หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิธีรักษาโรคอ้วนและลดหนักด้วยน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed / Kalonji) ตามตำรายาไทย เรียกว่า “เทียนดำ” คือ สมุนไพรที่สามารถบำบัดได้ทุกโรค  หลาย ๆ คนที่เคยติดตามข้อมูลความรู้เกี่ยวกับฮับบาตุซเซาดะฮ์ ก็คงทราบข้อมูลเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้วนะคะ แล้วความอ้วนถือว่า เป็นโรค หรือไม่??

น้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน (Overweight and obesity) 
องค์การอนามัยโลก ให้นิยามว่า น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเกินปกติ จนเป็นปัจจัยเสี่ยง หรือ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่าง ๆ ที่ส่งผลถึงสุขภาพ จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้  โดยผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index หรือ BMI) ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป เรียกว่า น้ำหนักตัวเกิน และหากมีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เรียกว่า เป็นโรคอ้วน อย่างไรก็ดี สำหรับคนเอเชียมีรูปร่างเล็กกว่า จึงกำหนดให้น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน มีค่าดัชนีมวลกาย ตั้งแต่ 23 และ 25 ขึ้นไป ตามลำดับ


องค์การอนามัยโลก และกลุ่มแพทย์ชาวเอเชีย ได้แบ่งโรคอ้วนออกเป็น 3 ระดับ คือ ปานกลาง รุนแรง และรุนแรงมาก โดยระดับความรุนแรงมาก คือ ค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 40 ขึ้นไป (องค์การอนามัยโลก) หรือตั้งแต่ 30 ขึ้นไปในคนเอเชีย และให้ถือว่าโรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญปัญหาหนึ่ง ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ เนื่องจากภาวะน้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา

งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับฮับบาตุซเซาดะฮ์

ในประเทศอินโดนีเซีย มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก โดยทำการทดลองแบบ double blinded ในผู้ป่วยที่ถูกนำมาควบคุม ด้วยการให้ยาหลอก โดยคัดเลือกจากผู้ป่วยชาย ที่เป็นผู้ใหญ่และมีโรคอ้วน (อ้วนลงพุง) เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella sativa) ในศูนย์กลางของความเป็นอิสระของเซรั่มฮอร์โมนเพศชาย, น้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว, น้ำตาลในเลือด, ไขมัน, กรดยูริค , adiponectin (โปรตีนที่มีส่วนในการควบคุมกลูโคส), hs-CRP (ความไวของโปรตีนที่ตอบสนองในเลือดต่อการอักเสบ), และผลข้างเคียง[1] โดยให้การรักษาด้วยการให้ผงของเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในปริมาณ 1.5 กรัม (สองแคปซูล) รับวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือ ผลลัพธ์ที่ได้ปรากฏว่า มีค่านัยสำคัญที่สูงมาก ในการลดลงของน้ำหนักตัว, เส้นรอบเอว, และความดันโลหิตตัวบน อย่างไรก็ดี การลดลงของระดับน้ำตาลในเลือดในขณะอดอาหาร, ฮอร์โมนเพศชาย, ความดันโลหิต (ค่าตัวล่างที่วัดได้), ไตรกลีเซอไรด์, และคอเลสเตอรอล-HDL, SGOT, SGPT, กรดยูริค และ hs-CRP ไม่มีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเพราะการได้รับฮับบาตุซเซาดะฮ์ในปริมาณโดสที่มีขนาดเล็กกว่าที่ควรจะเป็น และพบว่าไม่มีผลข้างเคียงในกลุ่มที่ให้การรักษา[2]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ) กับการรักษาโรคอ้วน

โรคอ้วน (Obesity) มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอุบัติการณ์ที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น ในการแก้ปัญหาโรคอ้วนนอกจากการควบคุมและลดน้ำหนักแล้ว ก็ควรคำนึงถึงโรครองเหล่านี้ด้วยเช่นกัน การศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ) มีฤทธิ์ในการป้องกันโรคหัวใจ, ต้านมะเร็ง, ป้องกันโรคเบาหวาน, มีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัญหาเรื่องโรคอ้วนและโรคเรื้อรังต่าง ๆ ทั่วโลกก็เพิ่มขึ้นตามมาเช่นกัน ดังนั้น ในอนาคตควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของฮับบาตุซเซาดะฮ์ในการป้องกันและบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ [3]

นักวิจัยชี้ให้เห็นว่า “โรคอ้วน” เป็นปัญหาสุขภาพที่แพร่หลายมากที่สุด ส่งผลกระทบต่อทุกกลุ่มอายุ และนำไปสู่​​โรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ, เบาหวาน ชนิดที่ 2, และโรคหลอดเลือดสมอง นักวิจัยได้ทบทวนบทคัดย่อในผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน, ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ จำนวน 33 บท แล้วพบว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ), ชาเขียว และชาแดง (Chinese Black Tea) มีผลในการป้องกันโรคอ้วน (anti-obesity)[4]

การศึกษาโดยนักวิจัยชาวอิหร่าน ได้ทำการตรวจสอบประสิทธิผลในระยะยาวของการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่มีต่อระดับไขมันในเลือดและความสามารถในการใช้ออกซิเจน ของผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินคงที่ ด้วยการทดลองกับกลุ่มควบคุม แบบ double-blind โดยการสุ่มผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินคงที่ จำนวน 20 คน แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แล้วให้ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นยาเสริม กับอีกกลุ่มให้ยาหลอก เป็นเวลา 8 สัปดาห์ โดยให้ทั้งสองกลุ่มมีส่วนร่วมในออกกำลังกายแบบแอโรบิก จำนวน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยทั้งก่อนและหลังการทดลอง 8 สัปดาห์ ได้ทำการวัดค่าไขมันในเลือด และ VO2 max (วี-โอ-ทู-แมกซ์ คือ การทดสอบสมรรถนะร่างกายแบบหนึ่ง เพื่อวัดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ออกซิเจนของร่างกาย ว่ามีความสามารถที่จะดึงออกซิเจนจากอากาศมาผสมกับเลือด เพื่อส่งไปยังกล้ามเนื้อต่าง ๆ ได้สูงสุดแค่ไหน)

