วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2559

โรคทูเร็ตต์ โรคติกส์ กับสารโดปามีน

โรคทูเร็ตต์ (Toutrette’s disorder) อยู่ในกลุ่มโรคเดียวกับโรคติกส์ (Tic disorder) อาการ tics เกิดจากการที่สมองสั่งการให้เกิดการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ (Motor tics) โดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น กระพริบตา อ้าปาก ยักไหล่หรือแขนขากระตก เป็นต้น หรืออาจมีการเปล่งเสียงขึ้น (Vocal Tics) จากลำคอหรือจมูก โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ เช่น ไอ กระเอม สูดจมูก ส่งเสียงในลำคอ และบางครั้งอาจมีพูดซ้ำ หรือสบถเป็นคำหยาบได้ ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการทั้งสองอย่างเลย คือ Motor และ Vocal tics เรียกว่า โรคทูเร็ตต์ อาการเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก (ไม่เกิน 18 ปี) พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง


สาเหตุ : ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง พบว่า
  • เกี่ยวข้องทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม อีกส่วนหนึ่งมาจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ที่ชื่อว่า "โดปามีน" Dopamine ซึ่งถูกสร้างมาจากกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ชื่อว่า ไทโรซิน (Tyrosine)
  • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม หรือปัจจัยทางจิตสังคม ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่มีผลต่อความรุนแรงของอาการ เช่น ความเครียด ความอ่อนล้า และการอดนอน จะเป็นตัวกระตุ้นให้มีอาการรุนแรงขึ้น
ไทโรซิน (Tyrosine) เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง จึงจัดเป็นกลุ่มกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น (non essential amino acid) มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ได้มาจากกระบวนการแยกสลายของน้ำ (ไฮโดรไลซีส) ของโปรตีน เช่น เครซิน และตัวตั้งต้นของอะดรีนาลิน, ฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมไทรอยด์ (ไทรอกซิน) และเม็ดสี (Melanin)

ไทโรซิน เป็นสารสื่อประสาทที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้น เนื่องจากมีบทบาทในการกระตุ้นและปรับเปลี่ยนการทำงานของสมอง เพื่อให้ฟีนิลอะลานีน ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น ยับยั้งความอยากอาหาร และอื่นๆ

ไทโรซิน ช่วยส่งเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง และต่อมไทรอยด์ อีกทั้งช่วยกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน (growth hormone) ช่วยแก้ไขอารมณ์ซึมเศร้า คลายเครียด ฟื้นฟูความจำ ช่วยกระตุ้นความรู้สึก เพิ่มแรงขับเคลื่อนทางเพศ

ร่างกายสามารถสร้างสาร "โดปามีน" ขึ้นโดยธรรมชาติจากกรดอะมิโน "ไทโรซิน" ซึ่งร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนสูง (คาร์โบไฮเดรตต่ำ) ได้แก่ เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง อาหารทะเล ไข่ และนม

เมื่อร่างกายหลั่งสารโดปามีน จะช่วยให้สมองมีพลัง กระฉับกระเฉง และตื่นตัว มีสมาธิมากขึ้น

แหล่งอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยให้ร่างกายสร้างสารโดปามี เป็นอาหารที่มีกรดอะมิโนไทโรซีนสูง ซึ่งพบมากในอาหาร ดังต่อไปนี้
  • เนื้อสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอกไก่ และปลาประเภทที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลากะพง ปลาทู ปลาซาร์ดีน
  • ผักต่าง ๆ ที่ให้สารโฟเลทและแอนตี้ออกซิแดนท์สูง ได้แก่ เช่น บร็อกโคลี ผักโขม หัวผักกาด ผักคะน้า กระหล่ำ อะโวคาโด ถั่วดำ และถั่วต่าง ๆ 
  • ผลไม้ ได้แก่ แอปเปิ้ล กล้วย บลูเบอรี่ มะละกอ ลูกพรุน สตอเบอรี่ แตงโม 
  • ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องดื่ม และอื่น ๆ ได้แก่ ช็อคโกแลต กาแฟ แปะก๊วย โสม ชาเขียว เมล็ดถั่วต่าง เมล็ดงา เมล็ดฟักทอง น้ำมันออริกาโน สาหร่ายเกลียวทอง ข้าวสาลี

