วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์รักษาโรคมะเร็ง


น้ำมันเมล็ดยี่หร่าดำ (Black cumin oil) หรือน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ สามารถยับยั้งการทำงานของเซลล์มะเร็ง และฆ่าเซลล์มะเร็งบางชนิด จากผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ได้แสดงให้เห็นว่า น้ำมันมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (เทียนดำ) มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งในสัตว์ทดลอง และมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับยาต้านมะเร็ง (anti-cancer drugs) ในโรคมะเร็งบางชนิด น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ และสารสกัดของมัน คือ thymoquinone มีประโยชน์มหาศาล มันมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการอักเสบ รวมทั้งโรคมะเร็งตับ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งกระดูก มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งสมอง [1]

ถึงแม้ว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา จะมีผลการวิจัยออกมาในเชิงบวกเป็นจำนวนมาก เกี่ยวกับการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ต่อต้านโรคมะเร็ง แต่นักวิจัยก็ไม่ค่อยมีการทดลองการใช้งานในทางคลินิกสำหรับมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่มันมีประโยชน์ในการใช้งานอย่างมากมาย และอัตราความเสี่ยงหรือผลกระทบในด้านลบก็น้อยมาก[2]

ในขณะที่คุณเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จากผลการวิจัย เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับการใช้งานของ

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ เพื่อป้องกันโรคมะเร็ง ซึ่งในทางการรักษาได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มันมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด อย่างไรก็ตาม น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ก็ยังคงไม่ได้รับการยอมรับว่า มีประโยชน์เช่นเดียวกับยาพื้นฐานในปัจจุบัน ทั้งนี้ อาจะเนื่องมาจากแรงกดดันทางการเมือง ที่ทำให้ต้องแขวนการวิจัยในทางคลินิกสำหรับมนุษย์ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเอาไว้!! และนี่คือถามน่าคิด..ทำไมบริษัท ยา ต้องการที่จะยับยั้งการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์??

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seeds) ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง

นับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้ว

ในช่วงระหว่างปี 2011 มีผลการศึกษาจากนักวิจัยจีน[3] และนักวิจัยที่ซาอุดิอาราเบีย[4] ได้ทบทวนวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (หรือที่เรียกกันว่า "เมล็ดยี่หร่าดำ" หรือ "เทียนดำ") กับโรคมะเร็ง พวกเขายืนยันว่า คุณสมบัติในการต้านมะเร็งของน้ำมันธรรมชาติจากฮับบาตุซเซาดะฮ์นี้ "ปลอดภัย" และให้ข้อสังเกตว่า "น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ได้ถูกนำมาใช้เป็นยาแผนโบราณ นับเป็นเวลานานหลายศตวรรษ" น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ และสารสกัดทางพฤกษเคมี ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญ เรียกว่า thymoquinone มีประสิทธิภาพในการต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง ภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคไต ฯลฯ มันมีความปลอดภัยและใช้เป็นตัวยาที่มีประสิทธิภาพ ในการต่อต้านมะเร็งในกระแสเลือด, ปอด, ไต, ตับ, ต่อมลูกหมาก, เต้านม, ปากมดลูก และผิวหนัง

นักวิจัยเหล่านี้ตั้งข้อสังเกตว่า กลไกระดับโมเลกุลที่อยู่เบื้องหลังบทบาทในการต้านมะเร็งนี้ ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การศึกษาในบางรายงาน แสดงให้เห็นว่า thymoquinone มีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเพิ่มระบบการป้องกันของร่างกาย น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ช่วยเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์ (apoptosis : การตายลงตามธรรมชาติของเซลล์) ซึ่งหมายความว่า มันจะช่วยให้ร่างกายมีระบบกำจัดเซลล์เก่า เซลล์ที่ไม่จำเป็น, และเซลล์ที่ไม่ดี (เช่น เซลล์มะเร็ง) โดยปราศจากการปล่อยสารพิษเข้าสู่ร่างกาย (without releasing toxins into the body) นอกจากนี้ ยังควบคุมเส้นทางการอยู่รอดของเซลล์ (Akt pathway) หมายความว่า มันจะควบคุมกระบวนการจัดการเพื่อความอยู่รอด ทั้งในเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็ง ถึงแม้ว่าคุณสมบัติในการ "ต้านมะเร็ง" ของฮับบา

ตุซเซาดะฮ์จะได้รับการยอมรับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้วก็ตาม จนกระทั่งมาถึงช่วงสองหรือสามทศวรรษที่ผ่านมา การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สมัย​​ใหม่ ได้ให้การยอมรับถึงความสำคัญของการศึกษาทางการแพทย์แผน​​โบราณ (traditional medicine)

การใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ร่วมกับน้ำผึ้งรักษาโรคมะเร็ง คือการแพทย์พื้นบ้าน


นักวิจัยชาวอียิปต์ได้ศึกษาถึง ประสิทธิผลของการใช้น้ำผึ้งและเมล็ดพันธุ์ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Nigella grains) ในกระบวนการป้องกัน oxidative stress (คือ ภาวะความไม่สมดุลของการเกิดอนุมูลอิสระ และกระบวนการป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของอนุมูลอิสระ อันมีความไวต่อชีวโมเลกุล ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเซลล์ ทำให้เซลล์ถูกทำลายและเกิดผลิตผลของอนุมูลอิสระ) และป้องกันมะเร็ง จากหนู (exposing rats) ที่ได้รับสารก่อมะเร็งอย่างหนัก การศึกษาวิจัยกระทำโดย หลังจากที่ให้หนูได้สัมผัสกับสารก่อมะเร็งแล้ว จะแบ่งหนูออกเป็น 4 กลุ่ม โดยให้บางกลุ่มได้รับการเลี้ยงดู (fed) ด้วยเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือน้ำผึ้ง และอีกกลุ่มหนึ่งให้ทั้งเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์และน้ำผึ้ง หลังจากนั้นเป็นเวลา 6 เดือน จึงทำการประเมินผล ปรากฏว่า หนูที่กินเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ได้รับการป้องกันจากกระบวนการ oxidative stress และการก่อมะเร็ง ถึง 80% ในขณะที่หนูที่กินทั้งน้ำผึ้งและเมล็ดฮับบาตุซ
เซาดะฮ์เป็นประจำทุกวัน ได้รับการปกป้อง 100%
จากสภาวะความเครียดอันเกิดจากกระบวนการออกซิเดชั่น (oxidative stress) การอักเสบ และการก่อมะเร็ง [5]