ผลการทดลองปรากฏว่า กลุ่มผู้หญิงที่ได้รับยาหลอกและออกกำลังกายแบบแอโรบิก มีการลดลงของคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอล-LDL และมีการเพิ่มขึ้นของค่า VO2 Max ส่วนกลุ่มผู้หญิงที่ใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นยาเสริมและมีการออกกำลังกายแบบแอโรบิก มีการลดลงของคอเลสเตอรอลรวม, ไตรกลีเซอไรด์, LDL (ไขมันไม่ดี) และดัชนีมวลกาย (อัตราส่วนของไขมันกล้ามเนื้อ) กล่าวคือ มีการสูญเสียไขมันในร่างกายและมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น

สรุปได้ว่า การใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นยาเสริม ช่วยเพิ่ม HDL (ไขมันชนิดดี) และ VO2 Max นักวิจัยจึงสรุปว่า การใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เป็นเวลา 8 สัปดาห์ มีผลช่วยเสริมฤทธิ์กันและกัน ดังนั้น การบริโภคฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ) และร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก จึงเป็นวิธีที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด[5]

เรามีวิธีการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) เพื่อลดน้ำหนัก อย่างไรบ้าง??


ฮับบาตุซเซาดะฮ์ นอกจากจะช่วยรักษาโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาด้านสุขภาพแล้ว ยังช่วยรักษาโรคอ้วน หรือลดน้ำหนักได้อีกด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากมันช่วยให้ร่างกายสามารถควบคุมระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือด ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญ  ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า มีเว็บไซด์หลายแห่งได้แนะนำให้ใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ร่วมกับน้ำผึ้ง และผงซินนามอน (cinnamon) เนื่องจากซินนามอน หรืออบเชย ก็มีคุณสมบัติดังกล่าวเช่นเดียวกัน และ “น้ำผึ้ง” ในทางอายุรเวท คือ ตัวแครีเออร์ (carrier) ที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้แก่สมุนไพร ด้วยการเป็นตัวนำพาสารอาหารไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อ ด้วยคุณสมบัตินี้เอง จึงมักนำน้ำผึ้งไปเป็นส่วนผสมของสมุนไพร/เครื่องเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการรักษาให้ดียิ่งขึ้น


*การลดน้ำหนักโดยใช้ซินนามอนร่วมด้วย* : มีข้อควรระวัง คือ ผงซินนามอนที่นำมาใช้ ควรจะเป็นอบเชยหรือซินนามอนจากลังกา (Ceylon cinnamon, True cinnamon) ในขณะที่ร้านค้าโดยทั่วไปมักจะเป็นอบเชยจีน (Chinese Cinnamon) ซึ่งมีราคาถูกและมีสารคูมาริน (coumarin) สูง ถ้าหากรับประทานในปริมาณมาก ๆ หรือเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นอันตรายต่อตับและไต นอกจากนี้ผงซินนามอนที่ขายอยู่ในท้องตลาดบ้านเรามักจะไม่ได้ระบุแหล่งที่มาว่าเป็นอบเชยชนิดใด

 ศาสตร์การแพทย์ตามแนวทางอายุรเวท  

วิธีการรักษาโรคอ้วน (Obesity) : ให้ใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (หรือ Kalonji Oil) ½ ช้อนชา กับน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ผสมในน้ำอุ่น ดื่มวันละ 2 ครั้ง 

วิธีที่ดีที่สุด คือ ให้รับประทานมื้อแรกในตอนเช้า หลังจากตื่นนอนก่อนที่จะรับประทานอาหารเช้า ประมาณ ½ - 1 ชั่วโมง และอีกมื้อหนึ่งก่อนนอน ช่วงที่กระเพาะอาหารว่าง ไม่ได้ทานอาหารอะไรก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง จะช่วยเอาชนะโรคอ้วน หรือลดน้ำหนักได้  นอกจากนี้ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภทหวาน/มัน อาหารทอด ขนมเค้กหรือเบเกอรี่ต่าง ๆ อีกด้วย และที่สำคัญคือ ถ้ามีการออกกำลังกายแบบแอโรบิกร่วมด้วยจะยิ่งดีเยี่ยมเลยค่ะ ^^


************************
ข้อมูลอ้างอิง :
[1] Datau EA, Wardhana, Surachmanto EE, Pandelaki K, Langi JA, Fias. Efficacy of Nigella sativa on serum free testosterone and metabolic disturbances in central obese male. Acta Med Indones 2010;42(3):130-134.
[Medline]
[2] Najmi A, Nasiruddin M, Khan RA, Haque SF. Effect of Nigella sativa oil on various clinical and biochemical parameters of insulin resistance syndrome. Int J Diabetes Dev Ctries 2008;28(1):11-14.
[Medline]
[3] Vanamala J1, Kester AC, Heuberger AL, Reddivari L.; “Mitigation of obesity-promoted diseases by Nigella sativa and thymoquinone,” Plant Foods Hum Nutr. 2012 Jun, PMID: 22477645.
[4] Hasani-Ranjbar S1, Jouyandeh Z, Abdollahi M.; “A systematic review of anti-obesity medicinal plants – an update,” J Diabetes Metab Disord., 2013 June 19, PMID: 23777875.
[5] Farzaneh E1, Nia FR2, Mehrtash M2, Mirmoeini FS3, Jalilvand M1.; “The Effects of 8-week Nigella sativa Supplementation and Aerobic Training on Lipid Profile and VO2 max in Sedentary Overweight Females,” Int J Prev Med., 2014 February, PMID: 24627749.
 