อย่างไรก็ดี ในน้ำมันฮับบาตุซดซาดะฮ์ ประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็นแก่ร่างกาย มากกว่า 100 ชนิด ซึ่งรวมทั้งกรดอะมิโนที่จำเป็น และกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นแก่ร่างกาย เช่น ไทโรซิน (Tyrosine)

ดังนั้น น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) จึงสมุนไพรจากธรรมชาติ ที่เป็นตัวช่วยเสริมสร้างไทโรซินได้อีกส่วนหนึ่ง ดังเช่นอาหารที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งดีกว่าไปเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่เป็นสารไทโรซีนสังเคราะห์

ขอบคุณข้อมูลจาก : -

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

การใช้น้ำมันเทียนดำรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คืออะไร??
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) เป็นโรคเรื้อรัง ที่มีสาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายอวัยวะของตัวเอง (autoimmune) โดยส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยในหลายอวัยวะ แต่อาการที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคและเป็นปัญหาทำให้ผู้ป่วยเกิดความพิการตามมา ก็คือ การที่ข้อต่าง ๆ เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะข้อมือและข้อนิ้วมือ


สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค : ยังไม่ทราบแน่ชัด  แต่พบว่าพันธุกรรมก็เป็นสาเหตุหนึ่ง โดยพบว่า 10% ของผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์มีญาติสายตรงที่เป็นโรคนี้เช่นกัน  และยังมีสาเหตุอื่น เช่น การติดเชื้อบางชนิดที่มีอยู่ทั่วไป ทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส  หรือสาเหตุจากฮอร์โมนก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง  เนื่องจากโรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเมื่อตั้งครรภ์

ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ตาม อาการของโรคที่ปรากฏ คือ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินไป และผิดปกติ โดยเฉพาะที่ข้อต่าง ๆ เซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ถูกกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้น และหลั่งสารเคมีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ  ซึ่งเป็นการอักเสบแบบเรื้อรัง  จนกระทั่งส่งผลทำให้เนื้อเยื่อปกติถูกทำลายในที่สุด

อาการของโรค : พบว่า ผู้ป่วยในระยะเริ่มแรก 2 ใน 3 มักจะมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากมีอาการอ่อนเพลีย  เหนื่อยง่าย  เบื่ออาหาร  และตามมาด้วยอาการข้ออักเสบ ที่เป็นลักษณะของ “โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์”  มีผู้ป่วยส่วนน้อยที่จะเริ่มต้นด้วยอาการของข้ออักเสบเลย  นอกจากนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต และม้ามโตร่วมด้วย

อาการของข้ออักเสบรูมาตอยด์ คือ มีอาการปวดบวมตามข้อ โดยพบที่ข้อขนาดเล็ก ๆ เช่น ข้อนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อนิ้วเท้า และฝ่าเท้า มากที่สุด  ส่วนที่พบในข้ออื่นๆ ได้แก่ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อเท้า ข้อศอก ข้อสะโพก ข้อกระดูกสันหลังส่วนคอ  แต่จะไม่พบที่ข้อปลายนิ้วมือ และที่ข้อกระดูกสันหลังส่วนเอว  

ลักษณะอาการเฉพาะของโรค คือ จะมีอาการที่ตำแหน่งข้อเหมือนกัน ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา  อาการปวดจะมากขึ้นเมื่อใช้งานข้อนั้น ๆ  และเมื่อพักการใช้ข้อนาน ๆ  เช่น หลังตื่นนอนก็จะมีอาการข้อยึดแข็ง ขยับไม่ได้เป็นเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง

สาเหตุที่ข้อบวมและปวด เกิดจากมีน้ำสะสมอยู่ในข้อ  เยื่อบุข้อมีการหนาตัว มีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เข้ามาอยู่มากมาย  ทำให้มีการหลั่งสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบจากเซลล์  และสารเคมีบางตัวก็ทำให้เกิดความเจ็บปวด  นอกจากนี้ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อยู่รอบข้อก็มีการอักเสบร่วมด้วย  จนกระทั่งเมื่อการอักเสบดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี ส่งผลให้กระดูกอ่อนที่เป็นส่วนประกอบของข้อถูกทำลาย  กระดูกที่อยู่รอบข้อบางลง  และในที่สุดจะเกิดพังผืดขึ้นมาแทนที่ ดึงรั้งทำให้ข้อเสียรูปร่าง ใช้งานไม่ได้  เนื้อเยื่อรอบ ๆ ข้อที่ทำหน้าที่พยุงข้อไว้ก็จะเสียไป  เส้นเอ็นที่เกาะอยู่ที่ข้อจะถูกทำลาย  และส่งผลทำให้กล้ามเนื้อทำงานไม่ได้ตามปกติ  และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยจะไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เหมือนเดิม เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ทำอาหาร งานบ้านต่าง ๆ  ซึ่งเป็นผลกระทบที่ร้ายแรงสำหรับโรคนี้

ยาที่ใช้รักษาโรคข้อรูมาตอยด์ : จะต้องใช้ยาหลายตัวร่วมกัน ไม่มียาตัวไหนที่จะหยุดยั้งการดำเนินของโรค และทำให้หายได้ ยาที่ใช้รักษาจะเป็นได้เพียง เพื่อลดและป้องกันการปวดบวมของข้อ ลดการดำเนินของโรคให้ช้าลง และไม่ให้รุนแรงจนข้อเสียหายพิการ

งานวิจัยทางคลินิก ประสิทธิผลของน้ำมันเทียนดำ
ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
งานวิจัยชิ้นนี้ได้ทำการศึกษาในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เพศหญิง จำนวน 40 คน โดยช่วงแรกให้ผู้ป่วยได้รับแคปซูลยาหลอก 2 แคปซูลต่อวัน นาน 1 เดือน  ต่อจากนั้นในช่วงหลัง จึงให้รับประทานแคปซูลน้ำมันเทียนดำ (Black cumin Oil)  ขนาด 500 มก.  
วันละ
2 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน ควบคู่ไปกับการรักษาด้วยยา
methotrexate,  hydroxychloroquine,  folic acid และ diclophenac sodium

การประเมินผลการรักษา : ใช้การวัดคะแนนความรุนแรงของโรค (disease activity score, DAS-28) การตอบสนองต่อการรักษาร้อยละ 20 ตามเกณฑ์ของ American college of rheumatology (ACR20) และ European league against rheumatism (EULAR)

ผลการประเมิน : พบว่า ช่วงที่ผู้ป่วยได้รับน้ำมันเทียนดำจะมีความรุนแรงของโรค จํานวนข้อที่มีการอักเสบ  และระยะเวลาของข้อฝืดตึงในตอนเช้า (morning stiffness) ลดลง  โดยมี
ผู้ป่วย 17 ราย (42.5%) ตอบสนองต่อการรักษาตามเกณฑ์ ACR20  และผู้ป่วย 12 ราย (30%) ตอบสนองต่อการรักษาตามเกณฑ์ของ EULAR  

สรุปผลการประเมิน : แสดงให้เห็นว่า การให้น้ำมันเทียนดำ (หรือ
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ /Black Seed Oil) ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน จะช่วยเสริมประสิทธิผลในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในผู้ป่วยได้

Phytother Res 2012;26:1246-8.

ขอบคุณข้อมูล :

1. เรื่องโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ : แพทย์หญิง สลิล ศิริอุดมภาส haamor.com
2. รายงานผลการวิจัยทางคลินิก จากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำช่วยลดความดันโลหิต

มารู้จักโรคความดันโลหิตสูงกันก่อน

โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension หรือ High blood pressure) เป็นโรคพบได้บ่อยมากในผู้ใหญ่ โดยพบในผู้ชายบ่อยกว่าในผู้หญิง และผู้สูงอายุในบางประเทศ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป พบโรคนี้ได้สูงถึง 50% ผู้ที่อยู่ในภาวะความดันโลหิตสูง คือ วัดความดันได้สูงตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอท ขึ้นไป



