้สูงถึง 50% ผู้ที่อยู่ในภาวะความดันโลหิตสูง คือ วัดความดันได้สูงตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอท ขึ้นไป



แพทย์บางท่านเรียกโรคความดันโลหิตสูง ว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นโรคที่มักจะไม่มีอาการ และจัดเป็นโรคเรื้อรังที่รุนแรง หากไม่สามารถควบคุมโรคได้ ส่วนใหญ่ภาวะความดันโลหิตสูง มีสาเหตุมาจากผลข้างเคียงของผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง หรือมาจากผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค คือ เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือมาจากอาการของโรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง   อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการจากตัวโรคความดันโลหิตสูงเองก็ได้ โดยมีอาการที่อาจพบได้ เช่น ปวดศีรษะ มึนงง วิงเวียน สับสน และเมื่อมีอาการมากอาจโคมาและเสียชีวิตได้

 

น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำช่วยลดความดันโลหิต

มีรายงานการวิจัยทางคลินิก : ศึกษาผลการใช้น้ำมันเทียนดำ (น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black See Oil) ในการลดความดันโลหิตของกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดี จำนวน 70 คน อายุระหว่าง 34-63 ปี ที่มีความดันช่วงบน 110-140 มม.ปรอท และความดันช่วงล่าง 60-90 มม.ปรอท โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับน้ำมันเทียนดำ ขนาด 2.5 มล. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก

ผลศึกษาพบว่า : ความดันโลหิตทั้งช่วงบนและช่วงล่างของกลุ่มที่ได้รับน้ำมันเทียนดำจะลดลง  เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ขณะที่ค่าอื่น ๆ เช่น ดัชนีมวลกาย (bodymass index) ระดับของเอนไซม์ aspartate transaminase, alanine transaminase, alkaline phosphatase ระดับของครีตินิน และยูเรียในเลือด ไม่เปลี่ยนแปลง และไม่พบอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับน้ำมันเทียนดำ 


จึงสรุปได้ว่า การรับประทานน้ำมันเทียนดำ (น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์) ขนาด 5 มล. (เท่ากับ 1 ช้อนชา) ต่อวัน นาน 8 สัปดาห์ จะทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ โดยปราศจากอาการไม่พึงประสงค์

Phytother Res 2013;27:1849–53.

ขอบคุณข้อมูล :

1. เรื่องความดันโลหิตสูง : ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ haamor.com
2. รายงานผลการวิจัยทางคลินิก จากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

อย. ของ KAMIL HABBATUSSAUDA

วันนี้ขอกลับมาทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับ เรื่อง อย. ของ KAMIL อีกสักครั้งหนึ่งนะคะ.. เนื่องจากมีลูกค้ารายหนึ่ง..คุณพ่อของเธอ อายุ 80 กว่าปี รับประทาน KAMIL วันละ 4 แคปซูล (2x2) แล้วรู้สึกว่า..สุขภาพของท่านดีขึ้น ร่างกายสดชื่น ท่านจึงได้แนะนำบรรดาญาติพี่น้องให้รับประทาน. แต่ก็ได้รับการท้วงติงเรื่อง อย. จากพี่น้อง.. ซึ่งตัวท่านเองก็เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ จากผลตอบรับที่ได้กับตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะชี้แจงญาติพี่น้องได้ว่า เพราะเหตุใดจึงไม่มี อย.ของไทย ดิฉันจึงได้รับคำถามนี้มากจากลูกสาวของท่าน
ที่เป็นผู้ซื้อ..

วันนี้ก็เลยย้อนกลับไปดูข้อมูลเก่าในเรื่องนี้ ที่เคยชี้แจงไว้แล้วเมื่อปี 2556 เกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภค KAMIL HABBATUSSAUDA ว่า มีปลอดภัยหรือไม่..เพียงใด??  ถึงแม้ว่า KAMIL จะไม่ได้ผ่านการรรับรองจาก อย.ของไทยก็ตาม  แต่ทว่า..ได้ผ่านขั้นการรับรองจากทางกรมอนามัย ของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิต และการรับจากกรมอนามัยของอินโดฯ ก็มีขั้นตอนที่เข้มงวด..ไม่แพ้ อย.ไทย (เราจะไม่ขอกล่าวถึงขั้นตอนการขอ อย. ไทย ที่เข้มงวด และมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีความสามารถ ที่จะขอ อย. ให้แก่ผลิตภัณฑ์ของตนเอง) ต่อไปนี้จึงขอทบทวนโดยสรุปให้รับทราบกันอีกครั้ง ดังนี้

 

KAMIL HABBATUSSAUDA
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ / น้ำมันเทียนดำ / Black Seed Oil 100%

1. เป็นสินค้านำเข้าจากอินโดเนียเซีย โดยนำเข้ามาทั้ง packaging  มิได้นำมาแบ่งบรรจุในประเทศไทย สินค้าทุกชิ้นจึงผ่านการผลิตและการตรวจสอบ มาจากทางโรงงานที่ผ่านการรับรอง จากประเทศอินโดนีเซีย

2. จัดอยู่ในประเภทของ "ยาแผนโบราณ”

3. มีตรารับรอง JAMU จากอินโดฯ ซึ่งเป็นตรารับรอง "ยาสมุนไพรแผนโบราณ" และมีเพียงประเทศอินโดฯ ประเทศเดียวเท่านั้น ที่สามารถออกตรารับรองนี้ได้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้ JAMU จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สะอาด บริสุทธิ์ ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติล้วน ๆ ปลอดสารเคมีหรือสิ่งเจือปนใด ๆ ที่มิได้มาจากธรรมชาติ.. จึงเปรียบเสมือนสินค้าประเภท ORGANIC FOOD ในตลาดสีเขียวที่เรารู้จักกันดี

4. ผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิต จะต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการอุตสาหกรรม ผลิตยาแผโบราณ (หรือ IZIN IKOT) โดยผู้ผลิต ADAS INDONUSIA ได้รับใบอนุญาตเลขที่ P2T/13/03.10/VII/2011 (เข้าใจว่า..น่าจะออกในปี 2011) 

5. หลักฐานสำคัญ ที่ใช้ในการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานผลิตยา
  • ที่ตั้งตัวอาคาร คลังเก็บวัตถุดิบ คลังเก็บสินค้าสำเร็จรูป (ผลิตแล้ว) และขนาดของอาคารที่เหมาะสม
  • สำเนาใบอนุญาต ของเภสัชกรประจำโรงงาน
  • บันทึกข้อตกลง หรือสัญญาระหว่าง ผู้ผลิตกับเภสัชกรประจำโรงงาน
  • ตัวยาที่เป็นของเหลว จะต้องมีผลการทดสอบทางจุลชีววิทยา จากห้อง lab
  • จะต้องมีคำชี้แจงทางการแพทย์ในการผลิต
  • จะต้องแสดงรูปแบบของวัตถุดิบที่นำมาใช้ อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ในการประมวลผล บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ และกรรมวิธีในการบรรจุ
  • มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
  • มีอุปกรณ์ควบคุมมลพิษ

6. ได้รับใบอนุญาตจดแจ้งขึ้นทะเบียนยา หรือหนังสือรับรองจากกรมอนามัย ประเทศอินโดนีเซีย (Depkes. RI. SP. NO. 1873/13.01/02) โดย lot ปัจจุบัน คือ Best Before : Dec. 2017 (เลขที่ใบอนุญาต : POM TR. 133.370.581)

7. ได้รับตรารับรองฮาลาล (HALAL) จากสาภอุละมาอ์ ประจำกรมอนามัย อินโดฯ (HALAL LP POM MUI) สำหรับแคปซูลที่นำมาบรรจุน้ำมัน โดยได้รับใบรับรองเลขที่
(No. Sert. 00170012700600)

8. สินค้าแต่ละ LOT. การผลิตได้รับการตรวจสอบจากกรมอนามัย ตามกำหนดเวลา โดยสังเกตจากเลขที่ใบอนุญาตจะมีการเปลียนแปลงใหม่.