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ผลการใช้ KAMIL HABBATUSSAUDA รักษาโรคเอ็มเอส

วันนี้มีเรื่องที่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง นำมาแชร์ให้แก่เพื่อน ๆ และลูกค้า ผู้ใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) ของ KAMIL ค่ะ กล่าวคือ มีลูกค้ารายหนึ่ง สามีเธอป่วยเป็นโรคเอ็มเอส หรือโรคมัลติเพิล สเคอโรซิส (Multiple sclerosis : MS) เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งระบบประสาทส่วนกลางนี้จะประกอบด้วย สมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาทตา เมื่อเกิดการอักเสบ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง


สาเหตุของโรค : สาเหตุที่ทำให้เกิด โรคเอ็มเอส นั้น ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่า โรคเอ็มเอส เกิดจากปัจจัยหลัก คือ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการติดเชื้อ หรือได้รับเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียบางชนิด ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถแยกแยะได้ถูกต้อง ระหว่างเซลล์ร่างกายกับสิ่งแปลกปลอม ทำให้แทนที่ภูมิต้านทานจะทำลายเชื้อโรคเพียงอย่างเดียว กลับทำร้ายเซลล์ตัวเอง (auto immune) โดยไปทำลายปลอกหุ้มเส้นประสาทด้วย จนเกิดอาการอักเสบขึ้นมา

อาการของโรค : ผู้ป่วย โรคเอ็มเอส จะมีอาการหลากหลาย ขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดโรค เช่น หากเกิดที่เส้นประสาทตา จะส่งผลต่อการมองเห็น อาจสูญเสียการมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่ง เนื่องจากเส้นประสาทตาอักเสบ จึงทำให้ปวดตา ตามัว ภายในเวลา 1-2 นาที หากเกิดที่ไขสันหลัง หรือสมอง อาจมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งตัว แขนขาไม่มีแรง เหน็บชา ปวด หรือปัสสาวะไม่ออก ขึ้นอยู่กับว่าเกิดที่สมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมส่วนไหนของร่างกาย ถ้าเป็นที่สมองส่วนกลางที่ควบคุมการทรงตัว คนไข้อาจมีอาการหัวหมุน หรือวิงเวียนศีรษะได้แต่มักมีอาการอื่นร่วมด้วย ทั้งนี้หากเป็นมากอาจสูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกาย จนอาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และเสียชีวิตได้

ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ จะมีความผิดปกติทางสมองประมาณ 30-70% โดยเฉพาะด้านการกะระยะทาง ความจำ ความเร็วในการประมวลผล และการบริหารงาน ทั้งการแก้ปัญหา การวางแผน การจัดลำดับงาน เป็นต้น

การรักษาโรคเอ็มเอส : ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา โรคเอ็มเอส ให้หายขาด เนื่องจากมีแผลเป็นในระบบประสาทเกิดขึ้น ทำได้เพียงแค่รักษาตามอาการ โดยชะลอให้อาการต่างๆ ทุเลาลง ด้วยการให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบ หรือยาลดความรุนแรงของโรคในกลุ่ม Interferon bata หรือ ยากดภูมิคุ้มกันบางตัว

นอกจากนี้ ยังมีการแพทย์ทางเลือกที่ช่วยทุเลาอาการ เช่น การฝังเข็ม (acupuncture), ไคโรแพรกติก (chiropractic), การใช้ยาสมุนไพร (herbal medicine), แนวการรักษาแบบโฮมิโอพาธี (homeopathy) และแนวการรักษาแบบออสทีโอพาธี (osteopathy) ฯลฯ

การใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) รักษาโรคเอ็มเอส จึงถือได้ว่า เป็นหนึ่งในการแพทย์ทางเลือก และเป็นการแพทย์ตามแนวทางอิสลาม ซึ่งมีรายงานวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “จำเป็นสำหรับท่านทั้งหลาย คือ ฮับบะตุซเซาดะฮ์ เพราะแท้จริงมันเป็นยาบำบัดทุกโรค เว้นแต่ความตาย”  บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ และมุสลิม

ถึงแม้ว่า ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยยืนยันว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือที่คนไทยเรียกว่า “น้ำมันเทียนดำ” สามารถรักษาโรคเอ็มเอส ได้ แต่ด้วยคุณสมบัติของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) เอง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค อีกทั้งมีสรรพคุณครอบคลุมในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขว้างทั่วถึงในทุก ๆ โรค  ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (blask seed oil) สามารถรักษาโรคเอ็มเอส ได้นั่นเอง 

นอกจากนี้ ผลลัพธ์จากประสบการณ์ของผู้ใช้ Black Seed Oil ในการรักษาโรคเอ็มเอส ในต่างประเทศ ก็มีให้เห็นมาแล้ว 2 ราย เป็นผู้ป่วยชาย 1 ราย และหญิง 1 ราย ดังบทความที่เคยนำเสนอมาแล้ว
 
และล่าสุดนี้ เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง มีผู้ใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) ของ KAMIL เพียงเวลา 1 ปี ทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ จากคำบอกเล่าของภรรยาของผู้ป่วยที่เป็นลูกค้าของ KAMIL เธอได้นำเรื่องราวนี้มาแชร์ในไลน์กลุ่ม KAMIL HABBATUSSAUDA ว่า..


“สวัสดีค่ะทุกท่าน มีข้อมูลมาแชร์ค่ะ สามีดิฉันเป็นโรค MS มา 15 ปี ที่ผ่านมารักษาตามอาการ พอมีอาการกำเริบทีก็จะต้องไปให้ยา จนกระทั่งได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ black seed (ฮับบะตุซเซาดะฮ์) ว่าช่วยอะไรได้บ้าง  จึงสั่งซื้อ ให้สามีรับประทาน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม 2015 และทานมาเรื่อย ๆ สิ่งที่พบได้จาการทานน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ของ KAMIL ก็คือ (1) การนอนหลับดีมาก มากจนน่าตกใจ จากที่เคยหลับยากมาก (2) ล่าสุดคุณหมอได้ตรวจโดยให้ทำ MRI สมอง และหลัง ผลปรากฏว่า ไม่พบจุดขาวในสมอง โดยมีขนาดเล็กลงและไม่มีเพิ่มขึ้น และบริเวณ spine ไม่พบ จุดขาว เช่นกัน ซึ่งก็ตรงกับเรื่องราวที่มีการแชร์ กันว่า black seed oil ช่วยรักษาโรค MS ได้  ซึ่งแม้แต่หมอเองก็ยังแปลกใจ

นอกจากนี้ สามีของดิฉันยังมีอาการอื่น ๆ ที่ดีขึ้น จึงขอทานต่อไปอีกสักพักหนึ่ง แล้วจะกลับมาเล่าสู่กันฟังอีกนะคะ  ต้องขอขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงเมตตา ให้ครอบครัวเราได้รู้จักสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา” (1 พฤษภาคม 2559)

MASHA’ALLAH, ALHAMDULILLAH!!