แพทย์บางท่านเรียกโรคความดันโลหิตสูง ว่า “เพชฌฆาตเงียบ (Silent killer)” ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นโรคที่มักจะไม่มีอาการ และจัดเป็นโรคเรื้อรังที่รุนแรง หากไม่สามารถควบคุมโรคได้ ส่วนใหญ่ภาวะความดันโลหิตสูง มีสาเหตุมาจากผลข้างเคียงของผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง หรือมาจากผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค คือ เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือมาจากอาการของโรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง   อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการจากตัวโรคความดันโลหิตสูงเองก็ได้ โดยมีอาการที่อาจพบได้ เช่น ปวดศีรษะ มึนงง วิงเวียน สับสน และเมื่อมีอาการมากอาจโคมาและเสียชีวิตได้

 

น้ำมันจากเมล็ดเทียนดำช่วยลดความดันโลหิต

มีรายงานการวิจัยทางคลินิก : ศึกษาผลการใช้น้ำมันเทียนดำ (น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ Black See Oil) ในการลดความดันโลหิตของกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดี จำนวน 70 คน อายุระหว่าง 34-63 ปี ที่มีความดันช่วงบน 110-140 มม.ปรอท และความดันช่วงล่าง 60-90 มม.ปรอท โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับน้ำมันเทียนดำ ขนาด 2.5 มล. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก

ผลศึกษาพบว่า : ความดันโลหิตทั้งช่วงบนและช่วงล่างของกลุ่มที่ได้รับน้ำมันเทียนดำจะลดลง  เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ขณะที่ค่าอื่น ๆ เช่น ดัชนีมวลกาย (bodymass index) ระดับของเอนไซม์ aspartate transaminase, alanine transaminase, alkaline phosphatase ระดับของครีตินิน และยูเรียในเลือด ไม่เปลี่ยนแปลง และไม่พบอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับน้ำมันเทียนดำ 


จึงสรุปได้ว่า การรับประทานน้ำมันเทียนดำ (น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์) ขนาด 5 มล. (เท่ากับ 1 ช้อนชา) ต่อวัน นาน 8 สัปดาห์ จะทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ โดยปราศจากอาการไม่พึงประสงค์

Phytother Res 2013;27:1849–53.

ขอบคุณข้อมูล :

1. เรื่องความดันโลหิตสูง : ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์ haamor.com
2. รายงานผลการวิจัยทางคลินิก จากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

อย. ของ KAMIL HABBATUSSAUDA

วันนี้ขอกลับมาทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับ เรื่อง อย. ของ KAMIL อีกสักครั้งหนึ่งนะคะ.. เนื่องจากมีลูกค้ารายหนึ่ง..คุณพ่อของเธอ อายุ 80 กว่าปี รับประทาน KAMIL วันละ 4 แคปซูล (2x2) แล้วรู้สึกว่า..สุขภาพของท่านดีขึ้น ร่างกายสดชื่น ท่านจึงได้แนะนำบรรดาญาติพี่น้องให้รับประทาน. แต่ก็ได้รับการท้วงติงเรื่อง อย. จากพี่น้อง.. ซึ่งตัวท่านเองก็เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ จากผลตอบรับที่ได้กับตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะชี้แจงญาติพี่น้องได้ว่า เพราะเหตุใดจึงไม่มี อย.ของไทย ดิฉันจึงได้รับคำถามนี้มากจากลูกสาวของท่าน
ที่เป็นผู้ซื้อ..

วันนี้ก็เลยย้อนกลับไปดูข้อมูลเก่าในเรื่องนี้ ที่เคยชี้แจงไว้แล้วเมื่อปี 2556 เกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภค KAMIL HABBATUSSAUDA ว่า มีปลอดภัยหรือไม่..เพียงใด??  ถึงแม้ว่า KAMIL จะไม่ได้ผ่านการรรับรองจาก อย.ของไทยก็ตาม  แต่ทว่า..ได้ผ่านขั้นการรับรองจากทางกรมอนามัย ของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิต และการรับจากกรมอนามัยของอินโดฯ ก็มีขั้นตอนที่เข้มงวด..ไม่แพ้ อย.ไทย (เราจะไม่ขอกล่าวถึงขั้นตอนการขอ อย. ไทย ที่เข้มงวด และมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่มีความสามารถ ที่จะขอ อย. ให้แก่ผลิตภัณฑ์ของตนเอง) ต่อไปนี้จึงขอทบทวนโดยสรุปให้รับทราบกันอีกครั้ง ดังนี้