ทั้งนี้ ผู้บริโภคทุกท่านจึงมั่นใจได้ว่า KAMIL HABBATUSSAUDA
“ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย”

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทียนดำมีฤทธิ์ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด


คอเลสเตอรอล Cholesterol คือ สารไขมันประเภทหนึ่งที่ไม่ละลายในเลือด มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ทำหน้าที่สำคัญในการเคลือบเซลล์ในร่างกาย คอเลสเตอรอลส่วนใหญ่จะผลิตขึ้นที่ตับ และจะถูกนำส่งไปที่เซลล์โดยโปรตีนชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า Lipoprotein ผ่านทางกระแสเลือด

คราบไขมันที่เกาะตัวในผนังเส้นเลือด เรียกว่า Plaque มีสาเหตุมาจากการมีคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง ถ้าหากมี Plaque เกาะตัวสะสมอยู่ผนังเส้นเลือดอย่างต่อเนื่อง จะทำให้หลอดเลือดตีบและทำให้เลือดไหลผ่านได้ยากขึ้น ในกรณีที่หลอดเลือดนั้น เป็นหลอดเลือดที่ส่งมาเลี้ยงที่กล้ามเนื้อหัวใจ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และอาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ถ้าเป็นที่หลอดเลือดสมอง ก็อาจจะเกิดภาวะเส้นเลือดสมองอุดตัน หรือเส้นโลหิตในสมองแตก (stroke) และหากเกิดที่ตับและไต จะทำให้เส้นเลือดที่ตับหรือไตตีบ/แตกหรือตัน ทำให้ตับหรือไต
สูญเสียการทำงาน จนอาจถึงขึ้นตับวายหรือไตวายก็เป็นได้

อาหารที่พบว่ามีคอเลสเตอรอลได้แก่ อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ (เนื้อ ไก่ ปลา และผลิตภัณฑ์จำพวกนม) แต่ในทางกลับกัน อาหารจำพวกผักและผลไม้กลับไม่มีคอเลสเตอรอลเลย  

ฤทธิ์ลดไขมันของเมล็ดเทียนดำในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

จากรายงานข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร ของสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า มีการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับการใช้เมล็ดเทียนดำ (ฮับบา
ตุซเซาดะฮ์) รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง


การศึกษาในครั้งนี้ เป็นการศึกษาทางคลินิกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อายุ 45-60 ปี ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น กลุ่มแรก จำนวน 19 คน ให้รับประทานแคปซูลบรรจุผงเมล็ดเทียนดำ (Nigella sativa) ขนาด 1 กรัม หลังอาหารเช้าทุกวัน และกลุ่มที่สอง จำนวน 18 คน ให้รับประทานยาหลอก โดยใช้ระยะเวลาในการทดสอบ
ทั้งสิ้น 2 เดือน
การทดสอบจะทำการวัดระดับไขมันในเลือด 3 ช่วง คือ ก่อนเริ่มทำการทดสอบ (ก่อนให้ยา), ช่วงเวลาหลังทำการทดสอบ 1 เดือน (คือ เมื่อสิ้นสุดการให้ยา) และหลังจากสิ้นสุดการให้ยาอีก 1 เดือน

การประเมินผลทดสอบ :

1. ช่วงเวลาหลังทำการทดสอบได้ 1 เดือน (สิ้นสุดการให้ยา) ได้ทำการประเมินผลกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับยาทั้ง 2 กลุ่มแล้ว พบว่า เทียนดำช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวม,
ไตรกลีเซอไรด์ และ LDL (low density lipoprotein cholesterol) และมีผลให้
เพิ่มระดับ HDL (high density lipoprotein cholesterol) ได้ดีกว่ากลุ่มผู้ป่วย
ที่ให้ยาหลอก


2. เมื่อทำการทดสอบเป็นเวลาครบ 2 เดือน กล่าวคือ หลังจากได้หยุดให้ยา เป็นเวลา 1 เดือน หรือมากกว่า พบว่า ระดับไขมันมีแนวโน้มกลับไปใกล้เคียงกับช่วงเริ่มการทดสอบ (ก่อนให้ยา)

สรุปผลจากการทดสอบ พบว่า เทียนดำอาจนำมาใช้ในการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาแผนปัจจุบันได้

ที่มา : สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 
(J Transl Med 2014;12:82)

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทียนดำกับประสิทธิภาพในการรักษาโรคเอดส์

เทียนดำ (Nigella sativa) หรือ "ฮับบาตุซเซาดะฮ์" ชื่อเรียกในภาษาอาหรับที่ชาวมุสลิกเรียกขาน
ในภาษาอังกฤษ ที่ใช้เรียกกันทั่วไป คือ Black Seed, Black Cumin นั้น สามารถรักษาโรคเอดส์ หรือผู้ที่ติดเชื้อ HIV ได้หรือไม่??

?? คำถามนี้ มีหลายคนคลางแคลงสงสัยกัน ??
ผศ.ดร.สุดารัตน์ หอมนวล จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้ให้คำตอบไว้ในเอกสาร PDF ว่า (จากเว็บไซด์ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี)

จากรายงานการวิจัย พบว่า เทียนดำมีสรรพคุณมากมาย เช่น ลดอัตราการเต้นของหัวใจ
ลดความดันโลหิต ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดจำนวนไข่พยาธิในอุจจาระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด ยับยั้งเชื้อเฮอร์ปีส์ ที่ตับและม้าม ยับยั้งการหลั่งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ ต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว ฯลฯ เป็นต้น

เทียนดำ เป็นสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ในตำรับยาแผนโบราณของไทยหลายตำรับ ถึงว่าจะเป็นสมุนไพรที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดอยู่ในแถบตะวันออกลาง แต่ก็ได้
มีการนำมาใช้ในเครื่องยาไทย ที่เรียกว่า "พิกัดเทียน"

‪#‎งานวิจัยเทียนดำรักษาโรคเอดส์‬ (HIV)
มีการศึกษาหนึ่งที่ประเทศไนจีเรีย ศึกษาในผู้ป่วยโรคเอดส์ ระยะ 3-4 จำนวน 6 ราย (ชาย 3 คน และหญิง 3 คน) โดยให้รับประทาน..เทียนดำกับน้ำผึ้ง (เพียงอย่างเดียว) ซึ่งเป็นตำรับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อ HIV ของประเทศไนจีเรีย เป็นเวลา 4 เดือน

ตำรับยาที่ใช้ คือ เมล็ดเทียนดำ : น้ำผึ้งที่เก็บใหม่ (60:40)
ขนาดรับประทานในผู้ใหญ่ ใช้ส่วนผสมตามตำรับ จำนวน 10 มล. นำมาเจือจางด้วยน้ำอุ่น
50 ml. ให้รับประทานวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร เป็นเวลา 4 เดือน...