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) คือ ตัวช่วยที่สำคัญของการรักษาด้วยการฉายรังสี

ในปี 2014 นักวิจัยชาวตุรกีรายงานว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์อาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่ได้รับรังสีรักษาโรคมะเร็ง พวกเขาแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวนมากที่ได้รับการรักษาด้วยรังสีบำบัด ต้องประสบกับผลข้างเคียงอย่างรุนแรง ทั้งระหว่างและหลังการรักษาของพวกเขา การศึกษานี้เป็นการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบของการฉายรังสีและการใช้
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ที่มีผลต่อการเกิดอนุมูลอิสระ/สารต้านอนุมูลอิสระ ในเนื้อเยื่อตับของหนูที่ผ่านการฉายรังสี พวกเขาให้หนูทดลองได้สัมผัสกับรังสีแกมมาเพียงหนึ่งครั้ง หนูกลุ่มหนึ่งได้รับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 1 ชั่วโมงก่อนการฉายรังสี และได้รับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในปริมาณโดสข้างต้นทุกวันหลังจากนั้น เป็นเวลา 10 วัน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับรังสีรักษาและได้รับน้ำเกลือแทนน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ โดยที่หนูกลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับการฉายรังสี ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับแสดงให้เห็นว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์สามารถลดตัวการที่ก่อให้เกิดความเครียดของการออกซิเดชั่น (oxidative stress) และมีผลในการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งก็พิสูจน์ให้เห็นถึงขีดความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระในเนื้อเยื่อตับของหนู ดังนั้น จึงสรุปว่า การใช้น้ำมันฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ก่อนการรักษาด้วยรังสี และต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วันหลังจากนั้น สามารถป้องกันหนูจากบางส่วนของผลกระทบที่เป็นอันตรายจากรังสี
[6]

ในปี 2012 จากการศึกษาในอินเดีย นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาถึง ประสิทธิผลของการใช้สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ในหนูที่ได้สัมผัสกับรังสีแกมมา กลุ่มหนึ่งเป็นหนูปกติและอีกกลุ่มหนึ่งเป็นหนูที่มีเนื้องอก ได้ถูกนำมาทดสอบ การทดลองครั้งนี้ได้ทำให้มีผลเสมือนกับการรักษาทางคลินิกของมนุษย์ ในกรณีที่เนื้อเยื่อปกติของผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับอันตรายจากการรักษาด้วยรังสี โดยหนูที่ได้รับสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed extract) ก่อนที่จะถูกสัมผัสกับรังสีแกมมา จะได้รับสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในปริมาณ 100 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ผลการทดลองพบว่า สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ป้องกันตับ ม้าม สมอง และอวัยวะภายใน จากความเสียหายที่เกิดจากรังสีแกมมา ทั้งในหนูปกติและหนูที่มีเนื้องอก นักวิจัยสรุปว่า สารสกัดของเหลว (liquid extract) จากฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ มีผลช่วยป้องกันความเสียหายจากรังสี และการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่เกิดขึ้น สารสกัดที่ได้รับมีคุณสมบัติในการป้องกันผลกระทบและขับไล่อนุมูลอิสระ และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  ดังนั้น ของเหลวที่สกัดจากเมล็ดฺฮับบาตุซเซาดะฮ์ จึงสามารถนำมาใช้กับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการฉายรังสี เพื่อป้องกันภาวะความเครียดที่เกิดจากการออกซิเดชัน (oxidative stress) ในเนื้อเยื่อปกติ และบรรเทาผลกระทบในด้านอื่น ๆ ที่ไม่พึงประสงค์จากรังสี และนี่ก็คือสิ่งที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็ง[7]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ขัดขวางการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ และฆ่าเซลล์มะเร็งตับ

ในปี 2013 นักวิจัยในประเทศอินเดีย ได้ทำการตรวจสอบการใช้งานของ thymoquinone ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ โดยหนูสองกลุ่มที่เป็นมะเร็งตับได้ถูกนำมาทดลอง กลุ่มหนึ่งได้กินน้ำที่มีส่วนผสมของสารสกัด thymoquinone 0.01% และอีกกลุ่มได้รับน้ำธรรมดา หลังจากนั้นเป็นเวลา 16 สัปดาห์ ก้อนมะเร็งตับที่เป็นเครื่องหมายของการเจ็บป่วยที่ตับและเนื้องอก ได้ถูกนำมาวัดในหนูทั้งสองกลุ่ม หนูที่ไม่ได้รับ thymoquinone มีขนาดของเนื้องอกในตับเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่หนูที่ได้รับ thymoquinone ในปริมาณ 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม มีรอยแผลที่ได้รับการบาดเจ็บที่ตับ และเนื้องอกลดลงอย่างมาก กลุ่มที่รักษาด้วย thymoquinone จากน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ไม่มีพัฒนาการของก้อนมะเร็งที่ตับ และปริมาณการก่อตัวของเนื้องอกใหม่ก็มีน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาเป็นอย่างมาก นักวิจัยจึงสรุปว่า thymoquinone มีบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคมะเร็งตับ เนื่องจากศักยภาพของมันสามารถป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง[8]