 

KAMIL HABBATUSSAUDA
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ / น้ำมันเทียนดำ / Black Seed Oil 100%

1. เป็นสินค้านำเข้าจากอินโดเนียเซีย โดยนำเข้ามาทั้ง packaging  มิได้นำมาแบ่งบรรจุในประเทศไทย สินค้าทุกชิ้นจึงผ่านการผลิตและการตรวจสอบ มาจากทางโรงงานที่ผ่านการรับรอง จากประเทศอินโดนีเซีย

2. จัดอยู่ในประเภทของ "ยาแผนโบราณ”

3. มีตรารับรอง JAMU จากอินโดฯ ซึ่งเป็นตรารับรอง "ยาสมุนไพรแผนโบราณ" และมีเพียงประเทศอินโดฯ ประเทศเดียวเท่านั้น ที่สามารถออกตรารับรองนี้ได้ ผลิตภัณฑ์ที่ได้ JAMU จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สะอาด บริสุทธิ์ ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติล้วน ๆ ปลอดสารเคมีหรือสิ่งเจือปนใด ๆ ที่มิได้มาจากธรรมชาติ.. จึงเปรียบเสมือนสินค้าประเภท ORGANIC FOOD ในตลาดสีเขียวที่เรารู้จักกันดี

4. ผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิต จะต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการอุตสาหกรรม ผลิตยาแผโบราณ (หรือ IZIN IKOT) โดยผู้ผลิต ADAS INDONUSIA ได้รับใบอนุญาตเลขที่ P2T/13/03.10/VII/2011 (เข้าใจว่า..น่าจะออกในปี 2011) 

5. หลักฐานสำคัญ ที่ใช้ในการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานผลิตยา
  • ที่ตั้งตัวอาคาร คลังเก็บวัตถุดิบ คลังเก็บสินค้าสำเร็จรูป (ผลิตแล้ว) และขนาดของอาคารที่เหมาะสม
  • สำเนาใบอนุญาต ของเภสัชกรประจำโรงงาน
  • บันทึกข้อตกลง หรือสัญญาระหว่าง ผู้ผลิตกับเภสัชกรประจำโรงงาน
  • ตัวยาที่เป็นของเหลว จะต้องมีผลการทดสอบทางจุลชีววิทยา จากห้อง lab
  • จะต้องมีคำชี้แจงทางการแพทย์ในการผลิต
  • จะต้องแสดงรูปแบบของวัตถุดิบที่นำมาใช้ อุปกรณ์ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ในการประมวลผล บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ และกรรมวิธีในการบรรจุ
  • มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
  • มีอุปกรณ์ควบคุมมลพิษ

6. ได้รับใบอนุญาตจดแจ้งขึ้นทะเบียนยา หรือหนังสือรับรองจากกรมอนามัย ประเทศอินโดนีเซีย (Depkes. RI. SP. NO. 1873/13.01/02) โดย lot ปัจจุบัน คือ Best Before : Dec. 2017 (เลขที่ใบอนุญาต : POM TR. 133.370.581)

7. ได้รับตรารับรองฮาลาล (HALAL) จากสาภอุละมาอ์ ประจำกรมอนามัย อินโดฯ (HALAL LP POM MUI) สำหรับแคปซูลที่นำมาบรรจุน้ำมัน โดยได้รับใบรับรองเลขที่
(No. Sert. 00170012700600)

8. สินค้าแต่ละ LOT. การผลิตได้รับการตรวจสอบจากกรมอนามัย ตามกำหนดเวลา โดยสังเกตจากเลขที่ใบอนุญาตจะมีการเปลียนแปลงใหม่.