ผลการทดลองทางคลินิก พบว่าได้ผลดังนี้ คือ
- CD4 เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยเดิม(CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่ทำหน้าในการต่อสู้และทำลายเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย)
- ค่าปริมาณเชื้อ หรือ viral load (HIV-RNA) ลดลงจากค่าเฉลี่ยเดิม
- น้ำหนักผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จากค่าเฉลี่ยเดิม 53 กก. เป็น 63 กก.
- อาการอื่นที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ HIV ได้แก่ ท้องเสีย มีไข้ ไอ แผลในปากจากเชื้อรา ผื่นที่ผิวหนัง หายไปภายใน 20 วัน หลังจากได้รับยา

*ด้วยการขอบคุณอย่างสูง แด่ท่าน 
ผศ.ดร.สุดารัตน์ หอมนวล จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ไขข้อข้องใจที่เป็นประโยชน์แก่ทุกท่าน และผู้ป่วยโรคเอดส์

น้ำมันเทียนดำช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำอสุจิในชายที่มีบุตรยาก


ภาวการณ์มีบุตรยาก (Infertility) หมายถึง
คู่สามีภรรยาอยู่ด้วยกันและพยายามมีบุตร แต่ไม่สำเร็จ หลังจากระยะเวลา 1 ปี (ในฝ่ายหญิงอายุน้อยกว่า 30 ปี) หรือ 6 เดือนไปแล้ว (ในฝ่ายหญิงที่อายุเกิน 30 ปี) โดยพบว่า มีสาเหตุมาจากฝ่ายชายได้ถึง 30-40% และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดภาวการณ์มีบุตรยากในฝ่ายชาย ก็คือ ความสมบูรณ์ของเชื้ออสุจิ นั่นเอง

จากการตรวจสอบข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร ของสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พบรายงานผลการศึกษาทางคลินิก เกี่ยวกับการใช้น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำ (Nigella sativa L.) หรือน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ปรับปรุงคุณภาพน้ำอสุจิในชายที่มีบุตรยาก

การศึกษาในครั้งนี้ ใช้วิธีแบบ randomized, double-blind, placebo-controlled trial ในอาสาสมัครเพศชายที่มีบุตรยาก เนื่องจากคุณภาพของน้ำอสุจิผิดปกติ จำนวน 68 คน โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งให้รับประทานน้ำมันจากเมล็ดเทียนดำ (Nigella sativa L.) ขนาด 2.5 มล. และอีกกลุ่มหนึ่ง ให้รับประทานยาหลอก วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 2 เดือน พบว่า น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำช่วยปรับปรุงคุณภาพของน้ำอสุจิ (เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก) ดังนี้
  1. เพิ่มจำนวนอสุจิ การเคลื่อนที่ของอสุจิ และปริมาตรน้ำอสุจิ ให้สูงขึ้น
  2. ปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของอสุจิ โดยลดจำนวนอสุจิที่มีลักษณะหัวกลม (round cell) ซึ่งเป็นลักษณะเซลล์ที่ผิดปกติลง อีกทั้งยังลดค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำอสุจิลง ให้ใกล้เคียงกับค่าปกติ
ผลจากการทดลองแสดงให้เห็นว่า การรับประทานน้ำมันจากเมล็ดเทียนดำ วันละ 5 มล. เป็นเวลา 2 เดือน ช่วยปรับปรุงคุณภาพของน้ำอสุจิในชายที่มีบุตรยาก เนื่องจากอสุจิไม่สมบูรณ์ได้ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงใด ๆ

ที่มา : สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
(Phytomedicine 2014;21:901-5)

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์รักษาโรคมะเร็ง


น้ำมันเมล็ดยี่หร่าดำ (Black cumin oil) หรือน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ สามารถยับยั้งการทำงานของเซลล์มะเร็ง และฆ่าเซลล์มะเร็งบางชนิด จากผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ได้แสดงให้เห็นว่า น้ำมันมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ) มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งในสัตว์ทดลอง และมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับยาต้านมะเร็ง (anti-cancer drugs) ในโรคมะเร็งบางชนิด น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ และสารสกัดของมัน คือ thymoquinone มีประโยชน์มหาศาล มันมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการอักเสบ รวมทั้งโรคมะเร็งตับ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งกระดูก มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งสมอง [1]

ถึงแม้ว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา จะมีผลการวิจัยออกมาในเชิงบวกเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ต่อต้านโรคมะเร็ง แต่นักวิจัยก็ไม่ค่อยมีการทดลองการใช้งานในทางคลินิกสำหรับมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่มันมีประโยชน์ในการใช้งานอย่างมากมาย และอัตราความเสี่ยงหรือผลกระทบในด้านลบก็น้อยมาก[2]

ในขณะที่คุณเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จากผลการวิจัย เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับการใช้งานของ

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ เพื่อป้องกันโรคมะเร็ง ซึ่งในทางการรักษาได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มันมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด อย่างไรก็ตาม น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ก็ยังคงไม่ได้รับการยอมรับว่า มีประโยชน์เช่นเดียวกับยาพื้นฐานในปัจจุบัน ทั้งนี้ อาจะเนื่องมาจากแรงกดดันทางการเมือง ที่ทำให้ต้องแขวนการวิจัยในทางคลินิกสำหรับมนุษย์ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเอาไว้!! และนี่คือถามน่าคิด..ทำไมบริษัท ยา ต้องการที่จะยับยั้งการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์??

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seeds) ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง

นับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้ว

ในช่วงระหว่างปี 2011 มีผลการศึกษาจากนักวิจัยจีน[3] และนักวิจัยที่ซาอุดิอาราเบีย[4] ได้ทบทวนวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (หรือที่เรียกกันว่า "เมล็ดยี่หร่าดำ" หรือ "เทียนดำ") กับโรคมะเร็ง พวกเขายืนยันว่า คุณสมบัติในการต้านมะเร็งของน้ำมันธรรมชาติจากฮับบาตุซเซาดะฮ์นี้ "ปลอดภัย" และให้ข้อสังเกตว่า "น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ได้ถูกนำมาใช้เป็นยาแผนโบราณ นับเป็นเวลานานหลายศตวรรษ" น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ และสารสกัดทางพฤกษเคมี ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญ เรียกว่า thymoquinone มีประสิทธิภาพในการต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง ภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคไต ฯลฯ มันมีความปลอดภัยและใช้เป็นตัวยาที่มีประสิทธิภาพ ในการต่อต้านมะเร็งในกระแสเลือด, ปอด, ไต, ตับ, ต่อมลูกหมาก, เต้านม, ปากมดลูก และผิวหนัง

นักวิจัยเหล่านี้ตั้งข้อสังเกตว่า กลไกระดับโมเลกุลที่อยู่เบื้องหลังบทบาทในการต้านมะเร็งนี้ ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การศึกษาในบางรายงาน แสดงให้เห็นว่า thymoquinone มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเพิ่มระบบการป้องกันของร่างกาย น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ช่วยเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์ (apoptosis : การตายลงตามธรรมชาติของเซลล์) ซึ่งหมายความว่า มันจะช่วยให้ร่างกายมีระบบกำจัดเซลล์เก่า เซลล์ที่ไม่จำเป็น, และเซลล์ที่ไม่ดี (เช่น เซลล์มะเร็ง) โดยปราศจากการปล่อยสารพิษเข้าสู่ร่างกาย (without releasing toxins into the body) นอกจากนี้ ยังควบคุมเส้นทางการอยู่รอดของเซลล์ (Akt pathway) หมายความว่า มันจะควบคุมกระบวนการจัดการเพื่อความอยู่รอด ทั้งในเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็ง ถึงแม้ว่าคุณสมบัติในการ "ต้านมะเร็ง" ของฮับบา

ตุซเซาดะฮ์จะได้รับการยอมรับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้วก็ตาม จนกระทั่งมาถึงช่วงสองหรือสามทศวรรษที่ผ่านมา การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สมัย​​ใหม่ ได้ให้การยอมรับถึงความสำคัญของการศึกษาทางการแพทย์แผน​​โบราณ (traditional medicine)

การใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ร่วมกับน้ำผึ้งรักษาโรคมะเร็ง คือการแพทย์พื้นบ้าน