การศึกษาจากอียิปต์ ในปี 2012 ได้ทำการประเมินผลในการป้องกันเนื้องอก (anti-tumor) ของน้ำผึ้งและน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในเซลล์มะเร็งตับของมนุษย์ด้วยวิธีการทดลองในห้องปฏิบัติการ พวกเขาตรวจสอบความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของน้ำผึ้งและสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ และความสามารถของสารเหล่านี้ในการกำจัดเซลล์ที่ไม่แข็งแรง เช่น เซลล์มะเร็ง พวกเขาพบว่า ทั้งน้ำผึ้งและสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์มีประสิทธิภาพในการลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับ น้ำผึ้งและสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยังมีส่วนในการปรับปรุงความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของเซลล์ และเหนี่ยวนำให้เกิดการตายลงของเซลล์มะเร็ง ที่เกิดจากขบวนการ apoptosis (การตายลงโดยธรรมชาติของเซลล์) [9]

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil) ฆ่าเซลล์มะเร็งปอด


นักวิจัยชาวซาอุดิอาราเบีย รายงานไว้ในปี 2014 ว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ได้ถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณ (​​traditional medicine) เพื่อรักษาโรคต่างๆ มากมาย ประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) และต้านเชื้อแบคทีเรีย (antibacterial) ของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นที่รู้จักกันดี การศึกษานี้ เป็นการวิจัยเกี่ยวกับความสามารถในการต้านมะเร็งของน้ำมันฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ และสารสกัดจากเมล็ดฮับบาตุซเซาดะฮ์ เมื่อนำมาใช้กับเซลล์มะเร็งปอดของมนุษย์ในห้องปฏิบัติการ นักวิทยาศาสตร์ได้ใส่เซลล์มะเร็งปอดไปในน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ภายในเวลา 24 ชั่วโมง พวกเขาใช้ 0.01 mg/ml ถึง 1 mg/ml ของน้ำมันหรือสารสกัดในการทดลองครั้งนี้ หลังจากนั้นก็ทำการประเมินการมีชีวิตเซลล์มะเร็ง

ผลการวิจัยพบว่า ทั้งน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์และสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ช่วยลดจำนวนการมีชีวิตอยู่ของเซลล์มะเร็ง และเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะรูปร่างของเซลล์ (cellular morphology) พวกเขาพบว่ายิ่งความเข้มข้นของน้ำมันหรือสารสกัดที่ใช้ในการรักษาเซลล์มะเร็งที่มากขึ้นเท่าใด ปริมาณการตายของเซลล์มะเร็งก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์และสารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์ ยังเป็นต้นเหตุให้เซลล์มะเร็งที่จะสูญเสียลักษณะทั่วไปของมัน จึงทำให้มันมีขนาดที่เล็กลง นักวิจัยสรุปว่า ข้อมูลที่ได้รับแสดงให้เห็นว่า สารสกัดจากฮับบาตุซเซาดะฮ์และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ทำให้การมีชีวิตอยู่ของเซลล์มะเร็งปอดของมนุษย์ลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ[10]


ส่วนประกอบของฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Components) ฆ่าเซลล์มะเร็งสมอง


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ ได้เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยในปี 2013 โดยชี้ให้เห็นว่า เนื้องอกกลัยโอบลาโตมา (glioblastoma) เป็นเนื้องอกในสมองของมนุษย์ ชนิดที่รุนแรงที่สุด ที่ทำให้เหลือเวลาการมีชีวิตอยู่ แค่เพียง 15 เดือน ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องค้นหาวิธีการบำบัดรักษาเพิ่มเติม ในขณะที่สารพฤกษเคมี (phytochemicals) ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เริ่มได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในทางวิทยาศาสตร์ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการฆ่าเนื้องอก และ thymoquinone ก็คือ หนึ่งในสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil)

ใน thymoquinone มีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) และป้องกันมะเร็ง (anti-cancer) มันจึงถูกเลือกใช้เป็นสารออกฤทธิ์ทำลายเซลล์ (cytotoxic) ของมนุษย์ ซึ่งก็หมายความว่า มันจะฆ่าเซลล์มะเร็งของมนุษย์ ในขณะที่ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ปกติเช่นเดียวกับยารักษาโรคมะเร็งทั่วไป

การศึกษานี้ เป็นการตรวจสอบการทำงานของ thymoquinone ในการยับยั้งความสามารถของเซลล์มะเร็ง (glioblastoma cancer) ในสมองและเส้นประสาทไขสันหลังจากการทำโคลนนิ่งตัวเอง ในขณะที่ thymoquinone จะไม่เข้าไปยับยั้งการทำงานของเซลล์ปกติ ในสมองและไขสันหลังของมนุษย์ อีกทั้งยังมีความสามารถที่สำคัญ คือการยับยั้ง autophagy genes (คือ Self eating เพื่อสร้างพลังงานและความอยู่รอด..ในที่นี้คนแปลเข้าใจว่า น่าจะเป็นการกินตัวเองของเซลล์ดี) ในเซลล์มะเร็ง กระบวนการ autophagy ในเซลล์มะเร็ง ทำให้เนื้องอกยังคงเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการผลิตพลังงานของเซลล์ ถ้าหาก autophagy ถูกยับยั้ง การผลิตพลังงานเพื่อเซลล์มะเร็งก็จะถูกยับยั้งไปด้วย ซึ่งก็จะส่งผลให้เกิดการทำงานของเนื้องอกลดลง และอวัยวะที่ได้รับผลกระทบจากเนื้องอกก็จะสามารถอยู่รอดมากขึ้น ดังนั้น ความสามารถ thymoquinone คือ การยับยั้งเซลล์มะเร็งจากการทำโคลนนิ่งตัวเอง และมีความสามารถในการยับยั้งเซลล์มะเร็งจากการนำเนื้อเยื่อของเซลล์อื่น ๆ ไปใช้ โดยวิธีการของ autophagy นั่นเอง มันคือวิธีการที่ให้ผลอย่างรวดเร็วและน่าตื่นเต้นในการพิชิตโรคมะเร็ง [11]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) ยับยั้งมะเร็งเต้านม