ทั้งนี้ ผู้บริโภคทุกท่านจึงมั่นใจได้ว่า KAMIL HABBATUSSAUDA
“ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย”

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทียนดำมีฤทธิ์ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด


คอเลสเตอรอล Cholesterol คือ สารไขมันประเภทหนึ่งที่ไม่ละลายในเลือด มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ทำหน้าที่สำคัญในการเคลือบเซลล์ในร่างกาย คอเลสเตอรอลส่วนใหญ่จะผลิตขึ้นที่ตับ และจะถูกนำส่งไปที่เซลล์โดยโปรตีนชนิดพิเศษ ที่เรียกว่า Lipoprotein ผ่านทางกระแสเลือด

คราบไขมันที่เกาะตัวในผนังเส้นเลือด เรียกว่า Plaque มีสาเหตุมาจากการมีคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง ถ้าหากมี Plaque เกาะตัวสะสมอยู่ผนังเส้นเลือดอย่างต่อเนื่อง จะทำให้หลอดเลือดตีบและทำให้เลือดไหลผ่านได้ยากขึ้น ในกรณีที่หลอดเลือดนั้น เป็นหลอดเลือดที่ส่งมาเลี้ยงที่กล้ามเนื้อหัวใจ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และอาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ถ้าเป็นที่หลอดเลือดสมอง ก็อาจจะเกิดภาวะเส้นเลือดสมองอุดตัน หรือเส้นโลหิตในสมองแตก (stroke) และหากเกิดที่ตับและไต จะทำให้เส้นเลือดที่ตับหรือไตตีบ/แตกหรือตัน ทำให้ตับหรือไต
สูญเสียการทำงาน จนอาจถึงขึ้นตับวายหรือไตวายก็เป็นได้

อาหารที่พบว่ามีคอเลสเตอรอลได้แก่ อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ (เนื้อ ไก่ ปลา และผลิตภัณฑ์จำพวกนม) แต่ในทางกลับกัน อาหารจำพวกผักและผลไม้กลับไม่มีคอเลสเตอรอลเลย  

ฤทธิ์ลดไขมันของเมล็ดเทียนดำในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

จากรายงานข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร ของสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า มีการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับการใช้เมล็ดเทียนดำ (ฮับบา
ตุซเซาดะฮ์) รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง


การศึกษาในครั้งนี้ เป็นการศึกษาทางคลินิกในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อายุ 45-60 ปี ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น กลุ่มแรก จำนวน 19 คน ให้รับประทานแคปซูลบรรจุผงเมล็ดเทียนดำ (Nigella sativa) ขนาด 1 กรัม หลังอาหารเช้าทุกวัน และกลุ่มที่สอง จำนวน 18 คน ให้รับประทานยาหลอก โดยใช้ระยะเวลาในการทดสอบ
ทั้งสิ้น 2 เดือน
การทดสอบจะทำการวัดระดับไขมันในเลือด 3 ช่วง คือ ก่อนเริ่มทำการทดสอบ (ก่อนให้ยา), ช่วงเวลาหลังทำการทดสอบ 1 เดือน (คือ เมื่อสิ้นสุดการให้ยา) และหลังจากสิ้นสุดการให้ยาอีก 1 เดือน

การประเมินผลทดสอบ :

1. ช่วงเวลาหลังทำการทดสอบได้ 1 เดือน (สิ้นสุดการให้ยา) ได้ทำการประเมินผลกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับยาทั้ง 2 กลุ่มแล้ว พบว่า เทียนดำช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวม,
ไตรกลีเซอไรด์ และ LDL (low density lipoprotein cholesterol) และมีผลให้
เพิ่มระดับ HDL (high density lipoprotein cholesterol) ได้ดีกว่ากลุ่มผู้ป่วย
ที่ให้ยาหลอก


2. เมื่อทำการทดสอบเป็นเวลาครบ 2 เดือน กล่าวคือ หลังจากได้หยุดให้ยา เป็นเวลา 1 เดือน หรือมากกว่า พบว่า ระดับไขมันมีแนวโน้มกลับไปใกล้เคียงกับช่วงเริ่มการทดสอบ (ก่อนให้ยา)

สรุปผลจากการทดสอบ พบว่า เทียนดำอาจนำมาใช้ในการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยลดอาการข้างเคียงจากการใช้ยาแผนปัจจุบันได้

ที่มา : สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 
(J Transl Med 2014;12:82)