นักวิจัยชาวอียิปต์ได้ศึกษาถึง ประสิทธิผลของการใช้น้ำผึ้งและเมล็ดพันธุ์ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella grains) ในกระบวนการป้องกัน oxidative stress (คือ ภาวะความไม่สมดุลของการเกิดอนุมูลอิสระ และกระบวนการป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของอนุมูลอิสระ อันมีความไวต่อชีวโมเลกุล ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเซลล์ ทำให้เซลล์ถูกทำลายและเกิดผลิตผลของอนุมูลอิสระ) และป้องกันมะเร็ง จากหนู (exposing rats) ที่ได้รับสารก่อมะเร็งอย่างหนัก การศึกษาวิจัยกระทำโดย หลังจากที่ให้หนูได้สัมผัสกับสารก่อมะเร็งแล้ว จะแบ่งหนูออกเป็น 4 กลุ่ม โดยให้บางกลุ่มได้รับการเลี้ยงดู (fed) ด้วยเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือน้ำผึ้ง และอีกกลุ่มหนึ่งให้ทั้งเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์และน้ำผึ้ง หลังจากนั้นเป็นเวลา 6 เดือน จึงทำการประเมินผล ปรากฏว่า หนูที่กินเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ได้รับการป้องกันจากกระบวนการ oxidative stress และการก่อมะเร็ง ถึง 80% ในขณะที่หนูที่กินทั้งน้ำผึ้งและเมล็ดฮับบาตุซ
เซาดะฮ์เป็นประจำทุกวัน ได้รับการปกป้อง 100%
จากสภาวะความเครียดอันเกิดจากกระบวนการออกซิเดชั่น (oxidative stress) การอักเสบ และการก่อมะเร็ง [5]

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) คือ ตัวช่วยที่สำคัญของการรักษาด้วยการฉายรังสี

ในปี 2014 นักวิจัยชาวตุรกีรายงานว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์อาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่ได้รับรังสีรักษาโรคมะเร็ง พวกเขาแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมากที่ได้รับการรักษาด้วยรังสีบำบัด ต้องประสบกับผลข้างเคียงอย่างรุนแรง ทั้งระหว่างและหลังการรักษาของพวกเขา การศึกษานี้เป็นการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบของการฉายรังสีและการใช้
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ที่มีผลต่อการเกิดอนุมูลอิสระ/สารต้านอนุมูลอิสระ ในเนื้อเยื่อตับของหนูที่ผ่านการฉายรังสี พวกเขาให้หนูทดลองได้สัมผัสกับรังสีแกมมาเพียงหนึ่งครั้ง หนูกลุ่มหนึ่งได้รับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 1 ชั่วโมงก่อนการฉายรังสี และได้รับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในปริมาณโดสข้างต้นทุกวันหลังจากนั้น เป็นเวลา 10 วัน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับรังสีรักษาและได้รับน้ำเกลือแทนน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ โดยที่หนูกลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับการฉายรังสี ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับแสดงให้เห็นว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์สามารถลดตัวการที่ก่อให้เกิดความเครียดของการออกซิเดชั่น (oxidative stress) และมีผลในการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งก็พิสูจน์ให้เห็นถึงขีดความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระในเนื้อเยื่อตับของหนู ดังนั้น จึงสรุปว่า การใช้น้ำมันฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ก่อนการรักษาด้วยรังสี และต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วันหลังจากนั้น สามารถป้องกันหนูจากบางส่วนของผลกระทบที่เป็นอันตรายจากรังสี
[6]

ในปี 2012 จากการศึกษาในอินเดีย นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาถึง ประสิทธิผลของการใช้สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ในหนูที่ได้สัมผัสกับรังสีแกมมา กลุ่มหนึ่งเป็นหนูปกติและอีกกลุ่มหนึ่งเป็นหนูที่มีเนื้องอก ได้ถูกนำมาทดสอบ การทดลองครั้งนี้ได้ทำให้มีผลเสมือนกับการรักษาทางคลินิกของมนุษย์ ในกรณีที่เนื้อเยื่อปกติของผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับอันตรายจากการรักษาด้วยรังสี โดยหนูที่ได้รับสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed extract) ก่อนที่จะถูกสัมผัสกับรังสีแกมมา จะได้รับสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในปริมาณ 100 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ผลการทดลองพบว่า สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ป้องกันตับ ม้าม สมอง และอวัยวะภายใน จากความเสียหายที่เกิดจากรังสีแกมมา ทั้งในหนูปกติและหนูที่มีเนื้องอก นักวิจัยสรุปว่า สารสกัดของเหลว (liquid extract) จากฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ มีผลช่วยป้องกันความเสียหายจากรังสี และการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่เกิดขึ้น สารสกัดที่ได้รับมีคุณสมบัติในการป้องกันผลกระทบและขับไล่อนุมูลอิสระ และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  ดังนั้น ของเหลวที่สกัดจากเมล็ดฺฮับบาตุซเซาดะฮ์ จึงสามารถนำมาใช้กับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการฉายรังสี เพื่อป้องกันภาวะความเครียดที่เกิดจากการออกซิเดชัน (oxidative stress) ในเนื้อเยื่อปกติ และบรรเทาผลกระทบในด้านอื่น ๆ ที่ไม่พึงประสงค์จากรังสี และนี่ก็คือสิ่งที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็ง[7]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ขัดขวางการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ และฆ่าเซลล์มะเร็งตับ

ในปี 2013 นักวิจัยในประเทศอินเดีย ได้ทำการตรวจสอบการใช้งานของ thymoquinone ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ โดยหนูสองกลุ่มที่เป็นมะเร็งตับได้ถูกนำมาทดลอง กลุ่มหนึ่งได้กินน้ำที่มีส่วนผสมของสารสกัด thymoquinone 0.01% และอีกกลุ่มได้รับน้ำธรรมดา หลังจากนั้นเป็นเวลา 16 สัปดาห์ ก้อนมะเร็งตับที่เป็นเครื่องหมายของการเจ็บป่วยที่ตับและเนื้องอก ได้ถูกนำมาวัดในหนูทั้งสองกลุ่ม หนูที่ไม่ได้รับ thymoquinone มีขนาดของเนื้องอกในตับเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่หนูที่ได้รับ thymoquinone ในปริมาณ 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม มีรอยแผลที่ได้รับการบาดเจ็บที่ตับ และเนื้องอกลดลงอย่างมาก กลุ่มที่รักษาด้วย thymoquinone จากน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ไม่มีพัฒนาการของก้อนมะเร็งที่ตับ และปริมาณการก่อตัวของเนื้องอกใหม่ก็มีน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาเป็นอย่างมาก นักวิจัยจึงสรุปว่า thymoquinone มีบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคมะเร็งตับ เนื่องจากศักยภาพของมันสามารถป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง[8]


การศึกษาจากอียิปต์ ในปี 2012 ได้ทำการประเมินผลในการป้องกันเนื้องอก (anti-tumor) ของน้ำผึ้งและน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในเซลล์มะเร็งตับของมนุษย์ด้วยวิธีการทดลองในห้องปฏิบัติการ พวกเขาตรวจสอบความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของน้ำผึ้งและสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ และความสามารถของสารเหล่านี้ในการกำจัดเซลล์ที่ไม่แข็งแรง เช่น เซลล์มะเร็ง พวกเขาพบว่า ทั้งน้ำผึ้งและสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์มีประสิทธิภาพในการลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับ น้ำผึ้งและสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยังมีส่วนในการปรับปรุงความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของเซลล์ และเหนี่ยวนำให้เกิดการตายลงของเซลล์มะเร็ง ที่เกิดจากขบวนการ apoptosis (การตายลงโดยธรรมชาติของเซลล์) [9]

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ฆ่าเซลล์มะเร็งปอด


นักวิจัยชาวซาอุดิอาราเบีย รายงานไว้ในปี 2014 ว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ได้ถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณ (​​traditional medicine) เพื่อรักษาโรคต่างๆ มากมาย ประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) และต้านเชื้อแบคทีเรีย (antibacterial) ของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นที่รู้จักกันดี การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเกี่ยวกับความสามารถในการต้านมะเร็งของน้ำมันฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ และสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ เมื่อนำมาใช้กับเซลล์มะเร็งปอดของมนุษย์ในห้องปฏิบัติการ นักวิทยาศาสตร์ได้ใส่เซลล์มะเร็งปอดไปในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ภายในเวลา 24 ชั่วโมง พวกเขาใช้ 0.01 mg/ml ถึง 1 mg/ml ของน้ำมันหรือสารสกัดในการทดลองครั้งนี้ หลังจากนั้นก็ทำการประเมินการมีชีวิตเซลล์มะเร็ง