การศึกษาปี 2013 ในประเทศมาเลเซีย ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการต้านมะเร็งของ thymoquinone เมื่อมันถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาในระยะยาว สำหรับเซลล์มะเร็งเต้านมในห้องปฏิบัติการ thymoquinone แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเต้านมในระยะยาว ระยะเวลาการทำงานในระยะยาวของมันขึ้นอยู่ปริมาณโดสของ thymoquinone ที่ถูกนำมาใช้ การใช้ขนาดหรือปริมาณที่สูงขึ้นทำให้มีความสามารถในการยับยั้งได้มากขึ้น [12]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) ฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว



นักวิจัยชาวมาเลเซียได้บันทึกผลการศึกษาในปี 2013 ว่า มีความสนใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการใช้ยาแผนโบราณ ที่มาจากสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งมีศักยภาพในการป้องกันโรคมะเร็ง เทียนดำ (ฮับบาตุซเซาดะฮ์) เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง สมุนไพรสายพันธุ์นี้เติบโตในประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอินเดีย

Thymoquinone เป็นหนึ่งในส่วนผสมของสารสกัดที่ได้จากเทียนดำ ฤทธิ์ในการต้านมะเร็งของ thymoquinone เป็นสื่อชักนำไปสู่การตายของเซลล์ที่ทำหน้าที่ที่ผิดปกติ (mitochondrial dysfunction) ทั้งนี้ โดยการประเมินผลการรักษามาจากสายพันธุ์ของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน นักวิจัยพบว่า การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วย thymoquinone มีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดการตายของเซลล์ (apoptosis resulting in cell death) ผลลัพธ์เหล่านี้บ่งชี้ว่า thymoquinone จากฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ อาจจะเป็นตัวแทนที่มีแนวโน้มในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
[13]

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่

นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี รายงานผลการศึกษาในปี 2007 ว่า ยา 5-fluorouracil ที่เป็นยาเคมีบำบัด หรือยาคีโม ยังคงเป็นสารเคมีบำบัดมาตรฐานทองคำ ที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่า ผลข้างเคียงของยา 5-FU มีเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมันสามารถทำร้ายทั้งสุขภาพและเซลล์ที่เป็นมะเร็ง พวกเขายอมรับผลการค้นคว้าวิจัยก่อนหน้า ที่แสดงให้เห็นว่า สารต้านอนุมูลอิสระมีความสามารถในการยับยั้งกระบวนการเกิดโรคบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง พวกเขาศึกษา epigallocatechin-3-gallate หรือ EGCG ซึ่งเป็นคาเทชิน (catechin) ที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุดที่พบได้ในชาเขียว และ thymoquinone ในฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการต้านมะเร็ง ฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นที่รู้จักกันดีถึงความสามารถในการเก็บขยะ (มลภาวะ) ที่มีประสิทธิภาพ มันเป็นตัวยับยั้งความเครียดที่เกิดจากการออกซิเดชัน (oxidative stress) และเป็นพืชสมุนไพรที่ได้ถูกนำมาใช้ในประเทศแถบตะวันออกกลาง มาช้านานหลายศตวรรษ เพราะความสามารถของฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ในการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างมากมายนั่นเอง

วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ คือ เพื่อตรวจสอบบทบาทของ (1) thymoquinone จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ (2) catechin จากชาเขียว และ (3) ยาเคมีบำบัด (5-FU) ในกระบวนการเผาผลาญ (Metabolic activity หมายถึง ปฏิกิริยาเคมีที่รักษาชีวิตของสิ่งมีชีวิตใด ๆ หรือ การเปลี่ยนแปลงของพลังงานและสสารในร่างกาย) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ ด้วยวิธีการทดลองในห้องปฏิบัติการ ผลการการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า catechin จากชาเขียว และ thymoquinone ก่อให้เกิดการทำลายเซลล์มะเร็ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเข้าไปแทรกแซงกระบวนการการเผาผลาญของเซลล์ ซึ่งเทียบเท่ากับการที่เซลล์ได้รับยาเคมีบำบัด (5-FU) การเปลี่ยนแปลงสัณฐานหรือรูปร่าง (Morphologically) ของเซลล์ เกิดขึ้นหลังจากเซลล์ได้สัมผัสกับ catechin และ thymoquinone เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งเสมือนกับการที่เซลล์ได้สัมผัสกับยาเคมีบำบัด (5-FU) ในที่สุดนักวิจัยจึงสรุปว่า การใช้สารสกัดจากธรรมชาติ อาจจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยในการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่[14] 


ในการศึกษาก่อนหน้านี้เมื่อปี 2004 นักวิจัยชาวเลบานอนได้กล่าวถึง บทบาทที่มีประสิทธิภาพของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) ในการป้องกันมะเร็ง และการเป็นตัวแทนในการรักษาโรคมะเร็ง โดยตั้งข้อสังเกตว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ ถูกนำมาใช้ในแถบเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อส่งเสริมสุขภาพและต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ "Thymoquinone คือ องค์ประกอบของสารอาหารที่มีมากที่สุดในฮับบาตุซเซาดะฮ์ เป็นตัวแทนทางโภชนาการที่ได้รับการยอมรับว่า ป้องกันโรคมะเร็ง ซึ่งเราได้ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิผลของ thymoquinone ในการต่อต้านเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ โดยรายงานว่า thymoquinone มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ข้อมูลของเราสนับสนุนศักยภาพในการใช้ thymoquinone สำหรับการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่" [15]

ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed) ต่อต้านการติดเชื้อติดเชื้อเอชไพโลไร (H. pylori infection)



ในปี 2010 นักวิจัยขาวซาอุดิอาราเบียชี้ให้เห็นว่า โรคต่าง ๆ จำนวนมากมีสาเหตุมาจากเชื้อ Helicobacter pylori ( H. pylori : เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหาร) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง (chronic active gastritis) โรคแผลในกระเพาะอาหาร (peptic ulcer disease) และโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร (gastric cancer) ถึงแม้ว่าผลจากการรักษาโดยใช้ยาต้านจุลชีพ (antimicrobial agents) จะทำให้ความผิดปกติที่เกิดจากเชื้อ H. pylori ทุเลาลง แต่การต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ H. pylori ก็ยังคงเพิ่มขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาตัวแทนที่มีประสิทธิภาพในการต้านทานเชื้อดังกล่าว เทียนดำ (Nigella sativa seed) หรือฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ เป็นสมุนไพรที่ใช้กันทั่วไป มันมีคุณสมบัติในการต้าน Helicobacter

การศึกษาครั้งนี้ ได้ทำการประเมินประสิทธิภาพของฮับบาตุซเซาดะฮ์ ในการกำจัดเชื้อ H. pylori ในการรักษาผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารที่ไม่มีแผล (non-ulcer dyspeptic) จำนวน 88 คน โดยการสุ่มผู้ป่วยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ผู้ป่วยแต่ละกลุ่มจะได้รับยาแต่ละชนิดต่างกัน คือ clarithromycin และ/หรือ amoxicillin (ยาปฏิชีวนะ) omeprazole (ยารักษาอาการกรดไหลย้อนในกระเพาะอาหาร) และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (Black Seed Oil)  

นักวิจัยพบว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์ ให้ผลทางการแพทย์ในการนำมาใช้ต่อต้านการติดเชื้อ H. pylori เทียบได้กับการใช้ยาทั้ง 3 ชนิดที่นำมาทดสอบร่วมกัน[16]

อนาคตสำหรับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ คืออะไร?


การร่วมมือกันระหว่าง thymoquinone จากฮับบาตุซเซาดะฮ์ กับการรักษาโรคมะเร็งด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน

ในปี 2011 นักวิจัยชาวเยอรมันอธิบายว่า doxorubicin (ชื่อยาคีโม) ดูเหมือนจะเป็นยาเคมีบำบัดหลักที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นพิษต่อหัวใจ (cardiotoxicity) และมีความสามารถจำกัดในการนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งที่ดื้อยาหลายชนิด การศึกษาล่าสุดเผยให้เห็นว่า การป้องกันผลกระทบของ thymoquinone ซึ่งเป็นส่วนประกอบของน้ำมันหอมระเหยจากเทียนดำ (Nigella sativa) ช่วยต้านยา doxorubicin ด้วยการลดความเป็นพิษต่อหัวใจ โดยสรุปแล้วพวกเขาพบว่า thymoquinone คือ Booster ที่ช่วยป้องกันผลกระทบจากการใช้ยาเคมีบำบัด doxorubicin ในเซลล์ต้นกำเนิดที่มาจากเซลล์มะเร็งอย่างแน่นอน[17]

ในปี 2013 นักวิจัยจากประเทศสิงคโปร์ รายงานว่า ตัวแทนที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งนั้น มีจำนวนจำกัด และเซลล์มะเร็งก็มีการพัฒนารูปแบบในการต้านทานกับการรักษาเหล่านี้ ดังนั้น เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องค้นคว้าตัวยาใหม่ ๆ ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม ความสามารถในการต้านเนื้องอกของ thymoquinone ซึ่งเป็นสารสกัดจากน้ำมันฮับบาตุซ
เซาดะฮ์ ได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาหนูที่เป็นมะเร็งเต้านม ผลปรากฏว่า การรักษาด้วย thymoquinone สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก และผลลัพธ์นี้ควรถูกนำมาขยายผลในอนาคต เพื่อการใช้งานร่วมกับยาเคมีบำบัด doxorubicin[18]

การทดลองทางคลินิกกับผู้ป่วยมะเร็ง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวย์น ในมิชิแกน พบว่า การทบทวนรายงานที่ถูกตีพิมพ์เกี่ยวกับฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) ชี้ให้เห็นว่า ในอนาคตข้างหน้าการศึกษาเชิงลึกจะต้องได้รับการรับรองผล พวกเขาได้ระบุเป้าหมายและความจำเป็นในการศึกษา คือ ศึกษาถึงผลของการออกฤทธิ์ในทางชีวภาพ (bioavailability : ชีวปริมาณออกฤทธิ์) และเฟส 1 คือ การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นพิษในการใช้งานกับมนุษย์ ซึ่งผลจากการศึกษาดังกล่าว จะเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาการ และการสนับสนุนให้มีการเริ่มต้นการทดลองทางคลินิก เพื่อทดสอบประสิทธิผลของการใช้ยาแผนโบราณนี้ในการรักษาโรคมะเร็ง [19]

นักวิจัยจากโอมานอธิบายว่า ในอนาคตผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ จะต้องถูกนำมาใช้ เขากล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดเจน คือ thymoquinone (ส่วนประกอบทางพฤกษเคมี ที่ออกฤทธิ์ในทางชีวภาพของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์) ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง เช่น การใช้ thymoquinone ในการทดลองด้วยหลอดแก้วกับเซลล์มะเร็งของมนุษย์ และการศึกษาในสัตว์ทดลองเกี่ยวกับรูปแบบของการเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งได้ถูกนำมาตรวจสอบอย่างละเอียด เป็นผลให้ข้อมูลจำนวนมากถูกจำแนกแยกแยะออกมาจากผลการวิจัย จึงให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้น จากเดิมที่มีการต่อต้านการเผยแพร่ข้อมูลของสารสกัดตัวนี้ ดังนั้น จึงสมควรที่การทดลองเกี่ยวกับการใช้ thymoquinone ควรจะย้ายจากการทดสอบบนม้านั่ง (ในห้องทดลอง) มาสู่การทดลองทางคลินิก [20 ]