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559

โรคทูเร็ตต์ โรคติกส์ กับสารโดปามีน

โรคทูเร็ตต์ (Toutrette’s disorder) อยู่ในกลุ่มโรคเดียวกับโรคติกส์ (Tic disorder) อาการ tics เกิดจากการที่สมองสั่งการให้เกิดการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ (Motor tics) โดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น กระพริบตา อ้าปาก ยักไหล่หรือแขนขากระตก เป็นต้น หรืออาจมีการเปล่งเสียงขึ้น (Vocal Tics) จากลำคอหรือจมูก โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ เช่น ไอ กระเอม สูดจมูก ส่งเสียงในลำคอ และบางครั้งอาจมีพูดซ้ำ หรือสบถเป็นคำหยาบได้ ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการทั้งสองอย่างเลย คือ Motor และ Vocal tics เรียกว่า โรคทูเร็ตต์ อาการเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก (ไม่เกิน 18 ปี) พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง


สาเหตุ : ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง พบว่า
  • เกี่ยวข้องทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม อีกส่วนหนึ่งมาจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ที่ชื่อว่า "โดปามีน" Dopamine ซึ่งถูกสร้างมาจากกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ชื่อว่า ไทโรซิน (Tyrosine)
  • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม หรือปัจจัยทางจิตสังคม ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่มีผลต่อความรุนแรงของอาการ เช่น ความเครียด ความอ่อนล้า และการอดนอน จะเป็นตัวกระตุ้นให้มีอาการรุนแรงขึ้น
ไทโรซิน (Tyrosine) เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง จึงจัดเป็นกลุ่มกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น (non essential amino acid) มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ได้มาจากกระบวนการแยกสลายของน้ำ (ไฮโดรไลซีส) ของโปรตีน เช่น เครซิน และตัวตั้งต้นของอะดรีนาลิน, ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์ (ไทรอกซิน) และเม็ดสี (Melanin)

ไทโรซิน เป็นสารสื่อประสาทที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้น เนื่องจากมีบทบาทในการกระตุ้นและปรับเปลี่ยนการทำงานของสมอง เพื่อให้ฟีนิลอะลานีน ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น ยับยั้งความอยากอาหาร และอื่นๆ

ไทโรซิน ช่วยส่งเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง และต่อมไทรอยด์ อีกทั้งช่วยกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน (growth hormone) ช่วยแก้ไขอารมณ์ซึมเศร้า คลายเครียด ฟื้นฟูความจำ ช่วยกระตุ้นความรู้สึก เพิ่มแรงขับเคลื่อนทางเพศ

ร่างกายสามารถสร้างสาร "โดปามีน" ขึ้นโดยธรรมชาติจากกรดอะมิโน "ไทโรซิน" ซึ่งร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนสูง (คาร์โบไฮเดรตต่ำ) ได้แก่ เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง อาหารทะเล ไข่ และนม

เมื่อร่างกายหลั่งสารโดปามีน จะช่วยให้สมองมีพลัง กระฉับกระเฉง และตื่นตัว มีสมาธิมากขึ้น

แหล่งอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยให้ร่างกายสร้างสารโดปามี เป็นอาหารที่มีกรดอะมิโนไทโรซีนสูง ซึ่งพบมากในอาหาร ดังต่อไปนี้
  • เนื้อสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอกไก่ และปลาประเภทที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลากะพง ปลาทู ปลาซาร์ดีน
  • ผักต่าง ๆ ที่ให้สารโฟเลทและแอนตี้ออกซิแดนท์สูง ได้แก่ เช่น บร็อกโคลี ผักโขม หัวผักกาด ผักคะน้า กระหล่ำ อะโวคาโด ถั่วดำ และถั่วต่าง ๆ 
  • ผลไม้ ได้แก่ แอปเปิ้ล กล้วย บลูเบอรี่ มะละกอ ลูกพรุน สตอเบอรี่ แตงโม 
  • ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องดื่ม และอื่น ๆ ได้แก่ ช็อคโกแลต กาแฟ แปะก๊วย โสม ชาเขียว เมล็ดถั่วต่าง เมล็ดงา เมล็ดฟักทอง น้ำมันออริกาโน สาหร่ายเกลียวทอง ข้าวสาลี

อย่างไรก็ดี ในน้ำมันฮับบาตุซดซาดะฮ์ ประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็นแก่ร่างกาย มากกว่า 100 ชนิด ซึ่งรวมทั้งกรดอะมิโนที่จำเป็น และกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น ไทโรซิน (Tyrosine)

ดังนั้น น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) จึงสมุนไพรจากธรรมชาติ ที่เป็นตัวช่วยเสริมสร้างไทโรซินได้อีกส่วนหนึ่ง ดังเช่นอาหารที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งดีกว่าไปเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่เป็นสารไทโรซีนสังเคราะห์

ขอบคุณข้อมูลจาก : -

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

การใช้น้ำมันเทียนดำรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คืออะไร??
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เป็นโรคเรื้อรัง ที่มีสาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายอวัยวะของตัวเอง (autoimmune) โดยส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยในหลายอวัยวะ แต่อาการที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคและเป็นปัญหาทำให้ผู้ป่วยเกิดความพิการตามมา ก็คือ การที่ข้อต่าง ๆ เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะข้อมือและข้อนิ้วมือ


สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค : ยังไม่ทราบแน่ชัด  แต่พบว่าพันธุกรรมก็เป็นสาเหตุหนึ่ง โดยพบว่า 10% ของผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์มีญาติสายตรงที่เป็นโรคนี้เช่นกัน  และยังมีสาเหตุอื่น เช่น การติดเชื้อบางชนิดที่มีอยู่ทั่วไป ทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส  หรือสาเหตุจากฮอร์โมนก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง  เนื่องจากโรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเมื่อตั้งครรภ์

ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ตาม อาการของโรคที่ปรากฏ คือ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินไป และผิดปกติ โดยเฉพาะที่ข้อต่าง ๆ เซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้น และหลั่งสารเคมีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ  ซึ่งเป็นการอักเสบแบบเรื้อรัง  จนกระทั่งส่งผลทำให้เนื้อเยื่อปกติถูกทำลายในที่สุด

อาการของโรค : พบว่า ผู้ป่วยในระยะเริ่มแรก 2 ใน 3 มักจะมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากมีอาการอ่อนเพลีย  เหนื่อยง่าย  เบื่ออาหาร  และตามมาด้วยอาการข้ออักเสบ ที่เป็นลักษณะของ “โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์”  มีผู้ป่วยส่วนน้อยที่จะเริ่มต้นด้วยอาการของข้ออักเสบเลย  นอกจากนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต และม้ามโตร่วมด้วย

อาการของข้ออักเสบรูมาตอยด์ คือ มีอาการปวดบวมตามข้อ โดยพบที่ข้อขนาดเล็ก ๆ เช่น ข้อนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อนิ้วเท้า และฝ่าเท้า มากที่สุด  ส่วนที่พบในข้ออื่นๆ ได้แก่ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อเท้า ข้อศอก ข้อสะโพก ข้อกระดูกสันหลังส่วนคอ  แต่จะไม่พบที่ข้อปลายนิ้วมือ และที่ข้อกระดูกสันหลังส่วนเอว  

ลักษณะอาการเฉพาะของโรค คือ จะมีอาการที่ตำแหน่งข้อเหมือนกัน ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา  อาการปวดจะมากขึ้นเมื่อใช้งานข้อนั้น ๆ  และเมื่อพักการใช้ข้อนาน ๆ  เช่น หลังตื่นนอนก็จะมีอาการข้อยึดแข็ง ขยับไม่ได้เป็นเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง

สาเหตุที่ข้อบวมและปวด เกิดจากมีน้ำสะสมอยู่ในข้อ  เยื่อบุข้อมีการหนาตัว มีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เข้ามาอยู่มากมาย  ทำให้มีการหลั่งสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบจากเซลล์  และสารเคมีบางตัวก็ทำให้เกิดความเจ็บปวด  นอกจากนี้ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อยู่รอบข้อก็มีการอักเสบร่วมด้วย  จนกระทั่งเมื่อการอักเสบดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี ส่งผลให้กระดูกอ่อนที่เป็นส่วนประกอบของข้อถูกทำลาย  กระดูกที่อยู่รอบข้อบางลง  และในที่สุดจะเกิดพังผืดขึ้นมาแทนที่ ดึงรั้งทำให้ข้อเสียรูปร่าง ใช้งานไม่ได้  เนื้อเยื่อรอบ ๆ ข้อที่ทำหน้าที่พยุงข้อไว้ก็จะเสียไป  เส้นเอ็นที่เกาะอยู่ที่ข้อจะถูกทำลาย  และส่งผลทำให้กล้ามเนื้อทำงานไม่ได้ตามปกติ  และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยจะไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เหมือนเดิม เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ทำอาหาร งานบ้านต่าง ๆ  ซึ่งเป็นผลกระทบที่ร้ายแรงสำหรับโรคนี้

ยาที่ใช้รักษาโรคข้อรูมาตอยด์ : จะต้องใช้ยาหลายตัวร่วมกัน ไม่มียาตัวไหนที่จะหยุดยั้งการดำเนินของโรค และทำให้หายได้ ยาที่ใช้รักษาจะเป็นได้เพียง เพื่อลดและป้องกันการปวดบวมของข้อ ลดการดำเนินของโรคให้ช้าลง และไม่ให้รุนแรงจนข้อเสียหายพิการ

งานวิจัยทางคลินิก ประสิทธิผลของน้ำมันเทียนดำ
ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานวิจัยชิ้นนี้ได้ทำการศึกษาในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เพศหญิง จำนวน 40 คน โดยช่วงแรกให้ผู้ป่วยได้รับแคปซูลยาหลอก 2 แคปซูลต่อวัน นาน 1 เดือน  ต่อจากนั้นในช่วงหลัง จึงให้รับประทานแคปซูลน้ำมันเทียนดำ (Black cumin Oil)  ขนาด 500 มก.  
วันละ
2 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน ควบคู่ไปกับการรักษาด้วยยา
methotrexate,  hydroxychloroquine,  folic acid และ diclophenac sodium

การประเมินผลการรักษา : ใช้การวัดคะแนนความรุนแรงของโรค (disease activity score, DAS-28) การตอบสนองต่อการรักษาร้อยละ 20 ตามเกณฑ์ของ American college of rheumatology (ACR20) และ European league against rheumatism (EULAR)

ผลการประเมิน : พบว่า ช่วงที่ผู้ป่วยได้รับน้ำมันเทียนดำจะมีความรุนแรงของโรค จํานวนข้อที่มีการอักเสบ  และระยะเวลาของข้อฝืดตึงในตอนเช้า (morning stiffness) ลดลง  โดยมี
ผู้ป่วย 17 ราย (42.5%) ตอบสนองต่อการรักษาตามเกณฑ์ ACR20  และผู้ป่วย 12 ราย (30%) ตอบสนองต่อการรักษาตามเกณฑ์ของ EULAR  

สรุปผลการประเมิน : แสดงให้เห็นว่า การให้น้ำมันเทียนดำ (หรือ
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ /Black Seed Oil) ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน จะช่วยเสริมประสิทธิผลในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในผู้ป่วยได้

Phytother Res 2012;26:1246-8.