ผลการวิจัยพบว่า ทั้งน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์และสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ช่วยลดจำนวนการมีชีวิตอยู่ของเซลล์มะเร็ง และเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะรูปร่างของเซลล์ (cellular morphology) พวกเขาพบว่ายิ่งความเข้มข้นของน้ำมันหรือสารสกัดที่ใช้ในการรักษาเซลล์มะเร็งที่มากขึ้นเท่าใด ปริมาณการตายของเซลล์มะเร็งก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์และสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยังเป็นต้นเหตุให้เซลล์มะเร็งที่จะสูญเสียลักษณะทั่วไปของมัน จึงทำให้มันมีขนาดที่เล็กลง นักวิจัยสรุปว่า ข้อมูลที่ได้รับแสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ทำให้การมีชีวิตอยู่ของเซลล์มะเร็งปอดของมนุษย์ลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ[10]


ส่วนประกอบของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Components) ฆ่าเซลล์มะเร็งสมอง


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ ได้เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยในปี 2013 โดยชี้ให้เห็นว่า เนื้องอกกลัยโอบลาโตมา (glioblastoma) เป็นเนื้องอกในสมองของมนุษย์ ชนิดที่รุนแรงที่สุด ที่ทำให้เหลือเวลาการมีชีวิตอยู่ แค่เพียง 15 เดือน ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องค้นหาวิธีการบำบัดรักษาเพิ่มเติม ในขณะที่สารพฤกษเคมี (phytochemicals) ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เริ่มได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในทางวิทยาศาสตร์ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการฆ่าเนื้องอก และ thymoquinone ก็คือ หนึ่งในสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil)

ใน thymoquinone มีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) และป้องกันมะเร็ง (anti-cancer) มันจึงถูกเลือกใช้เป็นสารออกฤทธิ์ทำลายเซลล์ (cytotoxic) ของมนุษย์ ซึ่งก็หมายความว่า มันจะฆ่าเซลล์มะเร็งของมนุษย์ ในขณะที่ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ปกติเช่นเดียวกับยารักษาโรคมะเร็งทั่วไป

การศึกษานี้ เป็นการตรวจสอบการทำงานของ thymoquinone ในการยับยั้งความสามารถของเซลล์มะเร็ง (glioblastoma cancer) ในสมองและเส้นประสาทไขสันหลังจากการทำโคลนนิ่งตัวเอง ในขณะที่ thymoquinone จะไม่เข้าไปยับยั้งการทำงานของเซลล์ปกติ ในสมองและไขสันหลังของมนุษย์ อีกทั้งยังมีความสามารถที่สำคัญ คือการยับยั้ง autophagy genes (คือ Self eating เพื่อสร้างพลังงานและความอยู่รอด..ในที่นี้คนแปลเข้าใจว่า น่าจะเป็นการกินตัวเองของเซลล์ดี) ในเซลล์มะเร็ง กระบวนการ autophagy ในเซลล์มะเร็ง ทำให้เนื้องอกยังคงเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการผลิตพลังงานของเซลล์ ถ้าหาก autophagy ถูกยับยั้ง การผลิตพลังงานเพื่อเซลล์มะเร็งก็จะถูกยับยั้งไปด้วย ซึ่งก็จะส่งผลให้เกิดการทำงานของเนื้องอกลดลง และอวัยวะที่ได้รับผลกระทบจากเนื้องอกก็จะสามารถอยู่รอดมากขึ้น ดังนั้น ความสามารถ thymoquinone คือ การยับยั้งเซลล์มะเร็งจากการทำโคลนนิ่งตัวเอง และมีความสามารถในการยับยั้งเซลล์มะเร็งจากการนำเนื้อเยื่อของเซลล์อื่น ๆ ไปใช้ โดยวิธีการของ autophagy นั่นเอง มันคือวิธีการที่ให้ผลอย่างรวดเร็วและน่าตื่นเต้นในการพิชิตโรคมะเร็ง [11]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) ยับยั้งมะเร็งเต้านม



การศึกษาปี 2013 ในประเทศมาเลเซีย ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการต้านมะเร็งของ thymoquinone เมื่อมันถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาในระยะยาว สำหรับเซลล์มะเร็งเต้านมในห้องปฏิบัติการ thymoquinone แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเต้านมในระยะยาว ระยะเวลาการทำงานในระยะยาวของมันขึ้นอยู่ปริมาณโดสของ thymoquinone ที่ถูกนำมาใช้ การใช้ขนาดหรือปริมาณที่สูงขึ้นทำให้มีความสามารถในการยับยั้งได้มากขึ้น [12]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) ฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว



นักวิจัยชาวมาเลเซียได้บันทึกผลการศึกษาในปี 2013 ว่า มีความสนใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการใช้ยาแผนโบราณ ที่มาจากสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งมีศักยภาพในการป้องกันโรคมะเร็ง เทียนดำ (ฮับบาตุซเซาดะฮ์) เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง สมุนไพรสายพันธุ์นี้เติบโตในประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอินเดีย

Thymoquinone เป็นหนึ่งในส่วนผสมของสารสกัดที่ได้จากเทียนดำ ฤทธิ์ในการต้านมะเร็งของ thymoquinone เป็นสื่อชักนำไปสู่การตายของเซลล์ที่ทำหน้าที่ที่ผิดปกติ (mitochondrial dysfunction) ทั้งนี้ โดยการประเมินผลการรักษามาจากสายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน นักวิจัยพบว่า การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วย thymoquinone มีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดการตายของเซลล์ (apoptosis resulting in cell death) ผลลัพธ์เหล่านี้บ่งชี้ว่า thymoquinone จากฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ อาจจะเป็นตัวแทนที่มีแนวโน้มในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
[13]

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่

นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี รายงานผลการศึกษาในปี 2007 ว่า ยา 5-fluorouracil ที่เป็นยาเคมีบำบัด หรือยาคีโม ยังคงเป็นสารเคมีบำบัดมาตรฐานทองคำ ที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่า ผลข้างเคียงของยา 5-FU มีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมันสามารถทำร้ายทั้งสุขภาพและเซลล์ที่เป็นมะเร็ง พวกเขายอมรับผลการค้นคว้าวิจัยก่อนหน้า ที่แสดงให้เห็นว่า สารต้านอนุมูลอิสระมีความสามารถในการยับยั้งกระบวนการเกิดโรคบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง พวกเขาศึกษา epigallocatechin-3-gallate หรือ EGCG ซึ่งเป็นคาเทชิน (catechin) ที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดที่พบได้ในชาเขียว และ thymoquinone ในฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการต้านมะเร็ง ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นที่รู้จักกันดีถึงความสามารถในการเก็บขยะ (มลภาวะ) ที่มีประสิทธิภาพ มันเป็นตัวยับยั้งความเครียดที่เกิดจากการออกซิเดชัน (oxidative stress) และเป็นพืชสมุนไพรที่ได้ถูกนำมาใช้ในประเทศแถบตะวันออกกลาง มาช้านานหลายศตวรรษ เพราะความสามารถของฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ในการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างมากมายนั่นเอง

วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ คือ เพื่อตรวจสอบบทบาทของ (1) thymoquinone จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (2) catechin จากชาเขียว และ (3) ยาเคมีบำบัด (5-FU) ในกระบวนการเผาผลาญ (Metabolic activity หมายถึง ปฏิกิริยาเคมีที่รักษาชีวิตของสิ่งมีชีวิตใด ๆ หรือ การเปลี่ยนแปลงของพลังงานและสสารในร่างกาย) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ ด้วยวิธีการทดลองในห้องปฏิบัติการ ผลการการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า catechin จากชาเขียว และ thymoquinone ก่อให้เกิดการทำลายเซลล์มะเร็ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเข้าไปแทรกแซงกระบวนการการเผาผลาญของเซลล์ ซึ่งเทียบเท่ากับการที่เซลล์ได้รับยาเคมีบำบัด (5-FU) การเปลี่ยนแปลงสัณฐานหรือรูปร่าง (Morphologically) ของเซลล์ เกิดขึ้นหลังจากเซลล์ได้สัมผัสกับ catechin และ thymoquinone เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งเสมือนกับการที่เซลล์ได้สัมผัสกับยาเคมีบำบัด (5-FU) ในที่สุดนักวิจัยจึงสรุปว่า การใช้สารสกัดจากธรรมชาติ อาจจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยในการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่[14] 