ข้อสรุป
หลังจากได้ตรวจสอบบทคัดย่อรายงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เป็นจำนวนมากกว่า 120 เรื่อง เกี่ยวกับการใช้งานของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) และ thymoquinone กับโรคมะเร็งหลาย ๆ ชนิด ผมก็เริ่มประหลาดใจว่า เหตุใดจึงมีการทดลองทางคลินิกกับผู้ป่วยโรคมะเร็งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น?!! และผมก็ไม่สามารถหยุดถามตัวเองว่า "ถ้าน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์มีคุณสมบัติป้องกันมะเร็ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเห็นได้จากงานวิจัยเหล่านี้ และได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อเซลล์ที่ดีของมนุษย์ แล้วทำไมนักวิทยาศาสตร์ถึงได้ทำการทดลองแต่ในห้องปฏิบัติการ (laboratory research) ทำไมถึงไม่ทำการทดลองในมนุษย์ หรือว่าพวกเขาได้ทำแล้ว?"

ประวัติความเป็นมาของการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์นั้น เป็นที่รู้จักกันดี โดยการแพทย์พื้นบ้านแบบดั้งเดิมได้มีการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์อย่างปลอดภัย มาตั้งแต่ยุคสมัยของฟาโรห์แห่งอียิปต์
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ถูกพบในหลุมฝังศพของฟาโรห์ Tutankhamen ซึ่งบ่งชี้ว่า น้ำมันอาจจะมีบทบาทสำคัญในการแพทย์อียิปต์โบราณ[21] นอกจากนี้ นักโบราณคดียังพบฮับบาตุซเซาดะฮ์ผสมกับน้ำผึ้งและไขผึ้งอยู่ในขวดของผู้แสวงบุญจากชนฮิตไทต์เก่า บนภูเขา BoyalıHöyük ในราว 1,650 ปีก่อนคริสตกาล ทางภาคเหนือของตุรกี[22] ฮับบาตุซ
เซาดะฮ์และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ใช้รักษาโรคได้ผลมาแล้วหลายสิบโรค นับตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งครอบคลุมส่วนใหญ่ของโลก

ทว่าเมื่อมาถึงการรักษาโรคมะเร็ง การรักษานี้ยังหยุดอยู่ที่การทดลองในห้อง lab ราวกับว่ามันเป็นสารพิษที่เป็นอันตราย จงจำไว้ว่า..ฮับบาตุซเซาดะฮ์และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์เป็นอาหาร!! มันกินได้ พวกเขาได้นำมาใช้เป็นเครื่องปรุงแต่งกลิ่นรสของอาหาร และได้ใช้เป็นยาบำรุงสุขภาพและบำบัดรักษาในชีวิตประจำวัน นับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมานั่งทดลองในหลอดแก้วหรือในสัตว์ เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า ฮับบาตุซเซาดะฮ์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ รูปแบบการศึกษาวิจัยที่เราต้องพัฒนาก็คือการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ในทางคลินิกกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ และ thymoquinone มีประสิทธิภาพในการใช้ต่อต้านโรคมะเร็ง และไม่ได้มีผลข้างเคียงใด ๆ ที่เป็นอันตราย บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการศึกษาทดลองในทางคลินิก 

 
ทำไมการวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการใช้น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ในการรักษาโรคมะเร็ง ถึงได้ไม่มี หรือว่า หายาก!! เพราะอะไร??

ผมเชื่อว่าคำตอบของคำถามนี้ คงจะเกี่ยวข้องกับอำนาจในการควบคุมของ บริษัทยา ในขณะที่บางส่วนของนักวิจัยได้ตั้งข้อสังเกตไว้ในบทคัดย่อของพวกเขาว่า ยาเคมีบำบัดแบบเดิมได้กลายยาที่มีประสิทธิภาพน้อย บางส่วนของการศึกษาวิจัยที่ผมกล่าวถึงข้างต้น ได้ทดสอบการใช้งานของน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์และ thymoquinone ร่วมกับยาเคมีบำบัดที่มีอยู่ เมื่อนักวิจัยได้ทำการทดลอง พวกเขามักจะพบว่า การใช้งานร่วมกันกับยาเคมีบำบัด จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว ในการทดลองบางครั้ง พบว่า thymoquinone มีประสิทธิภาพในทำงานเท่าเทียมกันกับยาเคมีบำบัด ซึ่งอาจหมายความว่า ความเป็นพิษของตัวยาเคมีบำบัดได้ถูกแทนที่ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งไม่มีผลกระทบที่เป็นอันตราย 

จึงน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง แต่ว่าสำหรับอุตสาหกรรมยา สิ่งนี้น่าจะเป็นข่าวร้ายอย่างยิ่งสำหรับการทำกำไร