ขอบคุณข้อมูล :

1. เรื่องโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ : แพทย์หญิง สลิล ศิริอุดมภาส haamor.com
2. รายงานผลการวิจัยทางคลินิก จากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำช่วยลดความดันโลหิต

มารู้จักโรคความดันโลหิตสูงกันก่อน

โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension หรือ High blood pressure) เป็นโรคพบได้บ่อยมากในผู้ใหญ่ โดยพบในผู้ชายบ่อยกว่าในผู้หญิง และผู้สูงอายุในบางประเทศ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบโรคนี้ได้สูงถึง 50% ผู้ที่อยู่ในภาวะความดันโลหิตสูง คือ วัดความดันได้สูงตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอท ขึ้นไป



แพทย์บางท่านเรียกโรคความดันโลหิตสูง ว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นโรคที่มักจะไม่มีอาการ และจัดเป็นโรคเรื้อรังที่รุนแรง หากไม่สามารถควบคุมโรคได้ ส่วนใหญ่ภาวะความดันโลหิตสูง มีสาเหตุมาจากผลข้างเคียงของผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง หรือมาจากผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค คือ เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือมาจากอาการของโรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง   อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการจากตัวโรคความดันโลหิตสูงเองก็ได้ โดยมีอาการที่อาจพบได้ เช่น ปวดศีรษะ มึนงง วิงเวียน สับสน และเมื่อมีอาการมากอาจโคมาและเสียชีวิตได้

 

น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำช่วยลดความดันโลหิต

มีรายงานการวิจัยทางคลินิก : ศึกษาผลการใช้น้ำมันเทียนดำ (น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black See Oil) ในการลดความดันโลหิตของกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดี จำนวน 70 คน อายุระหว่าง 34-63 ปี ที่มีความดันช่วงบน 110-140 มม.ปรอท และความดันช่วงล่าง 60-90 มม.ปรอท โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับน้ำมันเทียนดำ ขนาด 2.5 มล. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก

ผลศึกษาพบว่า : ความดันโลหิตทั้งช่วงบนและช่วงล่างของกลุ่มที่ได้รับน้ำมันเทียนดำจะลดลง  เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ขณะที่ค่าอื่น ๆ เช่น ดัชนีมวลกาย (bodymass index) ระดับของเอนไซม์ aspartate transaminase, alanine transaminase, alkaline phosphatase ระดับของครีตินิน และยูเรียในเลือด ไม่เปลี่ยนแปลง และไม่พบอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับน้ำมันเทียนดำ 


จึงสรุปได้ว่า การรับประทานน้ำมันเทียนดำ (น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์) ขนาด 5 มล. (เท่ากับ 1 ช้อนชา) ต่อวัน นาน 8 สัปดาห์ จะทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ โดยปราศจากอาการไม่พึงประสงค์

Phytother Res 2013;27:1849–53.

ขอบคุณข้อมูล :

1. เรื่องความดันโลหิตสูง : ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ haamor.com
2. รายงานผลการวิจัยทางคลินิก จากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

อย. ของ KAMIL HABBATUSSAUDA

วันนี้ขอกลับมาทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับ เรื่อง อย. ของ KAMIL อีกสักครั้งหนึ่งนะคะ.. เนื่องจากมีลูกค้ารายหนึ่ง..คุณพ่อของเธอ อายุ 80 กว่าปี รับประทาน KAMIL วันละ 4 แคปซูล (2x2) แล้วรู้สึกว่า..สุขภาพของท่านดีขึ้น ร่างกายสดชื่น ท่านจึงได้แนะนำบรรดาญาติพี่น้องให้รับประทาน. แต่ก็ได้รับการท้วงติงเรื่อง อย. จากพี่น้อง.. ซึ่งตัวท่านเองก็เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ จากผลตอบรับที่ได้กับตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะชี้แจงญาติพี่น้องได้ว่า เพราะเหตุใดจึงไม่มี อย.ของไทย ดิฉันจึงได้รับคำถามนี้มากจากลูกสาวของท่าน
ที่เป็นผู้ซื้อ..

วันนี้ก็เลยย้อนกลับไปดูข้อมูลเก่าในเรื่องนี้ ที่เคยชี้แจงไว้แล้วเมื่อปี 2556 เกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภค KAMIL HABBATUSSAUDA ว่า มีปลอดภัยหรือไม่..เพียงใด??  ถึงแม้ว่า KAMIL จะไม่ได้ผ่านการรรับรองจาก อย.ของไทยก็ตาม  แต่ทว่า..ได้ผ่านขั้นการรับรองจากทางกรมอนามัย ของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิต และการรับจากกรมอนามัยของอินโดฯ ก็มีขั้นตอนที่เข้มงวด..ไม่แพ้ อย.ไทย (เราจะไม่ขอกล่าวถึงขั้นตอนการขอ อย. ไทย ที่เข้มงวด และมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีความสามารถ ที่จะขอ อย. ให้แก่ผลิตภัณฑ์ของตนเอง) ต่อไปนี้จึงขอทบทวนโดยสรุปให้รับทราบกันอีกครั้ง ดังนี้

 

KAMIL HABBATUSSAUDA
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ / น้ำมันเทียนดำ / Black Seed Oil 100%

1. เป็นสินค้านำเข้าจากอินโดเนียเซีย โดยนำเข้ามาทั้ง packaging  มิได้นำมาแบ่งบรรจุในประเทศไทย สินค้าทุกชิ้นจึงผ่านการผลิตและการตรวจสอบ มาจากทางโรงงานที่ผ่านการรับรอง จากประเทศอินโดนีเซีย

2. จัดอยู่ในประเภทของ "ยาแผนโบราณ”

3. มีตรารับรอง JAMU จากอินโดฯ ซึ่งเป็นตรารับรอง "ยาสมุนไพรแผนโบราณ" และมีเพียงประเทศอินโดฯ ประเทศเดียวเท่านั้น ที่สามารถออกตรารับรองนี้ได้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้ JAMU จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สะอาด บริสุทธิ์ ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติล้วน ๆ ปลอดสารเคมีหรือสิ่งเจือปนใด ๆ ที่มิได้มาจากธรรมชาติ.. จึงเปรียบเสมือนสินค้าประเภท ORGANIC FOOD ในตลาดสีเขียวที่เรารู้จักกันดี

4. ผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิต จะต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการอุตสาหกรรม ผลิตยาแผโบราณ (หรือ IZIN IKOT) โดยผู้ผลิต ADAS INDONUSIA ได้รับใบอนุญาตเลขที่ P2T/13/03.10/VII/2011 (เข้าใจว่า..น่าจะออกในปี 2011) 