ในการศึกษาก่อนหน้านี้เมื่อปี 2004 นักวิจัยชาวเลบานอนได้กล่าวถึง บทบาทที่มีประสิทธิภาพของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) ในการป้องกันมะเร็ง และการเป็นตัวแทนในการรักษาโรคมะเร็ง โดยตั้งข้อสังเกตว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ถูกนำมาใช้ในแถบเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อส่งเสริมสุขภาพและต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ "Thymoquinone คือ องค์ประกอบของสารอาหารที่มีมากที่สุดในฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นตัวแทนทางโภชนาการที่ได้รับการยอมรับว่า ป้องกันโรคมะเร็ง ซึ่งเราได้ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิผลของ thymoquinone ในการต่อต้านเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ โดยรายงานว่า thymoquinone มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ข้อมูลของเราสนับสนุนศักยภาพในการใช้ thymoquinone สำหรับการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่" [15]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) ต่อต้านการติดเชื้อติดเชื้อเอชไพโลไร (H. pylori infection)



ในปี 2010 นักวิจัยขาวซาอุดิอาราเบียชี้ให้เห็นว่า โรคต่าง ๆ จำนวนมากมีสาเหตุมาจากเชื้อ Helicobacter pylori ( H. pylori : เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหาร) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง (chronic active gastritis) โรคแผลในกระเพาะอาหาร (peptic ulcer disease) และโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร (gastric cancer) ถึงแม้ว่าผลจากการรักษาโดยใช้ยาต้านจุลชีพ (antimicrobial agents) จะทำให้ความผิดปกติที่เกิดจากเชื้อ H. pylori ทุเลาลง แต่การต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ H. pylori ก็ยังคงเพิ่มขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาตัวแทนที่มีประสิทธิภาพในการต้านทานเชื้อดังกล่าว เทียนดำ (Nigella sativa seed) หรือฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ เป็นสมุนไพรที่ใช้กันทั่วไป มันมีคุณสมบัติในการต้าน Helicobacter

การศึกษาครั้งนี้ ได้ทำการประเมินประสิทธิภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในการกำจัดเชื้อ H. pylori ในการรักษาผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารที่ไม่มีแผล (non-ulcer dyspeptic) จำนวน 88 คน โดยการสุ่มผู้ป่วยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ผู้ป่วยแต่ละกลุ่มจะได้รับยาแต่ละชนิดต่างกัน คือ clarithromycin และ/หรือ amoxicillin (ยาปฏิชีวนะ) omeprazole (ยารักษาอาการกรดไหลย้อนในกระเพาะอาหาร) และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil)  

นักวิจัยพบว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ให้ผลทางการแพทย์ในการนำมาใช้ต่อต้านการติดเชื้อ H. pylori เทียบได้กับการใช้ยาทั้ง 3 ชนิดที่นำมาทดสอบร่วมกัน[16]

อนาคตสำหรับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ คืออะไร?


การร่วมมือกันระหว่าง thymoquinone จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ กับการรักษาโรคมะเร็งด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน

ในปี 2011 นักวิจัยชาวเยอรมันอธิบายว่า doxorubicin (ชื่อยาคีโม) ดูเหมือนจะเป็นยาเคมีบำบัดหลักที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นพิษต่อหัวใจ (cardiotoxicity) และมีความสามารถจำกัดในการนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งที่ดื้อยาหลายชนิด การศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นว่า การป้องกันผลกระทบของ thymoquinone ซึ่งเป็นส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหยจากเทียนดำ (Nigella sativa) ช่วยต้านยา doxorubicin ด้วยการลดความเป็นพิษต่อหัวใจ โดยสรุปแล้วพวกเขาพบว่า thymoquinone คือ Booster ที่ช่วยป้องกันผลกระทบจากการใช้ยาเคมีบำบัด doxorubicin ในเซลล์ต้นกำเนิดที่มาจากเซลล์มะเร็งอย่างแน่นอน[17]

ในปี 2013 นักวิจัยจากประเทศสิงคโปร์ รายงานว่า ตัวแทนที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งนั้น มีจำนวนจำกัด และเซลล์มะเร็งก็มีการพัฒนารูปแบบในการต้านทานกับการรักษาเหล่านี้ ดังนั้น เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องค้นคว้าตัวยาใหม่ ๆ ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม ความสามารถในการต้านเนื้องอกของ thymoquinone ซึ่งเป็นสารสกัดจากน้ำมันฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ ได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาหนูที่เป็นมะเร็งเต้านม ผลปรากฏว่า การรักษาด้วย thymoquinone สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก และผลลัพธ์นี้ควรถูกนำมาขยายผลในอนาคต เพื่อการใช้งานร่วมกับยาเคมีบำบัด doxorubicin[18]

การทดลองทางคลินิกกับผู้ป่วยมะเร็ง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวย์น ในมิชิแกน พบว่า การทบทวนรายงานที่ถูกตีพิมพ์เกี่ยวกับฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ชี้ให้เห็นว่า ในอนาคตข้างหน้าการศึกษาเชิงลึกจะต้องได้รับการรับรองผล พวกเขาได้ระบุเป้าหมายและความจำเป็นในการศึกษา คือ ศึกษาถึงผลของการออกฤทธิ์ในทางชีวภาพ (bioavailability : ชีวปริมาณออกฤทธิ์) และเฟส 1 คือ การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นพิษในการใช้งานกับมนุษย์ ซึ่งผลจากการศึกษาดังกล่าว จะเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาการ และการสนับสนุนให้มีการเริ่มต้นการทดลองทางคลินิก เพื่อทดสอบประสิทธิผลของการใช้ยาแผนโบราณนี้ในการรักษาโรคมะเร็ง [19]

นักวิจัยจากโอมานอธิบายว่า ในอนาคตผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ จะต้องถูกนำมาใช้ เขากล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดเจน คือ thymoquinone (ส่วนประกอบทางพฤกษเคมี ที่ออกฤทธิ์ในทางชีวภาพของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์) ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง เช่น การใช้ thymoquinone ในการทดลองด้วยหลอดแก้วกับเซลล์มะเร็งของมนุษย์ และการศึกษาในสัตว์ทดลองเกี่ยวกับรูปแบบของการเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งได้ถูกนำมาตรวจสอบอย่างละเอียด เป็นผลให้ข้อมูลจำนวนมากถูกจำแนกแยกแยะออกมาจากผลการวิจัย จึงให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้น จากเดิมที่มีการต่อต้านการเผยแพร่ข้อมูลของสารสกัดตัวนี้ ดังนั้น จึงสมควรที่การทดลองเกี่ยวกับการใช้ thymoquinone ควรจะย้ายจากการทดสอบบนม้านั่ง (ในห้องทดลอง) มาสู่การทดลองทางคลินิก [20 ]

ข้อสรุป
หลังจากได้ตรวจสอบบทคัดย่อรายงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นจำนวนมากกว่า 120 เรื่อง เกี่ยวกับการใช้งานของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) และ thymoquinone กับโรคมะเร็งหลาย ๆ ชนิด ผมก็เริ่มประหลาดใจว่า เหตุใดจึงมีการทดลองทางคลินิกกับผู้ป่วยโรคมะเร็งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น?!! และผมก็ไม่สามารถหยุดถามตัวเองว่า "ถ้าน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์มีคุณสมบัติป้องกันมะเร็ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเห็นได้จากงานวิจัยเหล่านี้ และได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อเซลล์ที่ดีของมนุษย์ แล้วทำไมนักวิทยาศาสตร์ถึงได้ทำการทดลองแต่ในห้องปฏิบัติการ (laboratory research) ทำไมถึงไม่ทำการทดลองในมนุษย์ หรือว่าพวกเขาได้ทำแล้ว?"