เรื่องนี้รบกวนต่ออุตสาหกรรมการผลิตยา บริษัทเหล่านี้จึงพยายามที่จะให้มีการควบคุมการใช้งานของสารที่มาจากธรรมชาติ ด้วยกีดกันให้การใช้งานจะต้องมีใบสั่งยา โดยจัดให้สารสกัดจากธรรมชาติไปอยู่ในประเภทของยาที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตร (expiring patent) และสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาให้เรียกว่า "ยาใหม่" เพื่อที่พวกเขาสามารถจะจดสิทธิบัตร กลยุทธ์นี้ถูกดำเนินการโดย บริษัท ยา ด้วยความช่วยร่วมมือขององค์การอาหารและยา (FDA) สำหรับการใช้งานของโฟเลต (วิตามิน B9) พวกเขากำลังพยายามที่จะควบคุมการใช้โฟเลตในรูปสารธรรมชาติที่มีวิตามิน B9 ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ และสร้างยาที่ขึ้นทะเบียนใหม่ จากสาร SSRI (selective serotonin reuptake inhibitor : ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์เพิ่มสารเคมี “ซีโรโตนิน” โดยเฉพาะ เป็นยาต้านอาการซึมเศร้า) และโฟเลต เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคที่มีใจรักสุขภาพ เข้าถึงการใช้งานโฟเลตในรูปแบบสังเคราะห์ (หรือที่เรียกว่า “กรดโฟลิก) ที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าวิตามิน B9 [23]

ในเหตุผลทำนองเดียวกัน บริษัท ยา อาจสนใจที่จะปรับสูตรของยาเคมีบำบัด ให้มีความ
ล้มเหลวในการใช้งานร่วมกับ thymoquinone ซึ่งนั่นคือการปรับปรุงประสิทธิภาพการ
ทำงานของยา ในขณะที่บางส่วนของผลงานวิจัยก่อนหน้านี้ และงานวิจัยบางชิ้นที่กำลังดำเนินการอยู่ แสดงให้เห็นว่า thymoquinone มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับยาเคมีบำบัดและไม่มีผลข้างเคียง แต่ทว่า บริษัท ยา ไม่สามารถที่จะทำเงินพันล้านดอลลาร์จากการขายน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ thymoquinone เพราะมันอาจจะไม่ได้เป็นข้อมูลทางการเงินที่น่าสนใจสำหรับ บริษัท ยา ในการที่จะส่งเสริมให้มีการทดลองในมนุษย์ เพื่อใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ หรือ thymoquinone ซึ่งไม่ได้รับจดทะเบียนสิทธิบัตรยา

เรื่องที่น่าเห็นใจสำหรับผู้เป็นมะเร็ง

ผมรู้สึกเศร้าใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อได้เห็นส่วนหนึ่งจากอวัยวะที่มีสุขภาพดีของพวกเขา จะต้องถูกทำลายด้วยยาเคมีบำบัดและการฉายแสง ในขณะที่สารสกัดจากธรรมชาติสามารถลดและขจัดความเสียหายที่เกิดกับเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดี งานวิจัยข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์สามารถป้องกันความเสียหายจากรังสี ที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพ ถ้าหากมันได้รับก่อนการฉายรังสี และมีการใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันหลังจากได้รับการรักษาแต่ละครั้ง เป็นความจริงที่ว่า ไม่มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยใด ๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงผลการทดลองในทางคลินิกสำหรับมนุษย์ (แม้จะประสบความสำเร็จกับการใช้น้ำมันฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ในสัตว์) ความจริงที่ผิดพลาดนี้สร้างความเสียหายให้กับผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยรังสี

น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์มีประสิทธิภาพในการป้องกันผลกระทบจากการฉายรังสีและยาเคมีบำบัด และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีศักยภาพ แต่ทว่าเราทำได้แต่เพียงการคาดเดาถึงปริมาณโดสที่ใช้ประจำวัน เพื่อปกป้องผู้ป่วย และก็มีบางเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed) และน้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ (black seed oil) ในการรักษาโรคมะเร็ง อย่างไรก็ดี ผมไม่สามารถให้ข้อเสนอแนะที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้งานในเรื่องนี้ เพราะว่าจากงานวิจัยที่ผมได้อ่าน ก็ไม่มีงานวิจัยใด ๆ ที่ยืนยันถึงการ
ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพในโรคมะเร็งทุกชนิด รวมทั้งปริมาณการใช้น้ำมันฮับบา
ตุซเซาดะฮ์ในแต่ละวัน เพื่อให้ได้รับผลสำเร็จในการรักษาที่ดีที่สุด


น้ำมันฮับบาตุซเซาดะฮ์ไม่ใช่ยา การได้รับมากก็ใช่ว่าจะดีกว่า ผมได้พบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีการใช้ เพื่อให้ครอบคลุมสำหรับทุก ๆ กรณีควรใช้ในปริมาณ 1-3 ช้อนชาต่อวัน หนึ่งช้อนชาอาจจะเป็นการใช้ประจำวันเพื่อดูแลรักษาสุขภาพ สองหรือสามช้อนชาต่อวัน อาจเป็นข้อเสนอแนะสำหรับโรคบางโรค อีกทั้งยังสามารถรับประทานร่วมกับน้ำผึ้ง หรือในบางครั้งก็สามารถนำมาใช้กับผิวหนัง ผมขอแนะนำให้คุณค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีการดูสุขภาพของคุณเป็นการเฉพาะ เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับคุณ.

*References


[1] Woo CC1, Kumar AP, Sethi G, Tan KH.; “Thymoquinone: potential cure for inflammatory disorders and cancer,” Biochem Pharmacol. 2012 Feb 15, PMID: 22005518. 