5. หลักฐานสำคัญ ที่ใช้ในการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานผลิตยา
  • ที่ตั้งตัวอาคาร คลังเก็บวัตถุดิบ คลังเก็บสินค้าสำเร็จรูป (ผลิตแล้ว) และขนาดของอาคารที่เหมาะสม
  • สำเนาใบอนุญาต ของเภสัชกรประจำโรงงาน
  • บันทึกข้อตกลง หรือสัญญาระหว่าง ผู้ผลิตกับเภสัชกรประจำโรงงาน
  • ตัวยาที่เป็นของเหลว จะต้องมีผลการทดสอบทางจุลชีววิทยา จากห้อง lab
  • จะต้องมีคำชี้แจงทางการแพทย์ในการผลิต
  • จะต้องแสดงรูปแบบของวัตถุดิบที่นำมาใช้ อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ในการประมวลผล บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ และกรรมวิธีในการบรรจุ
  • มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
  • มีอุปกรณ์ควบคุมมลพิษ

6. ได้รับใบอนุญาตจดแจ้งขึ้นทะเบียนยา หรือหนังสือรับรองจากกรมอนามัย ประเทศอินโดนีเซีย (Depkes. RI. SP. NO. 1873/13.01/02) โดย lot ปัจจุบัน คือ Best Before : Dec. 2017 (เลขที่ใบอนุญาต : POM TR. 133.370.581)

7. ได้รับตรารับรองฮาลาล (HALAL) จากสาภอุละมาอ์ ประจำกรมอนามัย อินโดฯ (HALAL LP POM MUI) สำหรับแคปซูลที่นำมาบรรจุน้ำมัน โดยได้รับใบรับรองเลขที่
(No. Sert. 00170012700600)

8. สินค้าแต่ละ LOT. การผลิตได้รับการตรวจสอบจากกรมอนามัย ตามกำหนดเวลา โดยสังเกตจากเลขที่ใบอนุญาตจะมีการเปลียนแปลงใหม่.

ทั้งนี้ ผู้บริโภคทุกท่านจึงมั่นใจได้ว่า KAMIL HABBATUSSAUDA
“ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย”

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทียนดำมีฤทธิ์ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด


คอเลสเตอรอล Cholesterol คือ สารไขมันประเภทหนึ่งที่ไม่ละลายในเลือด มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ทำหน้าที่สำคัญในการเคลือบเซลล์ในร่างกาย คอเลสเตอรอลส่วนใหญ่จะผลิตขึ้นที่ตับ และจะถูกนำส่งไปที่เซลล์โดยโปรตีนชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า Lipoprotein ผ่านทางกระแสเลือด

คราบไขมันที่เกาะตัวในผนังเส้นเลือด เรียกว่า Plaque มีสาเหตุมาจากการมีคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง ถ้าหากมี Plaque เกาะตัวสะสมอยู่ผนังเส้นเลือดอย่างต่อเนื่อง จะทำให้หลอดเลือดตีบและทำให้เลือดไหลผ่านได้ยากขึ้น ในกรณีที่หลอดเลือดนั้น เป็นหลอดเลือดที่ส่งมาเลี้ยงที่กล้ามเนื้อหัวใจ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และอาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ถ้าเป็นที่หลอดเลือดสมอง ก็อาจจะเกิดภาวะเส้นเลือดสมองอุดตัน หรือเส้นโลหิตในสมองแตก (stroke) และหากเกิดที่ตับและไต จะทำให้เส้นเลือดที่ตับหรือไตตีบ/แตกหรือตัน ทำให้ตับหรือไต
สูญเสียการทำงาน จนอาจถึงขึ้นตับวายหรือไตวายก็เป็นได้

อาหารที่พบว่ามีคอเลสเตอรอลได้แก่ อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ (เนื้อ ไก่ ปลา และผลิตภัณฑ์จำพวกนม) แต่ในทางกลับกัน อาหารจำพวกผักและผลไม้กลับไม่มีคอเลสเตอรอลเลย  

ฤทธิ์ลดไขมันของเมล็ดเทียนดำในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

จากรายงานข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร ของสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า มีการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับการใช้เมล็ดเทียนดำ (ฮับบา
ตุซเซาดะฮ์) รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง


การศึกษาในครั้งนี้ เป็นการศึกษาทางคลินิกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อายุ 45-60 ปี ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น กลุ่มแรก จำนวน 19 คน ให้รับประทานแคปซูลบรรจุผงเมล็ดเทียนดำ (Nigella sativa) ขนาด 1 กรัม หลังอาหารเช้าทุกวัน และกลุ่มที่สอง จำนวน 18 คน ให้รับประทานยาหลอก โดยใช้ระยะเวลาในการทดสอบ
ทั้งสิ้น 2 เดือน
การทดสอบจะทำการวัดระดับไขมันในเลือด 3 ช่วง คือ ก่อนเริ่มทำการทดสอบ (ก่อนให้ยา), ช่วงเวลาหลังทำการทดสอบ 1 เดือน (คือ เมื่อสิ้นสุดการให้ยา) และหลังจากสิ้นสุดการให้ยาอีก 1 เดือน

การประเมินผลทดสอบ :

1. ช่วงเวลาหลังทำการทดสอบได้ 1 เดือน (สิ้นสุดการให้ยา) ได้ทำการประเมินผลกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับยาทั้ง 2 กลุ่มแล้ว พบว่า เทียนดำช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวม,
ไตรกลีเซอไรด์ และ LDL (low density lipoprotein cholesterol) และมีผลให้
เพิ่มระดับ HDL (high density lipoprotein cholesterol) ได้ดีกว่ากลุ่มผู้ป่วย
ที่ให้ยาหลอก


2. เมื่อทำการทดสอบเป็นเวลาครบ 2 เดือน กล่าวคือ หลังจากได้หยุดให้ยา เป็นเวลา 1 เดือน หรือมากกว่า พบว่า ระดับไขมันมีแนวโน้มกลับไปใกล้เคียงกับช่วงเริ่มการทดสอบ (ก่อนให้ยา)

สรุปผลจากการทดสอบ พบว่า เทียนดำอาจนำมาใช้ในการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาแผนปัจจุบันได้

ที่มา : สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 
(J Transl Med 2014;12:82)

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทียนดำกับประสิทธิภาพในการรักษาโรคเอดส์

เทียนดำ (Nigella sativa) หรือ "ฮับบาตุซเซาดะฮ์" ชื่อเรียกในภาษาอาหรับที่ชาวมุสลิกเรียกขาน
ในภาษาอังกฤษ ที่ใช้เรียกกันทั่วไป คือ Black Seed, Black Cumin นั้น สามารถรักษาโรคเอดส์ หรือผู้ที่ติดเชื้อ HIV ได้หรือไม่??