ประวัติความเป็นมาของการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์นั้น เป็นที่รู้จักกันดี โดยการแพทย์พื้นบ้านแบบดั้งเดิมได้มีการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์อย่างปลอดภัย มาตั้งแต่ยุคสมัยของฟาโรห์แห่งอียิปต์
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ถูกพบในหลุมฝังศพของฟาโรห์ Tutankhamen ซึ่งบ่งชี้ว่า น้ำมันอาจจะมีบทบาทสำคัญในการแพทย์อียิปต์โบราณ[21] นอกจากนี้ นักโบราณคดียังพบฮับบาตุซเซาดะฮ์ผสมกับน้ำผึ้งและไขผึ้งอยู่ในขวดของผู้แสวงบุญจากชนฮิตไทต์เก่า บนภูเขา BoyalıHöyük ในราว 1,650 ปีก่อนคริสตกาล ทางภาคเหนือของตุรกี[22] ฮับบาตุซ
เซาดะฮ์และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ใช้รักษาโรคได้ผลมาแล้วหลายสิบโรค นับตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งครอบคลุมส่วนใหญ่ของโลก

ทว่าเมื่อมาถึงการรักษาโรคมะเร็ง การรักษานี้ยังหยุดอยู่ที่การทดลองในห้อง lab ราวกับว่ามันเป็นสารพิษที่เป็นอันตราย จงจำไว้ว่า..ฮับบาตุซเซาดะฮ์และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นอาหาร!! มันกินได้ พวกเขาได้นำมาใช้เป็นเครื่องปรุงแต่งกลิ่นรสของอาหาร และได้ใช้เป็นยาบำรุงสุขภาพและบำบัดรักษาในชีวิตประจำวัน นับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมานั่งทดลองในหลอดแก้วหรือในสัตว์ เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ รูปแบบการศึกษาวิจัยที่เราต้องพัฒนาก็คือการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ในทางคลินิกกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ และ thymoquinone มีประสิทธิภาพในการใช้ต่อต้านโรคมะเร็ง และไม่ได้มีผลข้างเคียงใด ๆ ที่เป็นอันตราย บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการศึกษาทดลองในทางคลินิก 

 
ทำไมการวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ในการรักษาโรคมะเร็ง ถึงได้ไม่มี หรือว่า หายาก!! เพราะอะไร??

ผมเชื่อว่าคำตอบของคำถามนี้ คงจะเกี่ยวข้องกับอำนาจในการควบคุมของ บริษัทยา ในขณะที่บางส่วนของนักวิจัยได้ตั้งข้อสังเกตไว้ในบทคัดย่อของพวกเขาว่า ยาเคมีบำบัดแบบเดิมได้กลายยาที่มีประสิทธิภาพน้อย บางส่วนของการศึกษาวิจัยที่ผมกล่าวถึงข้างต้น ได้ทดสอบการใช้งานของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์และ thymoquinone ร่วมกับยาเคมีบำบัดที่มีอยู่ เมื่อนักวิจัยได้ทำการทดลอง พวกเขามักจะพบว่า การใช้งานร่วมกันกับยาเคมีบำบัด จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว ในการทดลองบางครั้ง พบว่า thymoquinone มีประสิทธิภาพในทำงานเท่าเทียมกันกับยาเคมีบำบัด ซึ่งอาจหมายความว่า ความเป็นพิษของตัวยาเคมีบำบัดได้ถูกแทนที่ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งไม่มีผลกระทบที่เป็นอันตราย 

จึงน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่ว่าสำหรับอุตสาหกรรมยา สิ่งนี้น่าจะเป็นข่าวร้ายอย่างยิ่งสำหรับการทำกำไร

เรื่องนี้รบกวนต่ออุตสาหกรรมการผลิตยา บริษัทเหล่านี้จึงพยายามที่จะให้มีการควบคุมการใช้งานของสารที่มาจากธรรมชาติ ด้วยกีดกันให้การใช้งานจะต้องมีใบสั่งยา โดยจัดให้สารสกัดจากธรรมชาติไปอยู่ในประเภทของยาที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตร (expiring patent) และสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาให้เรียกว่า "ยาใหม่" เพื่อที่พวกเขาสามารถจะจดสิทธิบัตร กลยุทธ์นี้ถูกดำเนินการโดย บริษัท ยา ด้วยความช่วยร่วมมือขององค์การอาหารและยา (FDA) สำหรับการใช้งานของโฟเลต (วิตามิน B9) พวกเขากำลังพยายามที่จะควบคุมการใช้โฟเลตในรูปสารธรรมชาติที่มีวิตามิน B9 ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ และสร้างยาที่ขึ้นทะเบียนใหม่ จากสาร SSRI (selective serotonin reuptake inhibitor : ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์เพิ่มสารเคมี “ซีโรโตนิน” โดยเฉพาะ เป็นยาต้านอาการซึมเศร้า) และโฟเลต เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคที่มีใจรักสุขภาพ เข้าถึงการใช้งานโฟเลตในรูปแบบสังเคราะห์ (หรือที่เรียกว่า “กรดโฟลิก) ที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าวิตามิน B9 [23]

ในเหตุผลทำนองเดียวกัน บริษัท ยา อาจสนใจที่จะปรับสูตรของยาเคมีบำบัด ให้มีความ
ล้มเหลวในการใช้งานร่วมกับ thymoquinone ซึ่งนั่นคือการปรับปรุงประสิทธิภาพการ
ทำงานของยา ในขณะที่บางส่วนของผลงานวิจัยก่อนหน้านี้ และงานวิจัยบางชิ้นที่กำลังดำเนินการอยู่ แสดงให้เห็นว่า thymoquinone มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับยาเคมีบำบัดและไม่มีผลข้างเคียง แต่ทว่า บริษัท ยา ไม่สามารถที่จะทำเงินพันล้านดอลลาร์จากการขายน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ thymoquinone เพราะมันอาจจะไม่ได้เป็นข้อมูลทางการเงินที่น่าสนใจสำหรับ บริษัท ยา ในการที่จะส่งเสริมให้มีการทดลองในมนุษย์ เพื่อใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ thymoquinone ซึ่งไม่ได้รับจดทะเบียนสิทธิบัตรยา

เรื่องที่น่าเห็นใจสำหรับผู้เป็นมะเร็ง

ผมรู้สึกเศร้าใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อได้เห็นส่วนหนึ่งจากอวัยวะที่มีสุขภาพดีของพวกเขา จะต้องถูกทำลายด้วยยาเคมีบำบัดและการฉายแสง ในขณะที่สารสกัดจากธรรมชาติสามารถลดและขจัดความเสียหายที่เกิดกับเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี งานวิจัยข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์สามารถป้องกันความเสียหายจากรังสี ที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพ ถ้าหากมันได้รับก่อนการฉายรังสี และมีการใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันหลังจากได้รับการรักษาแต่ละครั้ง เป็นความจริงที่ว่า ไม่มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยใด ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงผลการทดลองในทางคลินิกสำหรับมนุษย์ (แม้จะประสบความสำเร็จกับการใช้น้ำมันฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ในสัตว์) ความจริงที่ผิดพลาดนี้สร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยรังสี

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์มีประสิทธิภาพในการป้องกันผลกระทบจากการฉายรังสีและยาเคมีบำบัด และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีศักยภาพ แต่ทว่าเราทำได้แต่เพียงการคาดเดาถึงปริมาณโดสที่ใช้ประจำวัน เพื่อปกป้องผู้ป่วย และก็มีบางเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) ในการรักษาโรคมะเร็ง อย่างไรก็ดี ผมไม่สามารถให้ข้อเสนอแนะที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้งานในเรื่องนี้ เพราะว่าจากงานวิจัยที่ผมได้อ่าน ก็ไม่มีงานวิจัยใด ๆ ที่ยืนยันถึงการ
ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพในโรคมะเร็งทุกชนิด รวมทั้งปริมาณการใช้น้ำมันฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ในแต่ละวัน เพื่อให้ได้รับผลสำเร็จในการรักษาที่ดีที่สุด


น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ไม่ใช่ยา การได้รับมากก็ใช่ว่าจะดีกว่า ผมได้พบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีการใช้ เพื่อให้ครอบคลุมสำหรับทุก ๆ กรณีควรใช้ในปริมาณ 1-3 ช้อนชาต่อวัน หนึ่งช้อนชาอาจจะเป็นการใช้ประจำวันเพื่อดูแลรักษาสุขภาพ สองหรือสามช้อนชาต่อวัน อาจเป็นข้อเสนอแนะสำหรับโรคบางโรค อีกทั้งยังสามารถรับประทานร่วมกับน้ำผึ้ง หรือในบางครั้งก็สามารถนำมาใช้กับผิวหนัง ผมขอแนะนำให้คุณค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีการดูสุขภาพของคุณเป็นการเฉพาะ เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับคุณ.

*References


[1] Woo CC1, Kumar AP, Sethi G, Tan KH.; “Thymoquinone: potential cure for inflammatory disorders and cancer,” Biochem Pharmacol. 2012 Feb 15, PMID: 22005518. 

[2] Abukhader MM., Department of Pharmacy, Oman Medical College, Muscat, Sultanate of Oman, “Thymoquinone in the clinical treatment of cancer: Fact or fiction?” Pharmacogn Rev. 2013 Jul;7, PMID: 24347919. 
[3] Khan MA1, Chen HC, Tania M, Zhang DZ.; “Anticancer activities of Nigella sativa (black cumin),” Afr J Tradit Complement Altern Med. 2011, PMID: 22754079.
[4] Randhawa MA1, Alghamdi MS.; “Anticancer activity of Nigella sativa (black seed) – a review,” Am J Chin Med. 2011, PMID: 22083982.
[5] Mabrouk GM1, Moselhy SS, Zohny SF, Ali EM, Helal TE, Amin AA, Khalifa AA.; “Inhibition of methylnitrosourea (MNU) induced oxidative stress and carcinogenesis by orally administered bee honey and Nigella grains in Sprague Dawely rats” J Exp Clin Cancer Res. 2002 Sep, PMID: 12385575.
[6] Cikman O1, Ozkan A, Aras AB, Soylemez O, Alkis H, Taysi S, Karaayvaz M.; “Radioprotective Effects of Nigella Sativa Oil Against Oxidative Stress in Liver Tissue of Rats Exposed to Total Head Irradiation,” J Invest Surg. 2014 Mar 28, PMID: 24679182.
[7] Velho-Pereira R1, Kumar A, Pandey BN, Mishra KP, Jagtap AG.; “Radioprotection by Macerated Extract of Nigella sativa in Normal Tissues of Fibrosarcoma Bearing Mice,” Indian J Pharm Sci. 2012 Sep, PMID: 23716868.
[8] Raghunandhakumar S1, Paramasivam A, Senthilraja S, Naveenkumar C, Asokkumar S, Binuclara J, Jagan S, Anandakumar P, Devaki T.; “Thymoquinone inhibits cell proliferation through regulation of G1/S phase cell cycle transition in N-nitrosodiethylamine-induced experimental rat hepatocellular carcinoma,” Toxicol Lett. 2013 Oct 23, PMID: 24012840.
[9] Hassan MI1, Mabrouk GM, Shehata HH, Aboelhussein MM.; “Antineoplastic effects of bee honey and Nigella sativa on hepatocellular carcinoma cells,” Integr Cancer Ther. 2012 Dec, PMID: 21147814.
[10] Al-Sheddi ES1, Farshori NN, Al-Oqail MM, Musarrat J, Al-Khedhairy AA, Siddiqui MA.; “Cytotoxicity of Nigella sativa seed oil and extract against human lung cancer cell line,” Asian Pac J Cancer Prev. 2014, PMID: 24568529.
[11] Racoma IO1, Meisen WH, Wang QE, Kaur B, Wani AA.; “Thymoquinone inhibits autophagy and induces cathepsin-mediated, caspase-independent cell death in glioblastoma cells,” PLoS One. 2013 Sep 9, PMID: 24039814.
[12] Motaghed M1, Al-Hassan FM, Hamid SS.; “Cellular responses with thymoquinone treatment in human breast cancer cell line MCF-7,” Pharmacognosy Res. 2013 Jul, PMID: 23900121.
[13] Salim LZ1, Mohan S, Othman R, Abdelwahab SI, Kamalidehghan B, Sheikh BY, Ibrahim MY.; “Thymoquinone induces mitochondria-mediated apoptosis in acute lymphoblastic leukaemia in vitro,” Molecules. 2013 Sep 12, PMID: 24036512.
[14] Norwood AA1, Tucci M, Benghuzzi H; “A comparison of 5-fluorouracil and natural chemotherapeutic agents, EGCG and thymoquinone, delivered by sustained drug delivery on colon cancer cells,” Biomed Sci Instrum., 2007, PMID: 17487093.
[15] Gali-Muhtasib H1, Diab-Assaf M, Boltze C, Al-Hmaira J, Hartig R, Roessner A, Schneider-Stock R.; “Thymoquinone extracted from black seed triggers apoptotic cell death in human colorectal cancer cells via a p53-dependent mechanism,” Int J Oncol., 2004 October, PMID: 15375533.
[16] Salem EM1, Yar T, Bamosa AO, Al-Quorain A, Yasawy MI, Alsulaiman RM, Randhawa MA.; “Comparative study of Nigella Sativa and triple therapy in eradication of Helicobacter Pylori in patients with non-ulcer dyspepsia,” Saudi J Gastroenterol. 2010 Jul-Sep, PMID: 20616418.
[17] Effenberger-Neidnicht K1, Schobert R.; “Combinatorial effects of thymoquinone on the anti-cancer activity of doxorubicin,” Cancer Chemother Pharmacol. 2011 April, PMID: 20582416.
[18] Woo CC1, Hsu A, Kumar AP, Sethi G, Tan KH.; “Thymoquinone inhibits tumor growth and induces apoptosis in a breast cancer xenograft mouse model: the role of p38 MAPK and ROS,” PLoS One. 2013 October 2, PMID: 24098377.
[19] Banerjee S1, Padhye S, Azmi A, Wang Z, Philip PA, Kucuk O, Sarkar FH, Mohammad RM.; “Review on molecular and therapeutic potential of thymoquinone in cancer,” Nutr Cancer, 2010, PMID: 20924969.
[20] Abukhader MM.; “Thymoquinone in the clinical treatment of cancer: Fact or fiction?” Pharmacogn Rev. 2013 July, PMID: 24347919.
[21] “Black Seed: Seed of Blessing,” By The Institute of Tibb Medicine, Johannesburg, South Africa, Published in Awareness Magazine, September/October 2000. http://www.awarenessmag.com/sepoct0/SO0_BLACK_SEED.HTM
[22] B. Saliha, T. Sipahib, E. Oybak Dönmezc; “Ancient nigella seeds from Boyalı Höyük in north-central Turkey,” Journal of Ethnopharmacology, Volume 124, Issue 3, 30 July 2009, Pages 416–420, PMID: 19505557.
[23] “The SSRI/Folate Connection: Why Big Pharma May Want to Monopolize the B Vitamin You Can’t Live Without,” Alliance for Natural Health USA, 3/18/2014.


-----------------------------------


ที่มา : ถอดความจากบทความของ John P. Thomas ในเว็บไซด์ Health Impact News *Thank you.*