[2] Abukhader MM., Department of Pharmacy, Oman Medical College, Muscat, Sultanate of Oman, “Thymoquinone in the clinical treatment of cancer: Fact or fiction?” Pharmacogn Rev. 2013 Jul;7, PMID: 24347919. 
[3] Khan MA1, Chen HC, Tania M, Zhang DZ.; “Anticancer activities of Nigella sativa (black cumin),” Afr J Tradit Complement Altern Med. 2011, PMID: 22754079.
[4] Randhawa MA1, Alghamdi MS.; “Anticancer activity of Nigella sativa (black seed) – a review,” Am J Chin Med. 2011, PMID: 22083982.
[5] Mabrouk GM1, Moselhy SS, Zohny SF, Ali EM, Helal TE, Amin AA, Khalifa AA.; “Inhibition of methylnitrosourea (MNU) induced oxidative stress and carcinogenesis by orally administered bee honey and Nigella grains in Sprague Dawely rats” J Exp Clin Cancer Res. 2002 Sep, PMID: 12385575.
[6] Cikman O1, Ozkan A, Aras AB, Soylemez O, Alkis H, Taysi S, Karaayvaz M.; “Radioprotective Effects of Nigella Sativa Oil Against Oxidative Stress in Liver Tissue of Rats Exposed to Total Head Irradiation,” J Invest Surg. 2014 Mar 28, PMID: 24679182.
[7] Velho-Pereira R1, Kumar A, Pandey BN, Mishra KP, Jagtap AG.; “Radioprotection by Macerated Extract of Nigella sativa in Normal Tissues of Fibrosarcoma Bearing Mice,” Indian J Pharm Sci. 2012 Sep, PMID: 23716868.
[8] Raghunandhakumar S1, Paramasivam A, Senthilraja S, Naveenkumar C, Asokkumar S, Binuclara J, Jagan S, Anandakumar P, Devaki T.; “Thymoquinone inhibits cell proliferation through regulation of G1/S phase cell cycle transition in N-nitrosodiethylamine-induced experimental rat hepatocellular carcinoma,” Toxicol Lett. 2013 Oct 23, PMID: 24012840.
[9] Hassan MI1, Mabrouk GM, Shehata HH, Aboelhussein MM.; “Antineoplastic effects of bee honey and Nigella sativa on hepatocellular carcinoma cells,” Integr Cancer Ther. 2012 Dec, PMID: 21147814.
[10] Al-Sheddi ES1, Farshori NN, Al-Oqail MM, Musarrat J, Al-Khedhairy AA, Siddiqui MA.; “Cytotoxicity of Nigella sativa seed oil and extract against human lung cancer cell line,” Asian Pac J Cancer Prev. 2014, PMID: 24568529.
[11] Racoma IO1, Meisen WH, Wang QE, Kaur B, Wani AA.; “Thymoquinone inhibits autophagy and induces cathepsin-mediated, caspase-independent cell death in glioblastoma cells,” PLoS One. 2013 Sep 9, PMID: 24039814.
[12] Motaghed M1, Al-Hassan FM, Hamid SS.; “Cellular responses with thymoquinone treatment in human breast cancer cell line MCF-7,” Pharmacognosy Res. 2013 Jul, PMID: 23900121.
[13] Salim LZ1, Mohan S, Othman R, Abdelwahab SI, Kamalidehghan B, Sheikh BY, Ibrahim MY.; “Thymoquinone induces mitochondria-mediated apoptosis in acute lymphoblastic leukaemia in vitro,” Molecules. 2013 Sep 12, PMID: 24036512.
[14] Norwood AA1, Tucci M, Benghuzzi H; “A comparison of 5-fluorouracil and natural chemotherapeutic agents, EGCG and thymoquinone, delivered by sustained drug delivery on colon cancer cells,” Biomed Sci Instrum., 2007, PMID: 17487093.
[15] Gali-Muhtasib H1, Diab-Assaf M, Boltze C, Al-Hmaira J, Hartig R, Roessner A, Schneider-Stock R.; “Thymoquinone extracted from black seed triggers apoptotic cell death in human colorectal cancer cells via a p53-dependent mechanism,” Int J Oncol., 2004 October, PMID: 15375533.
[16] Salem EM1, Yar T, Bamosa AO, Al-Quorain A, Yasawy MI, Alsulaiman RM, Randhawa MA.; “Comparative study of Nigella Sativa and triple therapy in eradication of Helicobacter Pylori in patients with non-ulcer dyspepsia,” Saudi J Gastroenterol. 2010 Jul-Sep, PMID: 20616418.
[17] Effenberger-Neidnicht K1, Schobert R.; “Combinatorial effects of thymoquinone on the anti-cancer activity of doxorubicin,” Cancer Chemother Pharmacol. 2011 April, PMID: 20582416.
[18] Woo CC1, Hsu A, Kumar AP, Sethi G, Tan KH.; “Thymoquinone inhibits tumor growth and induces apoptosis in a breast cancer xenograft mouse model: the role of p38 MAPK and ROS,” PLoS One. 2013 October 2, PMID: 24098377.
[19] Banerjee S1, Padhye S, Azmi A, Wang Z, Philip PA, Kucuk O, Sarkar FH, Mohammad RM.; “Review on molecular and therapeutic potential of thymoquinone in cancer,” Nutr Cancer, 2010, PMID: 20924969.
[20] Abukhader MM.; “Thymoquinone in the clinical treatment of cancer: Fact or fiction?” Pharmacogn Rev. 2013 July, PMID: 24347919.
[21] “Black Seed: Seed of Blessing,” By The Institute of Tibb Medicine, Johannesburg, South Africa, Published in Awareness Magazine, September/October 2000. http://www.awarenessmag.com/sepoct0/SO0_BLACK_SEED.HTM
[22] B. Saliha, T. Sipahib, E. Oybak Dönmezc; “Ancient nigella seeds from Boyalı Höyük in north-central Turkey,” Journal of Ethnopharmacology, Volume 124, Issue 3, 30 July 2009, Pages 416–420, PMID: 19505557.
[23] “The SSRI/Folate Connection: Why Big Pharma May Want to Monopolize the B Vitamin You Can’t Live Without,” Alliance for Natural Health USA, 3/18/2014.


-----------------------------------


ที่มา : ถอดความจากบทความของ John P. Thomas ในเว็บไซด์ Health Impact News *Thank you.*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรุณากรอกชื่อ หรือนามแฝง หรืออีเมลล์ด้วยค่ะ