?? คำถามนี้ มีหลายคนคลางแคลงสงสัยกัน ??
ผศ.ดร.สุดารัตน์ หอมนวล จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้ให้คำตอบไว้ในเอกสาร PDF ว่า (จากเว็บไซด์ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี)

จากรายงานการวิจัย พบว่า เทียนดำมีสรรพคุณมากมาย เช่น ลดอัตราการเต้นของหัวใจ
ลดความดันโลหิต ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดจำนวนไข่พยาธิในอุจจาระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด ยับยั้งเชื้อเฮอร์ปีส์ ที่ตับและม้าม ยับยั้งการหลั่งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ ต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว ฯลฯ เป็นต้น

เทียนดำ เป็นสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ในตำรับยาแผนโบราณของไทยหลายตำรับ ถึงว่าจะเป็นสมุนไพรที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดอยู่ในแถบตะวันออกลาง แต่ก็ได้
มีการนำมาใช้ในเครื่องยาไทย ที่เรียกว่า "พิกัดเทียน"

‪#‎งานวิจัยเทียนดำรักษาโรคเอดส์‬ (HIV)
มีการศึกษาหนึ่งที่ประเทศไนจีเรีย ศึกษาในผู้ป่วยโรคเอดส์ ระยะ 3-4 จำนวน 6 ราย (ชาย 3 คน และหญิง 3 คน) โดยให้รับประทาน..เทียนดำกับน้ำผึ้ง (เพียงอย่างเดียว) ซึ่งเป็นตำรับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อ HIV ของประเทศไนจีเรีย เป็นเวลา 4 เดือน

ตำรับยาที่ใช้ คือ เมล็ดเทียนดำ : น้ำผึ้งที่เก็บใหม่ (60:40)
ขนาดรับประทานในผู้ใหญ่ ใช้ส่วนผสมตามตำรับ จำนวน 10 มล. นำมาเจือจางด้วยน้ำอุ่น
50 ml. ให้รับประทานวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร เป็นเวลา 4 เดือน...

ผลการทดลองทางคลินิก พบว่าได้ผลดังนี้ คือ
- CD4 เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยเดิม(CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่ทำหน้าในการต่อสู้และทำลายเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย)
- ค่าปริมาณเชื้อ หรือ viral load (HIV-RNA) ลดลงจากค่าเฉลี่ยเดิม
- น้ำหนักผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จากค่าเฉลี่ยเดิม 53 กก. เป็น 63 กก.
- อาการอื่นที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ HIV ได้แก่ ท้องเสีย มีไข้ ไอ แผลในปากจากเชื้อรา ผื่นที่ผิวหนัง หายไปภายใน 20 วัน หลังจากได้รับยา

*ด้วยการขอบคุณอย่างสูง แด่ท่าน 
ผศ.ดร.สุดารัตน์ หอมนวล จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ไขข้อข้องใจที่เป็นประโยชน์แก่ทุกท่าน และผู้ป่วยโรคเอดส์

น้ำมันเทียนดำช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำอสุจิในชายที่มีบุตรยาก


ภาวการณ์มีบุตรยาก (Infertility) หมายถึง
คู่สามีภรรยาอยู่ด้วยกันและพยายามมีบุตร แต่ไม่สำเร็จ หลังจากระยะเวลา 1 ปี (ในฝ่ายหญิงอายุน้อยกว่า 30 ปี) หรือ 6 เดือนไปแล้ว (ในฝ่ายหญิงที่อายุเกิน 30 ปี) โดยพบว่า มีสาเหตุมาจากฝ่ายชายได้ถึง 30-40% และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดภาวการณ์มีบุตรยากในฝ่ายชาย ก็คือ ความสมบูรณ์ของเชื้ออสุจิ นั่นเอง

จากการตรวจสอบข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร ของสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พบรายงานผลการศึกษาทางคลินิก เกี่ยวกับการใช้น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำ (Nigella sativa L.) หรือน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ปรับปรุงคุณภาพน้ำอสุจิในชายที่มีบุตรยาก

การศึกษาในครั้งนี้ ใช้วิธีแบบ randomized, double-blind, placebo-controlled trial ในอาสาสมัครเพศชายที่มีบุตรยาก เนื่องจากคุณภาพของน้ำอสุจิผิดปกติ จำนวน 68 คน โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งให้รับประทานน้ำมันจากเมล็ดเทียนดำ (Nigella sativa L.) ขนาด 2.5 มล. และอีกกลุ่มหนึ่ง ให้รับประทานยาหลอก วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 2 เดือน พบว่า น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำช่วยปรับปรุงคุณภาพของน้ำอสุจิ (เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก) ดังนี้
  1. เพิ่มจำนวนอสุจิ การเคลื่อนที่ของอสุจิ และปริมาตรน้ำอสุจิ ให้สูงขึ้น
  2. ปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของอสุจิ โดยลดจำนวนอสุจิที่มีลักษณะหัวกลม (round cell) ซึ่งเป็นลักษณะเซลล์ที่ผิดปกติลง อีกทั้งยังลดค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำอสุจิลง ให้ใกล้เคียงกับค่าปกติ
ผลจากการทดลองแสดงให้เห็นว่า การรับประทานน้ำมันจากเมล็ดเทียนดำ วันละ 5 มล. เป็นเวลา 2 เดือน ช่วยปรับปรุงคุณภาพของน้ำอสุจิในชายที่มีบุตรยาก เนื่องจากอสุจิไม่สมบูรณ์ได้ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียงใด ๆ

ที่มา : สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
(Phytomedicine 2014;21:901-5)